นายกสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย ยืนยัน ไม่มีสารใด ๆ ที่เปลี่ยนผิวคนให้ขาวได้ การหายามากินหรือฉีด อาจก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิต
เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2559 จากกรณีที่มีอาหารเสริมผสมกลูต้าไธโอนยี่ห้อหนึ่ง อวดอ้างสรรพคุณในเรื่องผิวขาวกระจ่างใส ที่มาพร้อมกับคอนเซ็ปต์ "แค่ขาว...ก็ชนะ" จนเป็นที่วิจารณ์แพร่หลายในโลกออนไลน์ ล่าสุด รศ. นพ.นภดล นพคุณ นายกสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย ก็ได้ออกมาเปิดเผยถึงเรื่องดังกล่าว
ทั้งนี้ รศ. นพ.นภดล กล่าวว่าสีผิวของคนนั้นมาจากกรรมพันธุ์ เชื้อชาติ ซึ่งไม่ว่าจะทำอย่างไร ก็ไม่สามารถเปลี่ยนเป็นสีขาวได้เหมือนชาติอื่น ๆ การเอาสารต่าง ๆ มาใช้ ก็มีแต่จะอันตรายหรือไม่ได้ผลเท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่มักไม่ได้ผล โดยกรณีของไวท์เทนนิ่งนั้น ถือเป็นเครื่องสำอาง ที่ระเบียบของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ระบุว่า ต้องเป็นสารที่ไม่สามารถปรับโครงสร้างผิว ไม่สามารถห้ามเมลาโนไซต์ หรือเซลล์เม็ดสีให้หยุดทำงานได้ อย่างมากแค่เคลือบผิวเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม สารที่จะเปลี่ยนโครงสร้างผิวได้ จะอยู่ในประเภทของยา ต้องใช้ภายใต้ความควบคุมของแพทย์ เช่น สารไฮโดรควิโนน ที่ใช้รักษาฝ้าและด่างขาว เพราะมีฤทธิ์กัดผิว หากใช้นาน ๆ ผิวจะคล้ำ และอาจเป็นโรคด่างขาวตามมาอีก
การที่คนไทยมีผิวคล้ำ ทำให้ไม่แก่เร็ว เพราะมีเม็ดสีป้องกันแสงอัลตร้าไวโอเลตเยอะ ไม่ก่อให้เกิดริ้วรอย ลดความเสี่ยงเป็นมะเร็งผิวหนัง ส่วนกลูต้าไธโอนนั้น มีทั้งแบบกินและแบบฉีด หากฉีดจะทำให้ผิวเป็นสีชมพู แต่จะเป็นแค่ชั่วคราวและอันตรายมาก บางคนอาจถึงขั้นเสียชีวิต ส่วนแบบกินนั้นยังมีข้อถกเถียง เพราะมีผลการศึกษาเพียงเล็กน้อยที่บ่งชี้ว่าสีผิวอ่อนลง อีกทั้งหากรับประทานในระยะยาวจะส่งผลต่อตับ เส้นเลือดไม่แข็งตัวจนเลือดออกตามผิวหนัง
นอกจากนี้ รศ. นพ.นภดล ยังกล่าวว่า การโฆษณาอวดอ้างว่าทำให้ผิวขาวนั้น ถือว่าผิดกฎหมาย หากประชาชนพบเห็นสามารถแจ้ง อย. ได้ ซึ่งที่ผ่านมามีการตักเตือนบริษัทที่โฆษณาเกินจริง รวมทั้งการปรับบริษัทและสื่อที่เผยแพร่ด้วย แต่การปรับนั้นยังน้อยเมื่อเทียบกับทุนโฆษณา บริษัทจึงไม่กระทบ
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2559 จากกรณีที่มีอาหารเสริมผสมกลูต้าไธโอนยี่ห้อหนึ่ง อวดอ้างสรรพคุณในเรื่องผิวขาวกระจ่างใส ที่มาพร้อมกับคอนเซ็ปต์ "แค่ขาว...ก็ชนะ" จนเป็นที่วิจารณ์แพร่หลายในโลกออนไลน์ ล่าสุด รศ. นพ.นภดล นพคุณ นายกสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย ก็ได้ออกมาเปิดเผยถึงเรื่องดังกล่าว
ทั้งนี้ รศ. นพ.นภดล กล่าวว่าสีผิวของคนนั้นมาจากกรรมพันธุ์ เชื้อชาติ ซึ่งไม่ว่าจะทำอย่างไร ก็ไม่สามารถเปลี่ยนเป็นสีขาวได้เหมือนชาติอื่น ๆ การเอาสารต่าง ๆ มาใช้ ก็มีแต่จะอันตรายหรือไม่ได้ผลเท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่มักไม่ได้ผล โดยกรณีของไวท์เทนนิ่งนั้น ถือเป็นเครื่องสำอาง ที่ระเบียบของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ระบุว่า ต้องเป็นสารที่ไม่สามารถปรับโครงสร้างผิว ไม่สามารถห้ามเมลาโนไซต์ หรือเซลล์เม็ดสีให้หยุดทำงานได้ อย่างมากแค่เคลือบผิวเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม สารที่จะเปลี่ยนโครงสร้างผิวได้ จะอยู่ในประเภทของยา ต้องใช้ภายใต้ความควบคุมของแพทย์ เช่น สารไฮโดรควิโนน ที่ใช้รักษาฝ้าและด่างขาว เพราะมีฤทธิ์กัดผิว หากใช้นาน ๆ ผิวจะคล้ำ และอาจเป็นโรคด่างขาวตามมาอีก
การที่คนไทยมีผิวคล้ำ ทำให้ไม่แก่เร็ว เพราะมีเม็ดสีป้องกันแสงอัลตร้าไวโอเลตเยอะ ไม่ก่อให้เกิดริ้วรอย ลดความเสี่ยงเป็นมะเร็งผิวหนัง ส่วนกลูต้าไธโอนนั้น มีทั้งแบบกินและแบบฉีด หากฉีดจะทำให้ผิวเป็นสีชมพู แต่จะเป็นแค่ชั่วคราวและอันตรายมาก บางคนอาจถึงขั้นเสียชีวิต ส่วนแบบกินนั้นยังมีข้อถกเถียง เพราะมีผลการศึกษาเพียงเล็กน้อยที่บ่งชี้ว่าสีผิวอ่อนลง อีกทั้งหากรับประทานในระยะยาวจะส่งผลต่อตับ เส้นเลือดไม่แข็งตัวจนเลือดออกตามผิวหนัง
นอกจากนี้ รศ. นพ.นภดล ยังกล่าวว่า การโฆษณาอวดอ้างว่าทำให้ผิวขาวนั้น ถือว่าผิดกฎหมาย หากประชาชนพบเห็นสามารถแจ้ง อย. ได้ ซึ่งที่ผ่านมามีการตักเตือนบริษัทที่โฆษณาเกินจริง รวมทั้งการปรับบริษัทและสื่อที่เผยแพร่ด้วย แต่การปรับนั้นยังน้อยเมื่อเทียบกับทุนโฆษณา บริษัทจึงไม่กระทบ
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก