x close

ดูแลตัวเองจนป่วยเกือบตาย สาว ๆ ที่ชอบออกกำลังกาย กินมังสวิรัติ นับแคล ดีท็อกซ์ ต้องอ่าน !


ดูแลตัวเองจนป่วยเกือบตาย

          บทเรียนราคาแพงที่คนรักสุขภาพต้องอ่าน เพราะบางทีการไม่เดินสายกลางอาจนำความทุกข์ทรมานมาสู่ตัวเราเอง

          ในยุคที่คนรักสุขภาพหันมาทานอาหารคลีน กินมังสวิรัติ ออกกำลังกายหนัก ๆ ดีท็อกซ์ล้างพิษ ด้วยความเชื่อว่าจะทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง แต่หารู้ไม่ว่าการทำอะไรที่มากเกินกว่าทางสายกลางนั้นเป็นการทำร้ายตัวเองแบบไม่รู้ตัว อย่างเช่นเรื่องราวของพี่โอ๋ หรือ คุณ หมวยสมถะ สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม  ที่มาแชร์ประสบการณ์ชีวิตป่วยเกือบตายเพราะการดูแลตัวเองมากเกินไป นับเป็นบทเรียนชีวิตที่แสนแพง และอยากให้คนรักสุขภาพทุกคนได้อ่านเพื่อระมัดระวังตัวเอง
ลดน้ำหนัก

"พี่โอ๋" แชร์ประสบการณ์ชีวิต ดูแลตัวเองจนป่วย !! เกือบตาย สาว ๆ ที่ชอบออกกำลังกาย, กินมังสวิรัติ, นับแคล, ดีท็อกซ์ ต้องอ่าน !!! โดย คุณ หมวยสมถะ


          แนะนำตัวก่อนนะคะ ชื่อโอ๋ค่ะ ก็เป็นผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง

          เกิดและโตที่ กทม. โอ๋สูง 168  อดีต เรียกว่า เป็นคน "ไม่ออกกำลังกาย" เลย แต่โครงสร้างอาจได้เปรียบเป็นทุนเพราะตัวสูง

          // ตอนเด็ก (ประถม) เป็นนักกีฬาว่ายน้ำจำเป็น เพราะอาจจะไม่มีใครหน่วยก้านดีเท่าเรา เท่ ฮ่า ๆๆๆ

          // สมัยเรียน ก็อาศัยเรียนพละที่โรงเรียน, โตมาหน่อยเรียนมหาวิทยาลัย ไปว่ายน้ำ เต้นแอโรบิก ตีแบด ตามกระแส พร็อพเยอะ ชุดเยอะ แต่ไม่รู้จักว่า รองเท้าทำไมต้องมีหลายประเภท ใส่มั่ว ๆ ไป เลือกแต่แบบที่สวยเข้าว่า 

          // สุขภาพแข็งแรงดี ไม่เคยต้องหาหมอ แทบไม่เคยเข้า รพ. (ประกันที่ทำไว้ ไม่เคยได้ใช้เลยค่ะ)

          // พอเรียนจบ ทำงานมาได้สักพัก เนื่องจากย้ายไปทำงานที่โรงสีข้าว ตจว. แถวภาคอีสาน ... คาดว่า ด้วย อาหาร อากาศ ทำให้เราปรับตัวได้ยาก ก็เริ่มป่วยบ่อย ๆ ไมเกรน, ท้องเสีย, อาหารไม่ย่อย, อ่อนแอ, เป็นเริม, งูสวัด ป่วยจนต้องเข้า รพ.  จากเหตุการณ์ที่ป่วยบ่อย ๆ ทำให้โอ๋คิดว่า ต้องทำอะไรสักอย่าง ก็เริ่มหันมาออกกำลังกาย

          ***เริ่มเมื่อต้นปี 56 ด้วยการ
          -ตีแบด (3-4 ชม./วัน, 2-3 วัน/wk)
          -ปั่น จกย. (เป็น จกย.พับ) (ครั้งละ 15-20 กม./ 2-3 วัน/wk)
          -เรียนโยคะ (ครั้งละ 2 ชม./wk , ฝึกเอง 30 นาที/วัน)
          -เดิน วิ่ง บนลู่ที่บ้าน (1-2 ชม./วัน, 3-4 วัน/wk)
          -วิ่ง ในสวน (0.5-1 ชม./วัน, 1-2 วัน/wk)
          ร่างกายเริ่มเปลี่ยนแปลง รู้สึกได้ว่าแข็งแรงขึ้น เหนื่อยน้อยลง ป่วยน้อยลง ทีนี้ ยิ่งออก ยิ่งสนุก... เริ่มจริงจังกับการออกกำลังกายมากขึ้น


ดูแลตัวเองจนป่วยเกือบตาย

          // เริ่มซื้อรองเท้าวิ่ง (คู่แรกในชีวิต) หลังจากใส่รองเท้าที่ดู Sport แต่เป็นแฟชั่น

          // ซื้อ จกย. เสือภูเขา (เริ่มรู้สึกว่า ตัวเองชอบการปั่น จกย.) แต่ปั่นจักรยานพับเป็นเวลานาน ๆ ระยะทางไกล ๆ ทำให้ปวดหลัง เป็นสาเหตุให้ปั่นได้ไม่มากไปกว่า 20 กม.

          หลังจากวิ่งและปั่น สม่ำเสมอมาประมาณสามเดือน ก็ได้ลงงานวิ่งงานแรกในชีวิต คืองาน "เดิน วิ่ง เฉลิมพระเกียรติ เนื่องในวันฉัตรมงคล" เดือน พ.ค. 56

ดูแลตัวเองจนป่วยเกือบตาย

ดูแลตัวเองจนป่วยเกือบตาย

ดูแลตัวเองจนป่วยเกือบตาย

          หลังจากวิ่งงานแรก ก็มีสอง สาม ตามมา

ดูแลตัวเองจนป่วยเกือบตาย

ดูแลตัวเองจนป่วยเกือบตาย

ดูแลตัวเองจนป่วยเกือบตาย

ดูแลตัวเองจนป่วยเกือบตาย

          ไม่ใช่แค่วิ่ง เดี๋ยวน้องมะนาว (จักรยานข้างกาย) จะน้อยใจ ก็ต้องพาน้องมะนาวไปปั่นทางไกล ๆ สักหน่อย

ดูแลตัวเองจนป่วยเกือบตาย

ดูแลตัวเองจนป่วยเกือบตาย

ดูแลตัวเองจนป่วยเกือบตาย

ดูแลตัวเองจนป่วยเกือบตาย

ดูแลตัวเองจนป่วยเกือบตาย

          สนุกมากค่ะ บอกเลย
          เรียกได้ว่า ช่วงนั้น ชุดออกกำลังเหมือนชุดเที่ยวเลย อยู่ในชุดออกกำลังกายวันละ 5-8 ชม.

ดูแลตัวเองจนป่วยเกือบตาย

          ชีวิตวนลูป เช้าตื่นมา ถ้าตื่นเช้ามากก็จะไปวิ่ง // ไปทำงาน // หลังเลิกงานก็ไปสวน วิ่ง หรือไปสระว่ายน้ำประมาณอาทิตย์ละครั้ง // ซ้อมปั่นอาทิตย์ละ 1-2 วัน

          เสาร์-อาทิตย์ จะไปงานวิ่ง หรือถ้าอาทิตย์ไหน ไม่ได้ไปงานวิ่ง ก็จะออกทริปจักรยานทางไกล ๆ อย่างที่เห็น 70 กม. ขึ้นไป (บ้าพลังค่ะ)

          โอ๋เป็นโรคกลัวอ้วนด้วยนะ... ตอนช่วงที่ออกกำลังกายหนัก ๆ นั่นก็รู้สึกว่าตัวเองอ้วนมาโดยตลอด (แล้วปัจจุบันนี้คือ !!!!!!!)

ดูแลตัวเองจนป่วยเกือบตาย

          ทีนี้ พอกลัวอ้วน แต่ชอบออกกำลังกาย  ก็เข้าทางสิฮะ ออกกำลังกายแต่กินน้อย (เพราะไม่ค่อยหิว) งี้ก็ต้องผอม สวย
          ก่อนออกกำลังก็กินอะไรไม่ได้ กินแล้วเดี๋ยวจุก // หลังออกกำลัง ก็ไม่กล้ากินอะไร กินแต่น้ำเปล่า กลัวอ้วน
          // พอออกหนักมาก ๆ ก็กินอะไรไม่ลง

          ก็ไม่ได้ผอมฮวบฮาบ แต่น้ำหนักค่อย ๆ ลงมาเอง ตอนนั้นน่าจะหนักประมาณ 50 กก. ซึ่งก็ดูจะเป็นน้ำหนักที่สมดุล

          // แต่แม่ทักว่าผอมมาก น่าเกลียด ผอมจนคอยาว ... โอ๋ก็ยังรู้สึกว่าตัวเองอ้วนมาตลอดเลยนะ #มีความจิต ไม่ควรเอาเยี่ยงอย่าง

          แต่การออกกำลังกายของโอ๋ ทั้งวิ่ง ว่ายน้ำ และปั่น จกย. นั้น ถือเป็นการคาร์ดิโอ ทั้งหมดเลยนะคะ (คาร์ดิโอ คือ การออกกำลังกายแบบ แอโรบิก ที่ทำให้อัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มมากขึ้น ไม่ค่อยเน้นใช้กล้ามเนื้อ) ดังนั้นต่อให้ออกกำลังกายแบบนี้เยอะแค่ไหนกล้ามเนื้อก็จะไม่เฟิร์ม ดูแห้ง ๆ

          (พักเรื่องออกกำลังกายไว้ตรงนี้ก่อน...ไปต่อเรื่องอาหารกัน)

          เรื่องราวทั้งหมดนี้เป็นประสบการณ์ส่วนตัวของโอ๋ ตั้งใจนำมาเล่าให้หลาย ๆ คนที่อาจจะกำลังมีอาการแปลก ๆ หรือมีความผิดปกติได้หันกลับมาดูวิธีการดูแลตัวเอง  โอ๋เล่าให้ฟังอย่างละเอียด เพราะอยากให้ทุกคนสรุปใจความเอง ไม่ได้มีเจตนาจะชี้แนะให้มาทำตาม หรือบอกว่าวิธีการใดดี หรือไม่ดีแตอย่างใด // อยากให้เข้าใจนะคะ // เนื้อหาทั้งหมด เป็นการเล่าให้ฟังว่าที่ผ่านมา ทำอะไรผิดมาบ้าง ถึงป่วย !! // และอยากให้เป็นอุทาหรณ์สำหรับทุกคน // ดีใจหากประสบการณ์นี้จะเป็นประโยชน์กับใครหลาย ๆ คน // แต่หากทำให้ใครต้องขุ่นข้องหมองใจ ก็ขออภัยด้วยค่ะ

          (มาต่อเรื่องอาหารนะคะ)

          เท้าความนิดนึงนะคะ แต่เล็กจนโต อาหารที่โอ๋ชอบกิน ก็เป็นพวก ขนม นม เนย เค้ก กาแฟ โดนัท เป็นคนกินทุกอย่าง เรียกได้ว่าไม่มีอาหารไหน ที่โอ๋ไม่กินเลยนะ (ฮา)

          แต่ด้วยความที่บอกว่ากลัวอ้วนใช่ไหมเคอะ ถ้าวันไหนอยากกินขนมมาก ๆ เราก็ต้องอดข้าวค่ะ เพื่อจะได้มีโควตากินขนม จะกินข้าวเพื่อไม่ให้ถูกว่า สองสามคำ พอเป็นพิธี

          นี่ !!! ขนมขาไก่ 18 รส ของโปรด // โอ๋จะแบ่งใส่กระปุก พกไปกินทุกวัน //วันละปุกสองปุก

ดูแลตัวเองจนป่วยเกือบตาย

          ของโปรดอีกอย่างคือ แถ่นแท้นนนน // มาม่าพี่เรน

ดูแลตัวเองจนป่วยเกือบตาย

          แต่ก่อนก็กินประมาณนี้เลยค่ะ

ดูแลตัวเองจนป่วยเกือบตาย

































          ตอนสมัยวัยรุ่น หน้าใส ไร้สิว... จนกระทั่ง ตั้งแต่อายุประมาณ 20 ช่วงเรียนมหาลัย โอ๋จะมีสิวขึ้นที่หน้าผากตลอด ๆ เลย

          สงสัยมาก ว่าทำไมสิววัยรุ่นเราถึงมาช้าจุง





          ขึ้นเยอะอะไรเบอร์นี้ !!!!!  โอ๋ก็หาสาเหตุไม่ได้นะคะ ก็ไปทำทรีทเม้นท์ รักษาหนังหน้า ครีมอะไรว่าดี รักษาสิว ก็จัดมาไม่ได้ขาด



          ยิ่งรักษา ดูเหมือนยิ่งลามปาม !!!!!   ตรงนี้ยุบ ตรงนั้นขึ้น !!!



          จากหน้าผาก ก็เริ่มลามไปช่วงคอลงไปถึงหน้าอก



          ลามไปข้างหู แนวกราม... ไปกันใหญ่เลย !!!



          ยิ่งว่าเหมือนยิ่งยุ









          ทนไม่ไหว ไปฝังเข็มด้วย (เขาว่ารักษาสิวได้)



          และแล้วจุดเปลี่ยนของการกินของโอ๋ ก็เริ่มต้นขึ้นเมื่อเทศกาลเจมาถึงค่ะ !!!

          ตั้งแต่เด็ก ๆ โอ๋นี่ เป็นลูกครึ่งนะ ไทย-อังกฤษ หน้าเลยจะออกฝรั่ง ๆ หน่อย #ด่าได้แต่อย่างแรง
          ก็นั่นล่ะ ก็หมวยนี่นะ แต่ว่า ไม่เคยกินเจแบบจริงจังเลย... คืออยากกินก็กิน โรงเจก็ไป ชุดขาวก็ใส่ ข้าวหมูแดงก็กิน

          จนปีนึงที่บ้านประกาศปิดครัวค่ะ ยกท้องทุกคนไปฝากที่โรงเจ กินเจกันหมดทุกคน 10 วัน (พี่เลยคิดว่า... ไหน ๆ ก็ไหน ๆ ละ กินมันให้ครบดูซิ จะเป็นไง)

          ปรากฏว่า 10 วันผ่านไป... สิวที่หน้าผากหายเกลี้ยงเลยค่ะ วะ วะ วะ ว้าวววววววว

          นั่นไง ๆๆๆๆๆ !!!!!!! เจอแล้ว ตัวการสิว คือเนื้อสัตว์
          มิน่า ใคร ๆ ก็เลยบอกว่ากินเจแล้วดี




          ตั้งแต่วันนั้นนนนนนนนนน... พี่ก็เจเขี่ยมาตลอด จนจริงจัง เป็น Vegeterian เต็มตัว

          แล้วการออกกำลังกายก็เริ่มเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ ชีวิตคือการออกกำลังกาย //ไปทำงาน //กินผักผลไม้ ธัญพืช
          (ช่วงนั้น กลับมาอยู่ กทม. แล้ว ทำงานเป็น Sales ต้องขับรถออกไปพบลูกค้าทั้งวัน ๆๆๆๆๆ ใช้ชีวิตบนรถ 5-8 ชม. ต่อวัน)


          มาดูอาหารช่วงนั้นกันค่ะ

















          ของหลัก ๆ ที่ต้องกินทุกวันคือ นมถั่วเหลืองแบบซอง ชง ๆ ใส่กับกาแฟ









          กินไปกินมา คิดอยากกินไส้กรอก ลูกชิ้น  พิซซ่า ไก่ทอดขึ้นมา





          อีกสิ่งที่ขาดไม่ได้ ต้องติดกระเป๋าไว้ นั่นก็คืออออออ.....



          แฟนพันธุ์แท้เลยฮะ !!!



          ก็เพราะว่าเอาเวลาไปออกกำลังกาย สนุกอยู่นอกบ้าน ไม่ค่อยได้ทำอาหารกินเอง เพราะทำอาหารเจไม่เป็น กินผัดผักทุกวันก็เบื่อก็เน้นกินนมถั่วเหลืองชง ๆ // ธัญพืชอัดแท่ง // ผลไม้ // ของทอด ๆ (เพราะของทอดส่วนใหญ่เป็นแป้ง ไม่ค่อยมีเนื้อสัตว์ และอร่อย) แผล็บ ๆ



          จะใช้เวลามากหน่อยในการเตรียมผลไม้เองตอนกลางคืน เพื่อพกใส่รถไปกินระหว่างวัน วันละสอง-สามกล่อง (แทนข้าว)

          ในแต่ละวันก็จะพกข้าวกล้องไปด้วย เผื่อหิว... ก็กินข้าวกล้องเปล่า ๆ เลยยยยย 











          (กลับมาดูการออกกำลังกาย)



          ปั่น ฉันก็ยังปั่นอยู่...? วันซ้อมก็ไปคนเดียว



          ถึงอาทิตย์ก็ไปกันเป็นทีม





          ถ้าไกล ก็เอาน้องมะนาวขึ้นรถ พอปั่นเสร็จ ก็หมดสภาพ อย่างที่เห็น >>> แล้วกินอะไร !?



          กินข้าว กับ น้ำพริกเจ // แบบว่า คนในกลุ่มก็เป็นห่วง เจอกล้วยปิ้ง ผลไม้ ก็รีบซื้อมาให้





          เจแบบแปรรูปนิดนึง ทอด ๆ // ถ้ากินของทอด โควตาอาหารวันนั้นจะยิ่งน้อยลงมาก ๆ เพราะแคลอรีมันเยอะนี่เนาะ





          แต่ก่อนพี่เป็นสัตว์กินพืชฮะ







          พัทยามาราธอน พี่ก็ไปนะ



          ว่ายน้ำ พี่ก็ยังว่ายอยู่... โดดลงไป อีก ชม. นึงค่อยคุยกัน



          ก็ดู (เหมือนว่าจะ) ดี... ใช่มะ







          บอกได้คำเดียวเลยว่า...

          เละ !!!!!


          เอาละสิ... เรื่องอาหารนี่ โอ๋พยายามเจแบบจริงจังเลยนะคะ  แต่ว่าบางทีคิดว่า พวกเครื่องดื่มซอง ๆ แบบมีครีมเทียมเนี่ย เราก็ไม่ชัวร์เหมือนกัน ว่ามันเจรึเปล่า หรือไง...

          ชักมืดแปดด้านแล้ว เอาไงดี... ทำไมเป็นแบบนี้

          " D E T O X "
          เป็นคำตอบสุดท้าย
          เอ้า ลุย !!!!


          (ล้างพิษกันดีกว่า)

          เริ่ม ๆ เขาว่าให้งดของเคี้ยวได้... เพื่อพักระบบย่อย กินแต่น้ำ ๆ ... อะ น้ำมา !!!



          ช่วงแรก ๆ มีผัก ๆ นิดหน่อย











          โอ๊ยยยยย ฟิน

          ขอเพิ่มเติมนิดนึงนะคะ // เรื่องราวนี้ โอ๋เองเคยพิมพ์แชร์ในกลุ่มออกกำลังกายกลุ่มหนึ่ง (ซึ่งเป็นกลุ่มปิด)
          เพราะไม่อยากให้ใครต้องเป็นแบบโอ๋อีก แม้แต่คนเดียว (แต่ไม่ละเอียดขนาดนี้)
          เพิ่งเคยเขียนกระทู้จริงจังแบบนี้ (ครั้งนั้นเป็นครั้งแรกค่ะ... มันต้องใช้พลังสุด ๆ เพราะต้องเรียบเรียงเรื่องราว)
          ตอนนั้นน่าจะผ่านมาปีนึงแล้ว... สมาชิกในกลุ่มบอกว่า เอาไปลงพันทิปสิ จะได้เป็นประโยชน์ คนอื่น ๆ จะได้อ่านได้

          บอกตามตรงว่าอยากเอามาลง... แต่ไม่มีเวลาเลย
          ระหว่างนั้น พบเจอใครก็ได้แต่บอกว่า โอ๋เคยเจออะไรมาบ้าง เป็นยังไง บลา ๆๆๆ พูดเกือบทุกวันเลยค่ะ !!!

          จนตัดสินใจทำเพจขึ้นมาเพื่อรวบรวมข้อมูลสุขภาพมาแชร์ให้ทุก ๆ คน

          วันนี้ ตัดสินใจรวบรวมความกล้า มาเปิด Account Pantip (ที่สร้างไว้นานแล้ว แต่ไม่เคยเข้ามาโพสต์) สารภาพว่าตอน login ยังต้องแจ้ง Forgot Password เพราะจำไม่ได้

          อาจจะพิมพ์ช้าหน่อย เพราะโอ๋พยายามจะพิมพ์ให้ละเอียดที่สุด เพราะจะบอกว่า... บางเรื่อง บางอาการ มันดูเหมือนไม่มีอะไรผิดปกติเลย
          แต่มันไม่ปกติ !!!

          ขอบคุณทุกคนที่รออ่านนะคะ  // เกรงใจจัง  // ดีใจด้วย

          (ล้างพิษต่อ)

          หลังจากปรับกินแต่ผัก ผลไม้ และอะไรน้ำ ๆ มาสักอาทิตย์นึง ก็เริ่มล้างพิษด้วยสูตร "Lemonade Detox"



          เป็นการกินน้ำมะนาว, พริกคาเยน, เมเปิลไซรัป // สามอย่างนี้ + ชาระบาย
          สูตรนี้ ฝรั่งและดาราฮอลลีวูดหลาย ๆ คนใช้กันแพร่หลายมาก ๆ ในต่างประเทศนะฮะ พูดเลย

          หลักการเขาคือ ให้พักระบบย่อย แต่ร่างกายสามารถได้รับพลังงานจาก เมเปิลไซรัป // ส่วนพริกคาเยน และมะนาว จะเข้าไปล้างพิษ // เน้น ๆ เลยคือ พิษในลำไส้  แต่ต้องกินชาระบายเพื่อขับ // สิ่งที่จะออกมาคือ เมือก ๆ วุ้น ๆ สีดำ ๆ // มัน โอ้วมายก็อดดดดดด สุด ๆ เพราะเราไม่ได้กินอะไรเข้าไปเลยใช่มะ ดันมีอะไรดำ ๆ ออกมา



          นี่เป็นสูตรที่ได้มาจากที่วัด... สามารถดัดแปลงได้นิดหน่อย

          โอ๋ก็จัดตามนี้เลยสิคะ จิรออัลไล



          อ้าว...เฮ้ย !!!! ล้างพิษแล้วดี !!!!!

          นั่นไง ๆๆๆๆๆ พิษมันเยอะ ปัดโถ่ ๆๆๆๆๆๆ

          หลังจากคิดว่ามันดีแล้ว... ขั้นตอนต่อไป เราก็ต้อง Advance ขึ้นสิ

          ต่อเลย... คอร์สล้างพิษตับ  // พิษเยอะนัก ต้องเอาออก







          - วัดความดัน 90/62
          - อัตราการเต้นของหัวใจ 65
          - ชั่ง นน. 54.2
          - วัดส่วนสูง 168


















          แจ่มใสสุด ๆ




          สี่วัน... กลับบ้าน  ชีวิตเด๊ เดดดดดด

          ในเมื่อมันดีขนาดนี้... เราก็ต้องทำอีกสิ
          เขาให้พักสามเดือนนะคะ... ถึงจะทำซ้ำได้
          ระหว่างสามเดือนนั้น พี่ก็...



          กินข้าวกล้อง



          กินผลไม้



          ดีท็อกซ์ ทุกวัน



          ไปบริจาคเลือด (หลังจากบริจาคเลือด ถ้าเราป่วยเป็นโรค เขาก็จะส่งจดหมายมาบอกเราใช่มะ // แต่นี่เราแข็งแรงมากเลอ ) #เก่งมาก #ปรบมือ



          กินนมถั่วเหลืองชงใส่กาแฟทุกวัน



          กินผัก ผลไม้ เลี่ยงเนื้อสัตว์ ขนมก็กินบ้าง คำสองคำ (เดี๋ยวอ้วน)





          อยู่บนรถ อยู่นอกบ้าน ถ้าหิวก็กินผลไม้เอา พกไว้



          ไอติมกินได้แบบไม่มีนม // ร้านแมงดาวกินได้ เพราะเลือก Soy Milk ได้



          ผลไม้ก็ยังเตรียม ยังตุน



          ไข่ต้มก็กินบ้าง นาน ๆ ที เพิ่มโปรตีน



          ออกกำลังกายก็หลายหลาย แอโรบิก พี่ก็เต้นนะ



          จักรยานพี่ก็ยังไปปั่น



          กินอาหารเพื่อสุขภาพ



          ออกกำลังกาย #วนไปค่ะ

          หลังจากล้างพิษตับจบ ผ่านไปสามเดือนก็ไปเข้าคอร์สอีก เป็นครั้งที่สอง

          เข้าคอร์สล้างพิษตับครั้งที่ 2
          26-29 Sep 2013
          ความดัน 97/61
          Heart Rate 53







          คราวนี้รู้สึกแข็งแรงขึ้นกว่าเดิม





          ในคอร์สก็จะมีกิจกรรมออกกำลังกายเบา ๆ ตอนเช้า



          แช่เท้าด้วยน้ำอุ่นผสมสมุนไพร

          มีการจัดกระดูก และทำสปาหูด้วย



          ตบท้ายด้วยการดื่มน้ำมันมะกอกผสมดีเกลือ เพื่อขับนิ่วในตับออกมา



          ครั้งนี้ผลการล้างพิษชักจะแตกต่างจากครั้งที่แล้ว
          เพราะเวลาเราสวนเอาของตกค้างในลำไส้ออกมา... คราวก่อน มันออกมาหมด
          **(เพิ่งเคยสวนล้างก็อีตอนล้างพิษตับนี่แหละ แต่ก่อนกลัวมาก รู้สึกว่าทำไม่ได้ แต่พอมาล้างพิษตับจบแล้ว สวนเก่งมาก)


          ครั้งนี้เวลาเราเอาน้ำเข้าไป สมมติใส่ไป 800 ml ตอนออกมา มันดันออกมาแค่ 500 อะไรประมาณนั้น... ทำให้รู้สึกอืด ท้องบวม ๆ

          มันเป็นความรู้สึกไม่ธรรมชาติละ คนอื่น ๆ เขาก็เอาถังผลผลิตออกมาให้ดูกัน... (ช่วงคนอวดขี้) รอบสองนี้ ของโอ๋แทบจะไม่มีอะไรเลย
          ก็ไม่ตื่นตาตื่นใจแล้วล่ะ
          กลับบ้าน...

          (หลังจากรู้วิถีชีวิตที่ถูกเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม)
          (โอ๋เลือดกรุ๊ปโอ)
          ช่วงนั้น โอ๋ เป็น Vegetarian ... กินแต่ผัก แต่หญ้า (กินจริงจังได้ประมาณ 7 เดือน)

          -ล้างพิษอย่างบ้าคลั่ง
          -ทานอาหารน้อยมาก เนื่องจากร่างกายไม่ค่อยต้องการอาหาร แอปเปิล 2 ลูก, กล้วย ลูกนึง, นมถั่วเหลือง 1 แก้ว, Cereal Bar, ขนมปังโฮลวีทวันละแผ่นสองแผ่น, กาแฟ ไม่มีน้ำตาล, ไส้กรอกเจบ้าง, อาหารกระป๋องเจ
          -บางวันงดอาหาร Detox ทานแต่ผลไม้
          -วันไหนไปปั่น จกย.ทางไกล มีแค่น้ำเปล่า ซีเรียลบาร์ 2 แท่ง (เพราะกินอะไรกับเพื่อน ๆ ไม่ได้...ก็เราเป็นมังสวิรัตินี่นะ)
          -Detox น้ำมะนาว
          -ออกกำลังกายอาทิตย์ละ 6 วัน วิ่ง 10k++, ปั่น 70k++, ว่ายน้ำ 1k++

 
          โดยปกติ โอ๋จะซ้อมวิ่งแค่ระยะ 10 กม. และเนื่องจากเป็นนักวิ่งน้องใหม่ เลยจะลงระยะแค่มินิ

          ****ระยะการวิ่งจะมีประมาณนี้นะคะ
          -fun run 5 km
          -มินิ มาราธอน 10.5 km
          -ซูเปอร์มินิ มาราธอน 14 km (มีแค่บางสนาม)
          -ฮาล์ฟ มาราธอน 21 km
          -ซูเปอร์ฮาล์ฟ มาราธอน 24 km
          -มาราธอน 42.195 km

          ขณะที่กำลัง lemonade detox วันที่ 5 ก็ได้ลงวิ่งรายการซูเปอร์ฮาล์ฟ 24k ด้วยใจคิดว่าเป็นการซ้อม ไหวก็ดี ไม่ไหวก็หยุด

          กลับเป็นการวิ่งระยะยาวที่สนุกมาก ... และได้ถ้วยที่ 5 มาครอบครอง



          **ในตอนนั้น พี่ ๆ ที่ชมรมต่างก็เป็นห่วง เพราะโภชนาการไม่ถึง ถือเป็นช่วงที่ร่างกายอ่อนแอ ไม่ควรใช้ร่างกายหนัก

          แต่โอ๋บอกกับทุกคนและบอกกับตัวเองว่าจะไม่ฝืน ถ้าเหนื่อย ไม่ไหว จะพักแน่นอน // เพราะคิดแค่ว่าจะมาซ้อมระยะยาวกว่าที่ตัวเองเคยวิ่งเท่านั้นเอง



          ในงานนี้ ได้ลงสมัครวิ่งงานต่อไปไว้ด้วย คืองาน Midnight Amari



          แต่สุดท้าย... ไม่ได้ไปนะคะ งานนี้

          (หมดช่วงเวลาแฮปปี้แล้ว... )

          หลังจากการลงวิ่งสนาม 24 km อีกประมาณสองอาทิตย์ ร่างกายก็เริ่มมีอาการผิดปกติ... แบบชัดเจนขึ้น
          - เบื่ออาหาร
          - นอนน้อย (หลับตี 1-2 // ตื่นตี 3-4)
          - อ่อนเพลีย
          - หลับในบ่อย ๆ เวลาขับรถ พอจอดก็ไม่ง่วง
          - ออกกำลังกายได้หนักเหมือนเดิม (มีแรงนะคะ)
          - น้ำหนักคงที่ (ทั้งที่ทานน้อยกว่าใช้ น่าจะ นน. ลด)

          ระหว่างนั้น ก็มักจะมีอะไรแปลก ๆ เช่น จู่ ๆ ก็ขึ้นผด ขึ้นผื่น แบบขึ้นภายใน 1-2 ชม.



          ก็คิดว่าตัวเองแพ้เนื้อสัตว์... เพราะมีครั้งนึงอยากกินไก่ทอดมาก ลองกินไก่ทอด ปรากฏว่าผื่นขึ้น !!!  ฟันธง !!! แพ้เนื้อสัตว์แน่นอน ประมาณ 1 wk ก็จะค่อย ๆ หายไป

          ช่วงนั้นก็ขึ้นผื่น ขึ้นผด







          บางช่วงก็จะเป็นฝีตามตัว...



          ประมาณ 2-3  วันก็จะเริ่มอักเสบ... ปวดสุด ๆ



          จนกระทั่ง เช้าวันที่คาดไม่ถึง.... ตื่นมา พบตัวเองเป็นแบบนี้



          หน้าบวม.. มีจ้ำแดง ปื้นแดง ๆ ขึ้นทั่วตัว...
          ค่อย ๆ ขึ้น ชม. แรก มีแค่สองสามจุด ผ่านไป ชม. ที่สอง ขึ้น 5-6 จุดเรียงกัน...

          ตกใจมาก ๆ.. ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่งงกับสิ่งที่เกิดขึ้น คิดแต่ว่า เราคงทานอะไรผิด มันเลยแพ้......

          โอ๋เข้าไปปรึกษากับแพทย์ทางภูมิแพ้...
          หมอขอตรวจเลือด เพื่อดูผลการแพ้แอบแฝง // ตอนนั้น จาก นน. 53-54 ขึ้นเป็น 60 ในเวลาไม่กี่วัน ตัวบวมมาก เสื้อผ้าใส่ไม่ได้ ...





          หลังจากตรวจ... พบว่ามีสารอาหารที่แพ้เป็นร้อย ๆ ตัว
          ภาวะเม็ดเลือดแดงโต ทำให้ตัวช้ำ ห้อเลือดง่าย
          คอเลสเตอรอลสูง (ทั้งที่ไม่ได้ทานเนื้อสัตว์)
          ร่างกายภายในอักเสบรุนแรง
          ตรวจ SLE โชคดีว่าค่ายังไม่ขึ้น


          คุณหมอ ให้งดออกกำลังกายทุกประเภทเด็ดขาด
          งดอาหารที่แพ้... ซึ่งเดี๋ยวมาดูกันว่าแพ้อะไรบ้าง
          คุณหมอ.. เลือกให้รักษาด้วยการให้ร่างกายเยียวยาตัวเอง
          โอ๋เลือกที่จะไม่กินยาเลย ..

          ** โดยปกติ คนไข้ที่เป็นภูมิแพ้แบบนี้ต้องกินยากดภูมิ แล้วเพิ่มหรือลดยาตามแพทย์สั่ง

          พอรู้ผล.. กลับมา #ร้องไห้หนักมาก เครียดกว่าเดิม
          กินอะไรก็ไม่ได้ ปรับตัวไม่ทัน งงไปหมด

          **เวลาเครียด โอ๋มักจะเลือกไปออกกำลังกาย พอร่างกายหลั่งสารเคมีอะไรบางอย่างออกมา เราจะสบาย.. แต่นี่ !!! หมอให้งดออกกำลัง ให้เหตุผลว่า ร่างกายเราอักเสบหมดแล้ว.. ยิ่งออกกำลังหนัก ยิ่งกระตุ้นให้อักเสบมากกว่าเดิม...

          ช่วงนั้นเก็บตัว อยู่แต่ในบ้าน ไม่ออกไปไหน ไม่คุยกับใคร... เครียด
          เหนื่อย เดินยังเหนื่อย...

          โรคที่โอ๋เป็น เรียกว่า pre-SLE หรือ โรคภูมิเพี้ยน... เกือบที่จะเป็น โรคแพ้ภูมิตัวเอง... หรือโรคพุ่มพวงนั่นเอง

          ผลเทสต์แพ้อาหารแอบแฝง

          พวกที่ตัวเลขขึ้น คือ อาหารที่ทำปฏิกิริยากับเลือด
          สีแดง คือ ห้ามเด็ดขาด ร่างกายจะหลั่งสารต่อต้าน

          1. วุ้นเส้นแก้ว // ชอบทาน เพราะแคลน้อย ดู healthy ทานกับสลัด !
          2. แป้งสาลี // อันนี้.. ชอบมากกกก เพราะชอบทานเบเกอรี ขนมปังโฮลวีท ต้องมีทุกวัน
          3. แป้งมัน // เหมือนจะเลี่ยงง่าย.. แต่อาหารรอบตัว มีแป้งมันแฝงเยอะมาก ราดหน้า ผัดผักที่น้ำข้น ๆ ซอสหอยนางรม ขนมไทย
          4. ถั่วแดง // ใส่น้ำเต้าหู้ ใส่สลัด ไส้ขนม
          5. โคล่า // ปกติทานโค้กซีโร่ อันนี้ก็แพ้รึเนี่ย
          6. โปรตีนนม // ตัวนี้แอบแฝงมาทั้งในรูปครีมเทียม หรือ เครื่องดื่ม 3 in1 อุตส่าห์เลี่ยงไปทานครีมเทียมจากถั่วเหลืองแล้วก็ยัง... ไม่รอด
          7. หอยแมลงภู่ //อันนี้ ไม่ค่อยสันทัดอยู่แล้ว
          8. นมวัว // ชัดเลย แพ้นมวัว
          9. โอ๊ต // เครื่องดื่มชง EnergyBar มีเพียบ
          10. ควินัว // นี่ไม่เคยทาน
          11. pike // เป็นปลา ไม่เคยทานอยู่แล้ว
          12. ไข่ขาว // ชีวิตยากเลย
          13. ถั่วจากฝัก // เลี่ยงไมได้เลย รับโปรตีนจากถั่วเป็นหลักเลย
          14. มันเทศ // แหล่งคาร์บชั้นดี
          15. ถั่วขาว // ส่วนมากในชีวิต มักเจอมากับถั่ว 5 สี
          16. นมแพะ // หายาก ไม่ทานอยู่แล้ว
          17. มอลต์ //ชอบทาน ผสมกับกาแฟ
          18. นมแกะ // หายาก กว่านมแพะอีก
          19. ปลาโซล // ไม่รู้จัก
          20. ว่านหางจระเข้
          21. ปลาเฮอร์ริง
          22. มันสำปะหลัง
          23. ถั่วปากอ้า
          24. น้ำผึ้ง
          25. ยีสต์
          26. ปลาบาส
          27. ขึ้นฉ่าย
          28. ปลาแซลมอนเทราต์ // ไม่ทราบกันใช่ไหมคะ ว่ามันคนละสายพันธุ์ โอ๋โดนกับตัวเลย ผลพิมพ์ว่า TROUT โอ๋ถือใบตรวจไปช้อปปิ้ง เลือกปลาแซลมอนเลยค่ะ เพราะเราไม่แพ้.. แต่พอทานไป อาการออก รีบหาข้อมูลดู ปรากฏว่า TROUT คือ ปลาแซลมอนอีกสายพันธุ์ ที่ไม่ใช่นอร์เวย์ และราคาถูกกว่านอร์เวย์ เมืองไทยเลยนิยมขายกัน T^T
          29. ปู
          30. ดอกบานไม่รู้โรย // เข้าใจว่าเอามาทำชา
          31. ข้าวบัควีต
          32. แปะก๊วย
          33. ทับทิม
          34. สาหร่าย
          35. ถั่วเขียว
          36. ข้าวโพด
          37. เมล็ดแฟลกซ์
          38. ปลาค็อด
          39. ถั่วพิตาชิโอ
          40. ถั่วเหลือง // !!!!!!!!!!!!!!!!!! แพ้ถั่วเหลือง
          41. แบล็กเบอร์รี
          42. มัสตาร์ด
          43. ใบเบย์
          44. หอยกาบ
          45. ลูกฟิกซ์
          46. เนคทารีน (ผลไม้)
          47. ทรานส์กลูตามิก (ธัญพืช)
          48. แครอท
          49. ไทเกอร์นัท
          50. ถั่วเมก
          51. ไข่แดง
          52. ลอบสเตอร์
          53. หัวไช้เท้า, ผักกาด
          54. กุ้ง
          55. ปลาหมึก
          56. หอยโข่ง
          57. แตงกวา
          58. ผงกะหรี่
          59. ถั่วลิสง
          60. พริกแดง
          61. อัลมอนด์
          62. บีทรูท
          63. แป้งข้าวโพด
          64. หอยเชลล์
          65. สาหร่ายวากาเมะ
          66. บรอกโคลี
          67. กะหล่ำปลี
          68. น้ำตาลอ้อย
          69. คูสคูส (ธัญพืช)
          70. ยี่หร่า
          71. ฝรั่ง
          72. เม็ดมะม่วงหิมพานต์
          73. บวบ
          74. ลิ้นจี่
          75. เห็ด
          76. สับปะรด
          77. ดอกกะหล่ำ
          78. โกโก้
          79. ขิง
          80. ลูกพลัม
          81. หอมแดง
          82. เมล็ดทานตะวัน
          83. ยีสต์(ทำขนม)

          ทั้งหมด 83 ชนิด ที่ต้องห้าม !!




          ได้ของแถมเป็น "ถ่ายเองไม่ได้" เพราะสวนล้างจนลำไส้ทำงานเองไม่ได้แล้ว

          ** โดยปกติ คนที่สวนล้าง หรือคำแนะนำจากการเข้าคอร์สล้างพิษ คือหลังจากจบคอร์สแล้ว ให้กินนมเปรี้ยว หรือโยเกิร์ต หลายยี่ห้อ เพื่อเติมจุลินทรีย์ดี ๆ เข้าไปในลำไส้ ให้หลากหลาย

          แต่โอ๋แพ้นมวัวค่ะ เลยทำให้กินนมเปรี้ยวหรือโยเกิร์ตไม่ได้เลย



          ต้องไปล้างลำไส้เพื่อเคลียร์ของเสียแบบยกใหญ่เลย ด้วยการใช้น้ำ 25 ลิตรสวนล้าง (ทำที่โรงพยาบาล)

          ช่วงแรก ๆ ก็ยังปรับตัว... เนื่องจากแพ้เยอะมาก ก็ต้องมีพลาดกันมั่ง
          ส่วนใหญ่จะเจอแบบไม่รู้ตัว... เวลาเจอของแพ้ก็จะเป็นแบบนี้



          อย่างที่บอกว่าเม็ดเลือดแดงโต โดนอะไรก็จะช้ำง่าย



          ผลเลือดก็น่าตกใจนะคะ...



          โอ๋ออกกำลังกาย แข็งแรงมาก // กินมังสวิรัติ แต่คอเลสเตอรอลสูง !!!



          ไปตรวจภูมิแพ้ผิวหนัง // ผลคือ "ไม่มีอะไรแพ้เลย"

          น่าประหลาดใจไหมคะ ?

          ช่วงนั้นอาการแย่มาก ๆ เรียกว่า ดูกันวันต่อวัน เลยทีเดียว // แป๊บ ๆ ดี  อีกเดี๋ยวก็บวม หายใจไม่ออก



          โอ๋ป่วยด้วยอายุ 28 ปี...
          ป่วยแบบที่เรียกว่า หนักที่สุดในชีวิต
          ช่วงนั้นทุกคนที่บ้านเป็นห่วงมาก

          ตัวเองยิ่งหงุดหงิด.. จากคนเคย Active, Extream กลายเป็นเหมือนคนแก่ ๆ คนหนึ่ง เข้าใจหัวอกคนแก่เลย

          ช่วงนั้น อยู่แต่บ้าน หาข้อมูลสุขภาพ
          หาว่าเกิดอะไรขึ้นกับเรา มีใครเป็นอะไรแบบนี้ไหม ? เขาทำยังไงกัน ?

          สมองเหมือนช้ำ..ความรู้เดิมที่มี ที่เราปฏิบัติตัว กินอาหารสุขภาพ ธัญพืช ผัก งดเนื้อสัตว์ ออกกำลังกาย... มันก็น่าจะถูกทาง แต่ทำไม กลายเป็นแบบนี้.... ยิ่งคิด ยิ่งเครียด เหมือนคนบ้า

          ตัดสินใจไปพักรักษาตัวที่วังน้ำเขียวเป็นเวลา 1 เดือน เพราะอากาศดี เหมาะกับการพักฟื้น, อาหารปลอดสารพิษ



          อ้อ... ผลเทสต์อาหาร

          เซอร์ไพรส์มากเรื่องนึง คือ หมวดเนื้อสัตว์ (Meat) ไม่แพ้สักตัวเลยค่ะ
          แต่หมวดธัญพืช (Grain) นี่ แพ้ยับเลย !!!
          เริ่มเห็นอะไรราง ๆ ไหมคะ


          ช่วงตั้งหลักตอนแรก ๆ โอ๋หาข้อมูลอย่างเดียว...
          ซึ่งทำให้รู้ว่าข้อมูลของไทยเกี่ยวกับอาการ หรือโรคแบบนี้ ไม่มีเปิดเผยมากนัก (แต่เชื่อว่ามีคนเป็นกันเยอะ)
          โอ๋หาข้อมูลจากเมืองนอกซะส่วนใหญ่... ไปเจอหนังเรื่องนึง ดูซ้ำหลายรอบมาก ๆ คือเรื่อง

          "FAT SICK AND NEARLY DEAD"

          คือมี ผช. คนหนึ่ง ป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับภูมิคุ้มกันบกพร่อง แล้วเขาก็รักษาตัวเองด้วยการดื่มน้ำผักจนหายดี และแข็งแรงกว่าเดิม เขาเดินสายทำแคมเปญ ให้คนหันมาดื่มน้ำผักกันมาก ๆ

          โอ๋ก็ลองนะคะ... แต่ต้องขอบอกว่า บ้านเราไม่เหมาะเท่าไร เพราะผัก-ผลไม้มีแต่สารพิษ มีแต่ยาฆ่าแมลง... ยิ่งกิน ยิ่งหนัก !!!

          ตอนนั้น ร่างกายโอ๋ Sensitive มาก ๆ // เคยขับรถแล้วหิว ก็หยิบแอปเปิลที่ล้างมาอย่างดีแล้ว ใส่ปาก (แต่ไม่ได้ปอกเปลือก) ปรากฏว่า มัน "ซ่าน" ไปทั้งปากเลยค่ะ

          เหมือนกันว่า ตอนนั้น เรา detector สารพิษได้เลย... เข้าปากปุ๊บ อันไหนมีพิษ ร่างกายแสดงอาการปฏิเสธทันที !!!

          โอ๋หาภาพตอนป่วยหนัก ๆ ไม่เจอ... แต่หลาย ๆ คน จำโอ๋ไม่ได้เลยล่ะค่ะ

          นน. ก่อนป่วยที่เคยมากที่สุดคือ 58 kg แต่ตอนป่วยหนักถึง 64 kg

          คุณหมอบอกว่า ถ้าเคร่งครัดเรื่องอาหารมาก ๆ จะดีขึ้นใน 6 เดือน
          แต่จะฟื้นเร็วแค่ไหน ขึ้นกับร่างกายเราด้วย...

          โอ๋ใช้เวลาประมาณเกือบปี ถึงเริ่มใช้ชีวิตปกติได้ เริ่มออกกำลังกายได้... เหมือนเวลาโอ๋หายไป 1 ปี

          ทำให้สรุปได้ว่า สาเหตุที่ป่วยคือ

          "เราทำร้ายตัวเอง"


          ใคร ๆ ก็น่าจะทราบดีนะคะ... คนเราจะสุขภาพดี แข็งแรง ประกอบด้วย
          1. อาหาร
          2. ออกกำลังกาย
          3. พักผ่อน

          เอาหลัก ๆ นะคะ 5 อ. นั้นถือเป็นส่วนขยาย

          โอ๋จะวิเคราะห์ตัวเองเป็นข้อ ๆ ให้เห็น
          **ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเป็นแบบนี้หมดนะคะ มันมีหลายปัจจัยมาก ๆ
          ความต้านทานของแต่ละคน กรุ๊ปเลือด พันธุกรรม วิถีชีวิต ... อย่าเอาตัวคุณมาเทียบโอ๋ทุกข้อ


          1. อาหาร
          เนื่องจากโอ๋ เลือดกรุ๊ปโอ...
          กระเพาะมีความเป็นกรดสูง สามารถย่อยอาหารจำพวกเนื้อได้ดีกว่าเลือดกรุ๊ปอื่น แต่ระบบการเผาผลาญไม่ค่อยดี ระดับฮอร์โมนไทรอยด์ไม่ค่อยคงที่ ตามติดมาด้วยปัญหาเลือดแข็งตัวช้า

          **สิ่งที่โอ๋หลับหูหลับตาทำคือ "งดเนื้อสัตว์" ไปทานมังสวิรัติ
          ทานธัญพืช ทานผัก และของปรุงแต่ง (ไส้กรอกเจ อาหารกระป๋อง)

          .. ถ้าคนที่กินเจนาน ๆ อาจจะทราบว่า มันเก็บกด อยากกินไส้กรอก อยากกินสเต๊ก แต่ไม่สามารถ.. หนีไม่พ้นต้องทานของเทียม ซึ่งมีแต่สารปรุงแต่ง

          ต่างกับตอนเดิมคือ.. กินทุกอย่าง อาจจะเจอของที่แพ้บ้าง แต่เราก็ไม่ได้กินซ้ำซาก // ร่างกายก็มีระบบขับของเสียออกเองได้

          อย่าเพิ่งสรุปนะคะว่าการทานมังสวิรัติ ทำให้ขาดสารอาหารเสมอไป... มันไม่เฉพาะกับทุกคน

          อย่างคนกรุ๊ปเลือด A หรือ AB ร่างกายก็เหมาะกับการย่อยแป้ง พืชผัก และธัญพืช อย่างน่าประหลาดใจ (เมื่อเทียบกับคนกรุ๊ปโอ) ดังนั้น จึงอยากเลี่ยงการฟันธงว่าเป็นเพราะสาเหตุใดสาเหตุหนึ่ง...

          ***พี่ที่รู้จักกัน ไม่ได้ออกกำลังกาย (ประเด็น Overtrain จึงไม่มีโอกาสเกิดขึ้นแน่นอน)
          - เลือดกรุ๊ปโอ ทานมังสวิรัติอยู่นานหลายปี สุดท้ายป่วยเป็นรูมาตอยด์ (ภูมิบกพร่องสายเดียวกันกับ SLE)...
          -กินสารพิษ สารปรุงแต่ง มากเกิน (ไส้กรอกเจ อาหารกระป๋อง)

          ก่อนหน้านี้ ชอบมากค่ะ มาม่า... ขนมขาไก่
          แต่เนื่องจากกลัวอ้วนค่ะ กลัวอ้วน... ถ้าอยากกินขาไก่มาก ๆ ต้องยอมอดข้าว เพราะ ๆๆๆๆๆ ถ้าใครเคยกินขาไก่ จะรู้ว่ามันอร่อยมาก และยากจะห้ามจายยย ขาไก่สามรส หวาน ๆ เค็ม ๆ มัน ๆ ถ้าไม่ยั้ง ก็หมดปี๊บ ... ต้องแบ่งใส่กล่อง จะทานหนึ่งกล่อง งดข้าวมื้อหลัก 1 มื้อ


          มาม่า แอบแม่กินแต่เด็ก
          ชอบมากคือแบบแห้ง
          วิธีใช้ : บด เท (ผง) (ช้อน) ตัก

          คืนไหนดูหนังดึก ๆ อยากทานขนม แต่โควตาหมดแล้ว... ต้องมีนี่ค่ะ !! ผงมาม่ารสต้มยำ
          วิธีใช้ : เท (ผง) (นิ้ว) จิ้ม ดูด

          ** สงสัยใช่ไหมคะ ทำไมมีผงมาม่าเหลือ อ๋ออออ คนที่บ้านเขากินมาม่าไม่ค่อยใส่ผงชูรสกันค่ะ หึหึ กลัวชูรส เสร็จโจร

          ทำแบบนี้มาน่าจะเป็นสิบปีค่ะ ฝึกมานาน (เขินจุง)
          เด็ก ๆ ชอบกินขนมถุงมาก ไอผง ๆ ในถุงนี่ ไม่เคยปล่อยผ่าน

          ของพวกนี้ มันสะสมค่ะ ใช้เวลานาน.. นาน นานนนน
          และคิดเข้าข้างตัวเองว่า เรากินได้ ไม่เป็นอะไร กินมาตั้งแต่เด็ก ถ้าไม่ดี หัวก็ต้องล้านแล้วเซ่... นี่ไม่เห็นจะลิ้นชาเลยยยย อร่อยจะตาย กร๊ากกก (สมน้ำหน้าตัวเอง)

          คือโดยปกติ ร่างกายเขามีระบบการล้างสารพิษและของเสีย ของแปลกปลอมออกจากตัวเองอยู่แล้ว
          สมมติว่า เปรียบเทียบ เรา เป็น เครื่องดูดฝุ่น

          ดูด (คือรับสารพิษมา) / กรอง (คือ ระบบภูมิคุ้มกัน ดักของเสีย) / เทผง (คือร่างกายกำจัดพิษออกนอกร่างกาย)

          -อายุ 15 กินพิษ 50 (เครื่องใหม่) ดูด 50 กรอง 50 เทผง50  ใช้เวลา 1 วัน //พิษตกค้าง 0
          -อายุ 20 กินพิษ 50 (เครื่องเก่าลง) ดูด 50 กรอง 40 เทผง 40  ใช้เวลา 2 วัน //พิษตกค้าง 10 ใช้เวลาเอาออก (วนกระบวนการ) เพิ่มอีก 1 วัน
          -อายุ 30 กินพิษ 50 (เครื่องเก่าลง) ดูด 40 กรอง 30 เทผง 20  ใช้เวลา 4 วัน //พิษตกค้าง 30 ใช้เวลาเอาออกเพิ่มอีก 3 วัน
          -อายุ 40 กินพิษ 50 (เครื่องเก่าลง) ดูด 30 กรอง 20 เทผง 10  ใช้เวลา 5 วัน //ตกค้าง 40 ใช้เวลาเอาออกเพิ่มอีก 4 วัน


          ถ้าร่างกายระบายพิษไม่ทันจนเต็ม 100 จะแสดงออกเป็น ALARM ด้วยอาการแพ้ เช่น ผด ผื่น คัน ....

          พอเห็นภาพไหมคะ

          ตอนหลังนี่ หลังจากสารพิษรางวัลเก่าจากตอนเด็ก บวกรางวัลใหม่จากการกินของปรุงแต่ง อาหารกระป๋อง process food ทั้งหลาย

          ไม่ต้องอธิบายเพิ่มนะคะ
          #ทำร้ายตัวเองแท้ ๆ

          -ขาดสารอาหาร เนื่องจากเข้าสู่ภาวะ Overtrain

           OverTrain

          ฝึกเกิน หรือ Over-train การฝึกเกิน ทำให้ร่างกายฟื้นตัวจากการซ้อมไม่ทัน ทำให้เกิดผลย้อนกลับทางร่างกายที่เรียกว่า negative feedback เพื่อยับยั้งการออกแรงของร่างกายด้วย
          - การตัดระบบพลังงานร่างกาย ซึ่งไม่ว่าโปรแกรมอาหารจะดีเพียงไร เราก็ยังมีอาการเบื่ออาหาร อ่อนเพลีย อย่างไร้สาเหตุ เนื่องจากร่างกายสั่งตัดระบบพลังงานลงนั่นเอง
          - ด้านจิตใจ ทำให้ร่างกายเกิดอาการ เหนื่อย เบื่อ ท้อ เพื่อยับยั้งไม่ให้ร่างกายกลับไปฝืนออกหนัก ๆ อีก
          - อาการบาดเจ็บต่าง ๆ ที่เกิดจากการซ้อมซ้ำ ๆ ทั้งที่ร่างกายยังไม่หายดีนั่นเอง

          การฝึกเกินอาจเกิดจากปัจจัยหลาย ๆ อย่างรวมกัน

          1. การฝึกที่มากเกินไป ไม่ว่าจะเป็นจำนวนวันฝึกที่ถี่ไป มากไป ซ้อมหนักไป ถึงการฝึกคาร์ดิโอจะไม่ทำให้เรารู้สึกเหนื่อยจะเป็นจะตายเหมือนเวท แต่ก็ส่งผลต่อร่างกายเช่นกัน

          2. ภาวะโภชนาการที่ไม่ดี หมายรวมถึงทุก ๆ ด้าน เช่น พลังงานน้อยหรือมากเกินไป สัดส่วนสารอาหารที่ไม่เหมาะสม การแพ้อาหารบางชนิด การอดอาหารเป็นเวลานาน ๆ ทำให้พักผ่อนไม่เพียงพอด้วย

          3. ภาวะร่างกายเจ็บป่วย ร่างกายที่กำลังป่วยมีระดับพลังงานและระดับภูมิคุ้มกันที่ต่ำ และเสี่ยงต่อการ overtrain ได้ง่ายมาก ดังนั้นช่วงป่วยไม่ควรฝืน

          4. ภาวะความเครียด หรือคิดมากอาจไม่แสดงอาการและผู้เป็นอาจไม่รู้สึก ภาวะเครียดนี้จะชักนำร่างกายสู่โหมดสูญสลาย catabolic ดังนั้นการต้องเผชิญความเครียด และการฝึกหนักพร้อมกันทำให้เสี่ยงต่อการ overtrain ได้

          5. การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอส่งผลให้ร่างกายอ่อนแอ และซ่อมแซมตัวเองไม่ทัน ทำให้ไม่พร้อมต่อการฝึกหนัก ๆ

          จะบอกว่า... สามอย่างที่โอ๋ทำ เป็นปัจจัย เนื่องจากโอ๋ทำทุกอย่างแบบหนักหน่วง และพร้อม ๆ กัน ถึงทำให้พังเร็วมาก !!!

          แต่คนที่ไม่ได้ทำครบทุกอย่างอย่างโอ๋ คือ แค่คุมอาหาร // แค่ออกกำลังหนัก // แค่ชอบดีท็อกซ์ // อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือสองอย่าง  ก็อย่าคิดว่าจะไม่เป็นอะไรนะคะ !!!

          สังคมก็กระหน่ำแชร์ กระแสบางอย่างก็มาแรง... แห่กินคลีน กินน้ำผักแทนข้าว ออกกำลังกายเป็นบ้าเป็นหลัง

          ช่วงหลังมานี่ เห็นเพื่อนคนหนึ่ง... อดหลับอดนอน แล้วก็ไปวิ่งมินิมาราธอน... บางทีก็วิ่งไปสนามบอล เพื่อเตะบอลต่อ แล้ววิ่งกลับบ้าน// เห็นแล้วนึกถึงตัวเองเลยค่ะ // บางทีคนมันไม่รู้ไง ว่าทำแบบนี้ เราโอเค แต่ร่างกายเราโอเคกับเราด้วยไหม "ถามเขาสักคำรึก็เปล่า"

          ทางสายกลาง อย่างที่เพื่อน ๆ คอมเม้นท์กันนั่นแหละค่ะ ปลอดภัยที่สุดแล้ว

          สรุปว่า โอ๋กลายเป็นคนป่วยแบบที่ดูเหมือนไม่ป่วยเท่าไหร่...

          เพราะจู่ ๆ ก็เกิดเพลียไม่มีแรง สลบไปดื้อ ๆ
          บางทีตัวบวม หน้าบวม ตึงไปทั้งหน้า
          หายใจไม่ออก อึดอัด แต่ไม่ถึงกับชัก
          ผื่น คัน ทั้วตัว

          อาการแปลก ๆ ของเราเหล่านี้ ... "ไม่ปกติ"  นะคะ
          ใครเริ่มมีอาการ ให้หันกลับมาดูตัวเองนิดนึง ว่ามีปัจจัยไหนขาดหายไปรึเปล่า

          ที่จริงแล้ว ร่างกายเขาบอกเราตลอดแหละ... แต่เราไม่ฟังเขาเอง
          เพราะเราไม่รู้ไง ว่าไออาการแบบนี้ คืออะไร

          ถ้ารู้ว่า "ทำแบบนี้ แล้วจะป่วย" ใครจะทำ !!! จริงไหม ?

          แล้วหลังจากป่วยแบบนั้นแล้ว... ทำยังไง!?

          เนื่องจากเราจะเน้นรักษาแบบไม่กินยา
          คือโอ๋เข้าใจว่า "ระบบภูมิคุ้มกันพังใช่ไหม" โอเค งั้นเรามาซ่อมระบบนี้กัน

          ภูมิมันเพี้ยนไป คิดง่าย ๆ แบบนี้

          ไอเจ้าระบบนี้ ทำหน้าที่เหมือนยาม คอยรักษาการณ์หน้าประตู อะไรแปลกปลอมผ่านมา ยามกด Alarm แอ๊ด ๆ เมื่อไหร่ คือเหมือนเอาไม้ตีสิ่งแปลกปลอม >> ไอยามนี่พัง ตีมั่วเลย กินอาหารอะไรเข้าไป พี่ยามตีเกลี้ยงเลย Detect ผิด

          เอางี้... มาตกลงกันใหม่ ช่วงนี้ อะไรที่เราเทสต์มาแล้วไม่แพ้ กินแค่นั้น พี่ยามจะได้ไม่ต้องมาตีมั่ว... เพราะทุกครั้งที่โดนตี จุดอื่นก็จะโดนลูกหลง อักเสบเรื้อรังไปด้วย

          โอ๋เยียวยาตัวเองด้วยการไม่กินอาหารที่แพ้เลย... พลาดบ้าง หลุดบ้าง ก็เริ่มใหม่ ใช้เวลาเป็นปี กว่าจะกลับมาใช้ชีวิตแบบค่อนข้างปกติได้

          (เริ่มซ่อมร่างใหม่)

















          กินอาหารธรรมชาติ เลี่ยงของปรุงแต่ง อาหารกระป๋อง อาหารสำเร็จรูป

          จากช่วงสองปีแรก ที่ออกกำลังไม่ได้เลย... แค่เดินก็เหนื่อย

          ตอนนี้ ออกกำลังกายได้แล้วนะ
          อาหารก็ไม่แพ้เหมือนเดิมแล้ว แต่ก็ยังมีบางอย่างที่งดอยู่
          ใช้ชีวิตได้ค่อนข้างปกติ
          (แต่ก็เรียกว่ายังไม่หาย 100%)




          เมื่อต้นปี 58 ปั่นน้องมะนาวไปสวนผึ้งมาด้วย ^^





          ก.พ. 59 ก็ไปมินิมา



          เห็นไหม... แข็งแรงขึ้นแล้ว

          ความเจ็บป่วยของโอ๋ครั้งนี้ เป็นประสบการณ์ชีวิตอันแสนแพง...
          อยากแบ่งปันเรื่องราวให้ทุกคนได้อ่าน เผื่อจะมีคนใกล้ชิด เพื่อนฝูง ญาติที่น้อง หรือกระทั่งตัวเองที่เป็นแบบนี้ หรือมีอาการอะไรบางอย่างแบบนี้ได้ "หันกลับมาฟัง ร่างกายตัวเอง" กันบ้าง ว่าเขาเอาอะไร ไม่เอาอะไร
          ร่างกายเขาฉลาดนะคะ เขาปรับตัวเก่ง
          โอ๋ไม่อยากให้ใครต้องมาเจ็บป่วยอะไรแบบนี้อีกเลย... จริง ๆ

          "ขอให้ประสบการณ์ชีวิตนี้ เป็นวิทยาทาน"

          ให้ทุกคนมีสุขภาพที่ดี ห่างไกลจากโรคภัย
          ใช้ชีวิตแบบมีความสุข เอื้อเฟื้อกัน มีน้ำใจกัน ....

          โอ๋เพิ่งทำเพจขึ้นมา เพื่อแบ่งปันเรื่องราว ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพ ใครมีคำถามอะไร เข้าไปคุยกับโอ๋ได้เลยนะคะ ^^
          ยินดีแบ่งปันค่ะ

          ถ้าคิดว่าข้อมูลนี้มีประโยชน์กับเพื่อน ๆ กดแชร์ ได้เลยนะคะ ขอบคุณที่ติดตาม และขอบคุณทุกกำลังใจที่ส่งมาด้วยค่ะ

          มาพูดคุย แลกเปลี่ยนกันได้ที่ page พี่โอ๋ www.facebook.com/OaBodyMild

ขอขอบคุณข้อมูลและภาพจาก
คุณหมวยสมถะ สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม, เฟซบุ๊ก OaBodyMild, letterplanet.com


เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ดูแลตัวเองจนป่วยเกือบตาย สาว ๆ ที่ชอบออกกำลังกาย กินมังสวิรัติ นับแคล ดีท็อกซ์ ต้องอ่าน ! อัปเดตล่าสุด 17 กันยายน 2559 เวลา 10:30:45 152,138 อ่าน
TOP