
ผลิตภัณฑ์ที่ผสมสมุนไพรกำลังเป็นที่นิยมในกลุ่มคนรักสุขภาพ ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นแนว ๆ อาหาร เครื่องดื่ม ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม หรือเครื่องสำอาง ซึ่งเดี๋ยวนี้มีวางขายหลายรูปแบบมาก ๆ แม้แต่ผ้าอนามัย ของใช้ส่วนตัวคุณผู้หญิงก็ยังมีแบบ "ผ้าอนามัยสมุนไพร" วางขายในอินเทอร์เน็ต แถมยังอ้างสรรพคุณว่าใช้แล้วรักษาโรคได้มากมาย ทั้งลดอาการปวดประจำเดือน ช่วยอาการตกขาว คันในช่องคลอด ลดติดเชื้อแบคทีเรียในช่องคลอด บรรเทาอาการริดสีดวงทวาร ลดการติดเชื้อที่ทวารหนักและลำไส้ใหญ่ ฯลฯ

ฟังดูแล้วต้องร้องโอ้โห ผ้าอนามัยสมุนไพรมีสรรพคุณเจ๋งขนาดนี้เลยหรือนี่ ? กระปุกดอทคอมเลยนำข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) มาอธิบายให้ฟังกันว่า ผ้าอนามัยสมุนไพร รักษาโรคได้จริงหรือ
...เรื่องนี้ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ให้ข้อมูลมาว่า ผ้าอนามัยสมุนไพรที่อ้างสรรพคุณช่วยรักษาสารพัดโรคนั้นเป็นคำโฆษณาที่โอ้อวดสรรพคุณเกินจริงทั้งสิ้น โดยในความเป็นจริง "ผ้าอนามัย" จัดเป็นเครื่องสำอางควบคุม ใช้สำหรับรองรับดูดซับเลือดประจำเดือน (ระดู) และต้องผลิตขึ้นโดยผ่านการทำให้สะอาดและถูกสุขลักษณะ แต่ "ผ้าอนามัยสมุนไพร" ผู้ผลิตจะใส่สมุนไพรหรือสารบางอย่างลงในผ้าอนามัย ซึ่งอาจไม่ส่งผลดีและไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใด ๆ เลย

อ่านคำชี้แจงจาก อย. แล้ว สาว ๆ ก็คงเข้าใจชัดเจนขึ้นแล้วนะคะว่าควรเลือกใช้ผ้าอนามัยแบบไหนถึงจะปลอดภัยกับจุดซ่อนเร้น ซึ่งนอกจากเลือกใช้ผ้าอนามัยที่เหมาะกับตัวเองแล้ว ก็อย่าลืมเปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อย ๆ ทุก 4-6 ชั่วโมง เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอาการผดผื่นคัน หรืออาการติดเชื้อที่ทางเดินปัสสาวะ และโรคติดเชื้อทางช่องคลอด
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา