1. การฝึกซ้อม
นักวิ่งบางคนมีเวลาซ้อมน้อย ไม่ได้ซ้อมถูกขั้นตอน ไม่ได้เรียนรู้ลำดับการวิ่งที่เหมาะสมกับต้นทุนของตนเอง แล้วก็ลงวิ่งเลย นั่งวิ่งเหล่านี้อาจจะวิ่งครบระยะตามตั้งใจ แต่อาจเกิดการบาดเจ็บ บางคนท้อถอย และมองการวิ่งในทางลบเลยก็เป็นได้ เราจึงต้องฝึกฝนร่างกายให้ทนทานกับระยะ 10 กม. ซ้อมวิ่งเพื่อสะสมระยะทางให้มากขึ้น หากเหนื่อยและล้าระหว่างการวิ่งให้วิ่งช้าลง หรือวิ่งสลับเดิน
2. การกินอาหาร
ถ้าเป็นนักวิ่งเพื่อสุขภาพทั่วไป เพียงรับประทานปกติ ครบ 3 มื้อ และ 5 หมู่ ก็เพียงพอแล้ว ไม่ได้ขาดคาร์โบไฮเดรต หรือ ไกลโคเจน สำหรับนักวิ่งหน้าใหม่นอกจากต้องซ้อมให้เพียงพอแล้ว ควรกินอาหารให้มีประโยชน์กับร่างกายก็เพียงพอ ถึงแม้ว่าจะเป็นนักกีฬาระดับแนวหน้า แต่ช่วงซ้อมกินอาหารพวกคาร์โบไฮเดรตในปริมาณน้อย และก่อนวันแข่งขัน กลับกินอาหารพวกคาร์โบไฮเดรตมากกว่าปริมาณปกติ (กินเพื่อสะสมพลังงานในการวิ่ง) อาจทำให้เจ็บป่วยได้ เพราะร่างกายขาดไกลโคเจน และอ่อนแอกว่าปกติ ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อการแข่งขันแน่นอน
ก่อนเริ่มวิ่งประมาณ 1 ชั่วโมง ควรทานคาร์โบไฮเดรต อาจจะเป็นขนมปัง หรือกล้วยสัก 1 ผล เพื่อมีเวลาให้ร่างกายนำอาหารเข้าไปใช้ ส่วนน้ำเป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักวิ่งมาก ก่อนถึงเวลาแข่งประมาณ 20-30 นาที ให้ดื่มน้ำ 1-2 แก้ว และควรเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อย
3. การวอร์มอัพ (warm up)
ตามหลักการแล้วควรวอร์มอัพร่างกายประมาณ 30 นาที แต่ในความเป็นจริง ร่างกายแต่ละคนมีความแตกต่างกัน ต้องทำให้ร่างกายรู้สึกถึงความพร้อมในการทำกิจกรรมที่หนักขึ้น กล้ามเนื้อมีความยืดหยุ่นตัวที่ดี ข้อต่อต่าง ๆ ทำงานได้ดีขึ้น ระบบการไหลเวียนเลือดดี ปอดมีการเตรียมตัวในการถ่ายเทออกซิเจน หัวใจทำงานเพิ่มขึ้น อัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้น นับเป็นองค์ประกอบที่จะต้องอบอุ่นร่างกาย เพื่อให้ร่างกายใกล้เคียงโหมดการแข่งขัน หรือระดับแอโรบิกนั่นเอง