ละลายเสมหะแบบไม่ต้องพึ่งยาให้ลำบากใจ เพราะแค่เรารู้ว่าควรกินอาหารอะไรที่ช่วยกำจัดเสมหะ ควรเลี่ยงอาหารอะไรที่อาจเพิ่มเสมหะ แค่นั้นก็พอแล้ว
ช่วงที่มีเสมหะอยู่ในลำคอ เป็นช่วงชีวิตที่น่ารำคาญมาก ๆ เลยใช่ไหมล่ะ แล้วพอรู้สึกไม่สบายตัว ใจก็พลอยเบื่อหน่ายไปกับทุกสิ่งทุกอย่างรอบ ๆ กายด้วย เฮ้อ...แต่อย่าเพิ่งนอยด์ไปเลยค่ะ เรามาดูกันดีกว่าว่า นอกจากการใช้ยาละลายเสมหะแล้วเมื่อมีเสมหะอาหารชนิดไหนที่ช่วยละลายเสมหะได้ และอาหารชนิดไหนที่กินเข้าไปแล้วเสมหะจะเยอะขึ้น
อาหารช่วยละลายเสมหะ
1. น้ำ
น้ำเป็นเครื่องดื่มมหัศจรรย์ที่ช่วยในกระบวนการทำงานส่วนต่าง ๆ ของร่างกายให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นได้ โดยเฉพาะเมื่อร่างกายมีเสมหะ มีน้ำมูกคอยกวนตัวกวนใจอยู่ การดื่มน้ำมาก ๆ จะช่วยละลายเสมหะ ช่วยร่างกายกำจัดน้ำมูกไปด้วยในตัว อ้อ...ทางที่ดีดื่มน้ำอุ่นหรือน้ำอุณหภูมิห้องจะดีที่สุดนะคะ
2. อาหารรสเผ็ดร้อน
เช่น ต้มยำ แกงเลียง ต้มโคล้ง อาหารน้ำ ๆ ที่มีรสชาติเผ็ดร้อนจากพริกและสมุนไพรหลากหลายชนิดจะช่วยขับเสมหะและเปิดทางเดินระบบหายใจให้โล่งสบายขึ้น
3. ดื่มน้ำขิง
ถ้าไม่ไหวจะกินอาหารหนัก ๆ น้ำขิงอุ่น ๆ สักแก้วก็ช่วยขับเสมหะให้ได้เหมือนกัน เพราะขิงเป็นสมุนไพรมีรสเผ็ดร้อน มีสรรพคุณช่วยละลายเสมหะ ขับลม ขับเหงื่อ และบรรเทาอาการไอ
4. มะนาวช่วยได้
มะนาว หรือผลไม้รสเปรี้ยวอุดมไปด้วยวิตามินซี มีสรรพคุณบรรเทาอาการอักเสบ แถมยังช่วยขับเสมหะและแก้ไอก็ยังได้ โดยสามารถดื่มน้ำมะนาวคั้นสด ผสมเกลือ น้ำผึ้งเล็กน้อย เติมน้ำอุ่นอีกหน่อยแล้วจิบให้ชุ่มคอได้เลย
5. มะขาม
มะขามมีกรดทาร์ทาริกซึ่งมีฤทธิ์บรรเทาอาการไอ แก้อักเสบ จึงเป็นผลไม้อีกชนิดที่ช่วยขับเสมหะได้ โดยนำมะขามเปียกมาต้มกับน้ำตาลและเกลือเล็กน้อย จิบเป็นสมุนไพรขับเสมหะรสอร่อยกลมกล่อมได้ทันที ทว่ามะขามมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อน ๆ ด้วยนะคะ ดังนั้นก็ไม่แนะนำให้กินมะขามมากเกินไป เพราะอาจก่ออาการท้องเดินได้
6. แซลมอน
ปลาแซลมอนมีกรดไขมันโอเมก้า 3 สูง ซึ่งกรดไขมันชนิดนี้มีสรรพคุณช่วยลดอาการอักเสบและขับเสมหะให้ร่างกายได้ โดยจะกินปลาแซลมอนดิบคู่กับวาซาบิเผ็ดร้อนก็ดี หรือกินเป็นซุปแซลมอนก็คล่องคอ
7. ปลาทูน่า
ถ้าไม่ชอบปลาแซลมอนจะเลือกกินปลาทูน่าเพื่อเพิ่มกรดไขมันโอเมก้า 3 ก็ได้นะคะ ปลาทะเลชนิดนี้ก็มีกรดไขมันดีอยู่สูงพอตัว มีส่วนช่วยลดการอักเสบและช่วยละลายเสมหะได้ไม่แพ้กัน
8. ฟักทอง
ซุปฟักทองร้อน ๆ ก็ช่วยขับเสมหะให้ได้ เพราะในฟักทองมีกรดไขมันโอเมก้า 3 อยู่ด้วยเหมือนกัน โดยเฉพาะในเมล็ดฟักทองค่ะ นอกจากนี้ฟักทองยังอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระดี ๆ อีกหลายตัว มีส่วนช่วยเราต่อสู้กับเชื้อโรคก่อเสมหะและน้ำมูกได้แน่นอน
9. สับปะรด
สับปะรดไม่ได้มีดีที่วิตามินและไฟเบอร์เท่านั้น แต่ยังมีเอนไซม์บรอมีเลนซึ่งจะช่วยยับยั้งอาการอักเสบ ช่วยบรรเทาอาการไอแบบมีเสมหะได้อย่างดี และหากมีน้ำมูกด้วยสับปะรดก็จะช่วยลดน้ำมูกให้ด้วยล่ะ
10. กระเทียม
หั่นกระเทียมเป็นแว่น ๆ แล้วแช่ในน้ำร้อนประมาณ 2-3 นาที แล้วกรองเอาแต่น้ำมาจิบเป็นชากระเทียมอุ่น ๆ เพื่อให้สารต้านอนุมูลอิสระในกระเทียมช่วยขับเสมหะและบรรเทาอาการหวัดไป และจะยิ่งดีเลยหากคุณเติมน้ำผึ้งลงไปในชากระเทียมสักหน่อย เพิ่มพลังในการต้านอาการอักเสบไปอีกเท่าตัว
อาหารที่ควรเลี่ยงเมื่อมีเสมหะ
1. นมและผลิตภัณฑ์จากนม
นมและผลิตผลัณฑ์จากนม เช่น ชีส เนย หรือมาการีน อาจทำให้เสมหะและน้ำมูกมีปริมาณเพิ่มขึ้นหรือมีความข้นขึ้น ที่สำคัญนมอาจขัดขวางการดูดซึมของยารักษาโรคด้วยนะคะ ดังนั้นช่วงที่ป่วย มีเสมหะ ต้องกินยา ก็ควรหลีกเลี่ยงการดื่มนมและผลิตภัณฑ์จากนมทุกชนิด
2. อาหารมัน ๆ
ของมัน ของทอด เป็นสิ่งที่ควรเลี่ยงด้วยเช่นกัน เพราะไขมันมีส่วนทำให้เสมหะข้นเหนียว ก่อให้เกิดอาการอักเสบในร่างกายเพิ่มขึ้นได้
3. น้ำอัดลม
แม้จะปากจืดอยากเติมความหวานให้ร่างกายมากขนาดไหน แต่ก็ควรหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำอัดลมอย่างเด็ดขาดเลยค่ะ เพราะน้ำอัดลมมีผลเพิ่มอาการอักเสบต่าง ๆ ในร่างกาย และอาจกระตุ้นให้มีเสมหะหรือน้ำมูกมากขึ้นด้วยนะ
4. เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน
ชา กาแฟ เครื่องดื่มชูกำลัง และน้ำอัดลมก็อยู่ในกลุ่มเครื่องดื่มที่ควรเลี่ยงค่ะ เพราะเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนจะทำให้ร่างกายขาดน้ำ ดังนั้นหากกินมากเกินไปก็จะเพิ่มความข้นหนืดให้กับเสมหะหรือน้ำมูกได้
5. เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
เหล้า เบียร์ ก็เป็นเครื่องดื่มที่ขับน้ำในร่างกายเช่นกัน ดังนั้นหากมีเสมหะ มีน้ำมูก เป็นหวัด หรือไม่สบายใด ๆ ก็ไม่ควรดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ด้วยประการทั้งปวง
ได้ทราบอย่างนี้แล้วก็เลือกกินให้ถูกเพื่อบรรเทาและกำจัดอาการป่วยของร่างกายได้เลย นอกจากนี้อย่าลืมพักผ่อนให้เพียงพอ อาบน้ำอุ่น และรับประทานยาตามแพทย์สั่งด้วยนะคะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
livestrong
medicalnewstoday
lunginstitute
ได้ทราบอย่างนี้แล้วก็เลือกกินให้ถูกเพื่อบรรเทาและกำจัดอาการป่วยของร่างกายได้เลย นอกจากนี้อย่าลืมพักผ่อนให้เพียงพอ อาบน้ำอุ่น และรับประทานยาตามแพทย์สั่งด้วยนะคะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
livestrong
medicalnewstoday
lunginstitute