องค์การเภสัชกรรม เตรียมสกัดน้ำมันกัญชาเพื่อการแพทย์ ล็อตแรก 2,500 ขวด คาดเสร็จกรกฎาคม-สิงหาคม นี้ พร้อมส่งต่อให้กับกรมการแพทย์เพื่อนำไปทดลองใช้กับผู้ป่วยควบคู่กับการศึกษาวิจัย
ประเดิมล็อตแรก 2,500 ขวด ใช้สำหรับวิจัยใน 4 กลุ่มโรค
โดยน้ำมันกัญชาที่สกัดออกมานี้
มาจากต้นกัญชาสายพันธุ์นำเข้าจากประเทศสเปนเป็นหลัก เนื่องจากมีสาร CBD และ
THC สูง ซึ่งสารดังกล่าวมีการวิจัยในต่างประเทศระบุแน่ชัดว่า สามารถรักษา 4
กลุ่มโรคได้ เช่น โรคลมชักในเด็ก กล้ามเนื้อแข็ง
ผู้ป่วยมะเร็งที่มีอาการคลื่นไส้อาเจียนจากการได้รับยาเคมีบำบัด
และปวดเรื้อรัง และกลุ่มโรคที่น่าจะมีประโยชน์ทางการแพทย์ อาทิ
โรคพาร์กินสัน อัลไซเมอร์ เครียด เป็นต้น
ซึ่งหลังจากที่ส่งน้ำมันกัญชาล็อตแรกให้กรมการแพทย์ แล้ว ทางองค์การเภสัชกรรม จะดำเนินการผลิตน้ำมันกัญชาทยอยส่งมอบให้อย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับการศึกษาวิจัยในผู้ป่วย ซึ่งในระยะแรกนี้ สามารถผลิตดอกกัญชาได้เพียง 100 กิโลกรัมต่อปี สามารถสกัดเป็นน้ำมันกัญชาได้ประมาณ 1 หมื่นขวดเท่านั้น ซึ่งไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้ป่วย
เตรียมขยายผลระยะที่ 2 ต่อยอดสู่ระดับกึ่งอุตสาหกรรม
ดังนั้น ภายในต้นปี 2563 จึงจะเริ่มขยายการปลูกกัญชาในระยะที่ 2 ซึ่งจะทำให้มีกำลังผลิตมากขึ้นจากเดิมสูงถึง 8 เท่า สามารถสกัดน้ำมันกัญชาได้สูงถึง 8 แสนขวดต่อปี ในพื้นที่โรงงานผลิตยารังสิตคลอง 10 อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี ซึ่งเป็นโรงงานขององค์การเภสัชกรรม โดยรวมแล้วงบประมาณที่ใช้ในการดำเนินทั้ง 2 ระยะรวมทั้งหมดกว่าร้อยล้านบาท
แม้องค์การเภสัชกรรม จะมีกำลังผลิตน้ำมันกัญชานับแสนขวด
แต่ก็ถือว่าไม่มากนัก หากเทียบกับความต้องการของผู้ป่วยในประเทศ
ที่คาดว่ามีไม่ต่ำกว่า 3 แสนคน ดังนั้น ขณะนี้จึงมีหน่วยงานอื่น ๆ เช่น
สถานศึกษา หรือเอกชน ร่วมกันปลูก
สกัดน้ำมันกัญชาเพื่อทางการแพทย์อีกหลายราย
และไม่เพียงสกัดน้ำมันเพียงอย่างเดียว ในอนาคตมีแผนในการผลิตเป็นยาแบบเม็ด
เจล และยาแปะ เพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งานของผู้ป่วย
ภาพจาก องค์การเภสัชกรรม
นายแพทย์วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์
ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม
เปิดเผยกับทีมข่าวกระปุกดอทคอมถึงความคืบหน้าการวิจัยกัญชาเพื่อทางการแพทย์ว่า
หลังจากที่องค์การเภสัชกรรม
ได้ดำเนินการปลูกกัญชาเพื่อทางการแพทย์ในระยะที่ 1 จำนวน 140 ต้น
ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
ประเดิมล็อตแรก 2,500 ขวด ใช้สำหรับวิจัยใน 4 กลุ่มโรค
ขณะนี้ต้นกัญชาได้เติบโตเริ่มออกดอก
เพื่อรอเก็บเกี่ยวและเข้าสู่การกระบวนการสกัดเป็นน้ำมันเพื่อนำมารักษาโรค
โดยคาดว่าล็อตแรกจะสามารถเก็บดอกและสกัดเป็นน้ำมันกัญชาได้ประมาณ 2,500 ขวด
ขวดละ 5 ซี.ซี. ได้เสร็จสิ้นประมาณช่วงเดือนกรกฎาคม ถึง สิงหาคม 2562
จากนั้นจะส่งต่อน้ำมันกัญชาให้กับกรมการแพทย์เพื่อนำไปทดลองใช้กับผู้ป่วยควบคู่กับการศึกษาวิจัย
ภาพจาก องค์การเภสัชกรรม
ซึ่งหลังจากที่ส่งน้ำมันกัญชาล็อตแรกให้กรมการแพทย์ แล้ว ทางองค์การเภสัชกรรม จะดำเนินการผลิตน้ำมันกัญชาทยอยส่งมอบให้อย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับการศึกษาวิจัยในผู้ป่วย ซึ่งในระยะแรกนี้ สามารถผลิตดอกกัญชาได้เพียง 100 กิโลกรัมต่อปี สามารถสกัดเป็นน้ำมันกัญชาได้ประมาณ 1 หมื่นขวดเท่านั้น ซึ่งไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้ป่วย
ภาพจาก องค์การเภสัชกรรม
ดังนั้น ภายในต้นปี 2563 จึงจะเริ่มขยายการปลูกกัญชาในระยะที่ 2 ซึ่งจะทำให้มีกำลังผลิตมากขึ้นจากเดิมสูงถึง 8 เท่า สามารถสกัดน้ำมันกัญชาได้สูงถึง 8 แสนขวดต่อปี ในพื้นที่โรงงานผลิตยารังสิตคลอง 10 อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี ซึ่งเป็นโรงงานขององค์การเภสัชกรรม โดยรวมแล้วงบประมาณที่ใช้ในการดำเนินทั้ง 2 ระยะรวมทั้งหมดกว่าร้อยล้านบาท
ภาพจาก องค์การเภสัชกรรม
อย่างไรก็ตาม
กัญชา ไม่ใช่ยาทางเลือกแรก หรือยาหลักที่ใช้ในการรักษาโรค
แต่เป็นเพียงยาทางเลือกสุดท้ายที่เป็นส่วนหนึ่งในการรักษา
และการที่จะใช้น้ำมันกัญชามารักษาแต่ละโรคได้นั้น
ต้องอยู่ภายใต้การดูแลควบคุมการรักษาโดยแพทย์
เพื่อให้ผู้ป่วยได้ประโยชน์มากกว่าได้โทษจากฤทธิ์ของกัญชา โดยยืนยัน
ผู้ป่วยทั่วไปที่เข้าข่ายต้องใช้กัญชาเพื่อรักษาโรค
มีสิทธิได้เข้าถึงการรักษาทุกคน
ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจและการสั่งจ่ายยาของแพทย์ ส่วนราคาแพงหรือไม่
ต้องดูที่ราคาต้นทุนการผลิต แต่รับรองว่าไม่แพงเท่าต่างประเทศ
หรือราคาถูกมากเหมือนกัญชาตลาดใต้ดินแน่นอน
ภาพจาก องค์การเภสัชกรรม
ภาพจาก องค์การเภสัชกรรม
ภาพจาก องค์การเภสัชกรรม
ภาพจาก องค์การเภสัชกรรม
ภาพจาก องค์การเภสัชกรรม
ภาพจาก องค์การเภสัชกรรม
ภาพจาก องค์การเภสัชกรรม
ภาพจาก องค์การเภสัชกรรม