ผ่านพ้นไปแล้วกับเทศกาลวันหยุด หลายคนเพิ่งกลับจากการเดินทางท่องเที่ยวเพื่อชาร์จพลังเตรียมความพร้อมรับมือกับการทำงานในปีหนูทองนี้ สุขภาพใจพร้อมแล้ว สุขภาพกายก็สำคัญไม่แพ้กัน อย่าลืมสังเกตอาการ ว่าร่างกายกำลังส่งสัญญาณบอกอะไรเราหรือไม่
สำหรับผู้ที่เพิ่งเดินทางกลับจากต่างประเทศหรือต่างจังหวัด แล้วอาจมีอาการอ่อนเพลีย หรือมีไข้สูง โดยเฉพาะในเดือนมกราคมถึงมีนาคม ซึ่งเป็นฤดูแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ รศ. พญ.รมณีย์ ชัยวาฤทธิ์ หัวหน้าหน่วยโรคติดเชื้อและเวชศาสตร์เขตร้อน ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มีข้อสังเกตและแนวทางปฏิบัติตัวสำหรับผู้ที่มีอาการเสี่ยงป่วยเป็นโรคไข้หวัดใหญ่ ดังนี้
"หลังการเดินทางควรสังเกตตัวเองว่ามีอาการที่สื่อว่าเรากำลังจะป่วยหรือไม่ โดยโรคไข้หวัดใหญ่มักมีอาการต่างจากไข้หวัดธรรมดาที่มีไข้สูง ไอ เจ็บคอ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ อ่อนเพลียมาก และอาจมีอาการท้องเสียร่วมด้วย ซึ่งหากมีไข้สูงติดต่อกัน 48 ชม. ควรรีบไปพบแพทย์ทันที เพื่อรับการรักษาอย่างเหมาะสม ซึ่งในบางรายแพทย์อาจพิจารณาให้ยาต้านไวรัส"
"การอยู่ในที่ที่คนหนาแน่นจะเป็นการเพิ่มโอกาสในการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส หากมีอาการดังกล่าวข้างต้นและจำเป็นต้องไปทำงานจริง ๆ หมอแนะนำให้สวมหน้ากากอนามัยและปิดปาก ปิดจมูกด้วยกระดาษทิชชูเมื่อไอหรือจามเสมอ โดยเฉพาะเมื่อเดินทางไปทำงานโดยรถโดยสารสาธารณะ ซึ่งเป็นพื้นที่แคบและอากาศเป็นระบบปิด รวมถึงล้างมือบ่อย ๆ ด้วยสบู่ หรือใช้แอลกอฮอล์เจลร่วมด้วย โดยเฉพาะหลังการไอ จาม เพื่อป้องกันและยับยั้งการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสไปสู่คนที่ทำงานร่วมหรือคนรอบข้างที่เดินทางไปทำงานร่วมกับเรา การคำนึงถึงผู้อื่นและสังคมเป็นสิ่งสำคัญมากที่หมออยากจะเน้นย้ำ โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป เด็กอายุน้อยกว่า 2 ขวบ หญิงตั้งครรภ์ ผู้มีโรคประจำตัว เช่น โรคปอด โรคหัวใจ โรคไต ที่มีความเสี่ยงต่อโรครุนแรง" รศ. พญ.รมณีย์ ชัยวาฤทธิ์ กล่าวเสริม
กลับมาทำงานทั้งที ถ้าเกิดเจ็บป่วยคงไม่สนุก และอาจส่งผลต่องานสำคัญที่เรากำลังดูแลอยู่ โดยเฉพาะหากป่วยเป็นโรคไข้หวัดใหญ่ การใช้ยาต้านไวรัสภายใต้คำแนะนำของแพทย์จะช่วยให้อาการหายไวขึ้น ซึ่งจะช่วยลดการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส เพื่อไม่ให้ติดต่อไปยังผู้อื่น และช่วยรับผิดชอบต่อสังคมไปพร้อมกัน