ตอบข้อสงสัย U=U หาเชื้อ HIV ไม่เจอ ไม่ใช่ไม่มี-ใส่ถุงยาง ดีกว่ากินยาทั้งชีวิต

          หมอโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ไขข้อข้องใจ มีเซ็กส์แบบไม่ใส่ถุงกับคนติดเชื้อ HIV ไม่ติดเชื้อจริงหรือ ความเสี่ยงมากน้อยแค่ไหน ยันไม่พบเชื้อ ไม่ได้แปลว่าไม่มีเชื้อ แนะควรกินยาร่วมกับใส่ถุงยาง ป้องกันกามโรคอื่น ๆ ด้วย

ติดเชื้อ HIV
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล

          เป็นประเด็นที่ถกเถียงกันอย่างมาก สำหรับ พีท คนเลือดบวก ที่ออกมาเปิดสอนผู้ติดเชื้อ HIV ให้มีเซ็กส์แบบไม่ใส่ถุงยาง พร้อมยืนยันว่าคู่นอนจะไม่ติดเชื้อ ยึดตามทฤษฎี U=U (ไม่พบเชื้อ = ไม่แพร่เชื่อ) ซึ่งพีทเปิดเผยว่า เคยมีเซ็กส์มาแล้วกว่าพันคน ทั้งที่ใส่ถุงยางและไม่ใส่ ซึ่งก็ไม่ได้แพร่เชื้อให้ใคร จนกลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากนั้น

          อ่านข่าว : พีท คนเลือดบวก ยันเปลี่ยนคู่ขามาแล้วนับพัน แต่ไม่แพร่เชื้อ HIV พิสูจน์ด้วยตัวคุณเอง
          โดยขณะนี้หลายคนพากันสับสน ไม่รู้จะเชื่อข้อมูลทางไหนดี การมีเซ็กส์กับคนติดเชื้อ HIV ติดหรือไม่ติดเชื้อกันแน่ ? ความเสี่ยงมีมากน้อยแค่ไหน ? ล่าสุด (4 กุมภาพันธ์ 2563) คุณหมอด้านโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ซึ่งรักษาผู้ป่วยมายาวนาน เปิดเผยผ่านเฟซบุ๊กเพจ Infectious ง่ายนิดเดียว ชี้แจงเรื่องทฤษฎี U=U ให้กระจ่าง พร้อมให้คำตอบควรมีเพศสัมพันธ์แบบไม่สวมถุงยางกับผู้ป่วย HIV หรือไม่

ติดเชื้อ HIV
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล

          - ทฤษฎี U=U คือ Undetactable =Untransmisstable โดยคำว่า Undetectable แปลว่า ไม่มีเชื้อในเลือด แต่ในทางแล็บคือ ไวรัสน้อยกว่า 20 ก๊อบปี้/ลูกบาศก์มิลลิลิตร ย้ำว่าน้อยกว่า 20 ไม่ใช่เป็น 0 (ศูนย์) เพราะไวรัส HIV ยังมีอยู่ในเซลล์ มันไม่ได้หายไปไหน และยังไม่หายจากโรค ฉะนั้น คนติดเชื้อ HIV ยังต้องกินยาตลอดชีวิต กินยาทุกวันและตรงเวลา เพื่อไม่ให้ไวรัสแบ่งตัว และออกมาแสดงอาการ ซึ่งความเสี่ยงคือ ในอนาคตผู้ป่วยอาจดื้อยาได้ด้วย แม้จะกินยาตรงเวลา และเชื้ออาจกลับมามีมากขึ้น จนสามารถแพร่สู่ผู้อื่นได้

          - ยกตัวอย่างกรณี แม่ติดเชื้อ HIV แม้กินยาสม่ำเสมอ มีเชื้อไวรัสน้อยกว่า 20 และมีผลเลือดเป็น Undetectable ก็ยังคงต้องกินยา และเมื่อลูกคลอดออกมา ก็ยังต้องกินยาป้องกัน AZT ระยะเวลา 4 สัปดาห์ โอกาสติดแม้จะมีเพียง 1% แต่ลูกก็ยังต้องตรวจเลือด และห้ามกินนมแม่ (แนวทางประเทศไทย) เพราะยังมีโอกาสติด ถึงแม้โอกาสจะน้อย ก็ต้องกินยาป้องกัน

          - ยา PrEP คือ Pre-exposure prophylaxis ใช้ก่อนที่จะติดเชื้อ ใช้กับกลุ่มเสี่ยง เช่น ไม่ใส่ถุงยางอนามัย คนขายบริการ กลุ่มมีเพศสัมพันธ์หลากหลาย และกลุ่มเสี่ยงอื่น ๆ แต่ในทางการแพทย์ไม่มีอะไรป้องกันได้ 100% อยู่แล้ว และบางคนก็แพ้ยา PrEP ด้วย มีภาวะแทรกซ้อน

ติดเชื้อ HIV
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล

          - หมอที่รักษาคนไข้ทุกคน ยังยืนยันว่าควรใส่ถุงยางอนามัย แม้กินยา PrEP เพื่อป้องกันติดเชื้อโรคเพศสัมพันธ์อื่น ๆ เช่น ซิฟิลิส หนองใน หูดหงอนไก่ แม้โรคเหล่านี้จะรักษาหาย แต่ก็แพร่กระจายไปยังหลายคน บางคนมีอาการ บางคนไม่มีอาการแล้วแพร่เชื้อไปให้ผู้อื่น บางคนรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต รวมถึงถ้ามีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิงจนตั้งครรภ์ โรคเหล่านี้ก็ติดเด็กไปอีก จนทำให้เด็กพิการถึงขั้นเสียชีวิตได้

          - หมอเคารพสิทธิของทุกคน เพราะพฤติกรรมไม่ใส่ถุงยางเป็นความชอบส่วนบุคคล แต่ควรใช้กับคู่นอน 2 คนเท่านั้น กับผัวเมียหรือแฟนที่ไม่นอกใจ แต่ถ้ารณรงค์ให้ไม่ใส่ถุง ร่วมกับกิน PrEP แบบนี้ ควรไปรณรงค์ให้รักเดียวใจเดียวและใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งจะดีกว่า ป้องกันกามโรคอื่น ๆ ได้ด้วย

          - ยืนยันแบบไม่โลกสวย ต่อให้ U=U ก็ยังต้องสวมถุงยางอนามัยเสมอ ถ้าไม่ใช่คู่นอนที่รักเดียวใจเดียว ควรป้องกันทั้งกิน PrEP และใส่ถุงยาง ซึ่งราคาไม่กี่บาท ดีกว่าต้องมาติดเชื้อแล้วกินยาไปตลอดชีวิต เสียค่าใช้จ่ายมากกว่าค่าถุงยาง สนับสนุนยืดอกพกถุง สนับสนุนรักเดียวใจเดียว


          - ส่วนเรื่องการตีตราจากสังคมนั้น หมอรักษาคนกลุ่มนี้มานาน คนไข้น่ารักมาก รับผิดชอบดี หมอทุกคนหวังดีและไม่เคยรังเกียจคนไข้ สังคมก็ไม่รังเกียจ ยอมรับมากขึ้น อย่าคิดไปเองว่า คนลบจะดูถูกหรือบูลลี่คนบวก และหมอเตือนเพราะไม่อยากมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ ทั้ง HIV ซิฟิลิส หูดหงอนไก่ รวมถึงในแม่และเด็ก

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ตอบข้อสงสัย U=U หาเชื้อ HIV ไม่เจอ ไม่ใช่ไม่มี-ใส่ถุงยาง ดีกว่ากินยาทั้งชีวิต โพสต์เมื่อ 4 กุมภาพันธ์ 2563 เวลา 17:29:57 76,761 อ่าน
TOP
x close