ต้องอธิบายก่อนว่า ภาวะรุนแรงของโควิด 19 นอกจากเป็นเพราะตัวไวรัสเข้าไปทำลายเซลล์โดยตรงแล้ว ยังเกิดจากการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันร่างกายต่อตัวเชื้อที่มากเกินไป
กล่าวคือ เม็ดเลือดขาวปล่อยสารเคมีกระตุ้นการอักเสบออกมามากเกินไป จนก่อให้เกิดภาวะที่แพทย์เรียกกันว่าพายุไซโตไคน์ (Cytokine Storm) ที่เซลล์และระบบต่าง ๆ ในร่างกายพากันเสียหาย เนื้อเยื่อปอดถูกทำลายจนเกิดภาวะหายใจล้มเหลวและเสียชีวิต ซึ่งวิตามินดีจะช่วยควบคุมระบบภูมิคุ้มกันไม่ให้ทำงานมากจนเกิดการอักเสบที่อันตรายกับเซลล์และเนื้อเยื่อต่าง ๆ ในร่างกาย
อย่างไรก็ตาม วิตามินดี ไม่ได้เป็นปัจจัยสำคัญที่เกี่ยวกับความรุนแรงของโควิดโดยตรง เพราะการที่โรคจะรุนแรงหรือไม่ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ผู้ติดเชื้อเป็นผู้สูงอายุ มีภาวะอ้วน หรือมีโรคประจำตัว ซึ่งทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ไม่ดี
วิตามินดีเป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน มีอยู่หลายชนิด แต่ที่กล่าวถึงกันบ่อย ๆ จะมีอยู่ 2 ชนิด คือ วิตามินดี 2 (Ergocalciferol) ซึ่งพบได้ในเมล็ดพืชและยีสต์ ร่างกายสังเคราะห์เองไม่ได้ และวิตามินดี 3 (Cholecalciferol) ที่ร่างกายสามารถสังเคราะห์ได้เองที่ผิวหนังเมื่อได้รับแสงแดดอ่อน ๆ และพบได้ในปลาชนิดต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นวิตามินดีชนิดไหนก็จะถูกเรียกรวม ๆ ว่าวิตามินดี โดยประโยชน์ของวิตามินดี นอกเหนือจากเรื่องโควิด 19 ดังที่กล่าวไป หลัก ๆ ก็ยังมีความสำคัญต่อร่างกาย ดังนี้
1. เป็นวิตามินที่มีความสำคัญในการสร้างกระดูก โดยช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัส จึงลดความเสี่ยงกระดูกบาง กระดูกพรุน กระดูกหักง่ายได้ พร้อมกับช่วยควบคุมระดับแคลเซียมและฟอสฟอรัสในกระแสเลือดไม่ให้ลดต่ำลงจนเป็นอันตราย
2. เป็นวิตามินเสริมภูมิคุ้มกันให้ทำงานได้อย่างสมบูรณ์
3. ช่วยลดการติดเชื้อจุลินทรีย์
4. ลดการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ ทั้งโรคหวัด ไข้หวัดใหญ่ โรค RSV และโควิด 19
5. มีหน้าที่ควบคุมการเจริญเติบโต การแบ่งตัวและการตายของเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย
6. มีส่วนสำคัญในการทำงานของระบบประสาท กล้ามเนื้อ ปอด สมอง หัวใจ
7. ช่วยรักษาระดับความดันโลหิต และหากได้รับวิตามินดีเพียงพอจะช่วยลดความเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูงด้วย
8. ช่วยลดอาการปวดหัวจากไมเกรน เนื่องจากวิตามินดีช่วยควบคุมระบบหมุนเวียนเลือดให้ทำงานได้ตามปกติ
9. ช่วยลดความเสี่ยงโรคซึมเศร้า โดยช่วยกระตุ้นการผลิตฮอร์โมนเซโรโทนิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนแห่งความสุข
จากประโยชน์ของวิตามินดี เชื่อว่าหลายคนคงอยากเติมวิตามินดีให้ร่างกายอย่างเพียงพอ งั้นมาดูกันค่ะว่าเราควรได้รับวิตามินดีเท่าไรในแต่ละวัน
ปริมาณวิตามินดีที่ร่างกายควรได้รับต่อวัน โดยแบ่งตามช่วงอายุ ได้แก่
* อายุ 0-12 เดือน ควรได้รับวิตามินดี 400 IU หรือ 10 ไมโครกรัม
* อายุ 1-70 ปี ควรได้รับวิตามินดี 600 IU หรือ 15 ไมโครกรัม
* อายุ 70 ปีขึ้นไป ควรได้รับวิตามินดี 800 IU หรือ 20 ไมโครกรัม
แต่หากมีภาวะขาดวิตามินดี ควรต้องได้รับวิตามินดีมากกว่านั้น ทั้งนี้ เพื่อความปลอดภัยควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจเลือด วัดปริมาณวิตามินดีในเลือด และให้แพทย์พิจารณาเสริมวิตามินดีในปริมาณที่เหมาะสม1. แสงแดด
แสงแดดเป็นแหล่งของวิตามินดี 3 ที่สำคัญ เพราะ 80-90% ร่างกายจะได้รับวิตามินดีจากการสังเคราะห์แสงแดดที่ผิวหนัง ที่เหลืออีก 10-20% จะได้จากอาหาร โดยการรับแสงแดดเพื่อให้ร่างกายสังเคราะห์วิตามินดีได้อย่างเต็มที่ ต้องให้ผิวโดนแดดตรง ๆ ไม่มีเสื้อผ้า สารกันแดด หรืออะไรปิดกั้น และต้องตากแดดให้นานพอ ทว่าประเทศไทยแดดแรงและค่อนข้างร้อน คนส่วนใหญ่จึงพยายามหลบเลี่ยงแดด ทำให้ผิวหนังไม่ค่อยเจอแสงแดดเท่าไร คนไทยจึงมีระดับวิตามินดีในร่างกายค่อนข้างต่ำว่าเกณฑ์
ผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำให้ออกไปเจอแดดอย่างน้อย 15 นาที 2-4 ครั้งต่อสัปดาห์ ในคนผิวสีเข้ม ส่วนคนผิวสีอ่อนสามารถรับแดดช่วงฤดูร้อนวันละ 20 นาที แต่ทั้งนี้ควรออกไปเจอแดดในช่วง 06.00-09.00 น. และหลัง 16.00 น. เพราะแสงแดดช่วงเวลานี้จะมีวิตามินดี และพยายามหลีกเลี่ยงการโดนแดดในช่วง 10.00-16.00 น. เพราะแสงแดดในช่วงเวลานี้อาจเพิ่มความเสี่ยงโรคมะเร็งผิวหนังได้
2. อาหารเติมวิตามินดี
3. อาหารเสริมวิตามินดี
หรือจะรับประทานวิตามินดีในรูปอาหารเสริมชนิดแคปซูลก็ได้ โดยควรเลือกยี่ห้อที่มีวิตามินดีระหว่าง 400-1,000 IU
แต่ทั้งนี้ต้องย้ำอีกครั้งว่าควรปรึกษาแพทย์ก่อนว่าเราควรได้รับวิตามินดีเสริมในปริมาณเท่าไร เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
หากร่างกายเรามีวิตามินดีต่ำ สิ่งที่จะเจอก็คือ
1. ระบบภูมิต้านทานโรคบกพร่อง เนื่องจากวิตามินดีช่วยในการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน
2. กระดูกและฟันบาง แตก พรุน หัก ได้ง่าย
3. อาจมีอาการกล้ามเนื้อกระตุกและชัก เนื่องจากแคลเซียมในเลือดลดต่ำลง
4. อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย
5. งานวิจัยจากฟิลิปปินส์ พบว่า ในกลุ่มผู้ป่วยโควิดที่แสดงอาการป่วยแบบธรรมดา ป่วยแบบมีอาการรุนแรง หรือกลุ่มอาการวิกฤต มีปริมาณวิตามินดีในเลือดค่อนข้างต่ำกว่ากลุ่มที่ติดโควิดแต่แสดงอาการป่วยน้อยมากอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งยังมีงานวิจัยที่พบว่า คนที่มีภาวะพร่องวิตามินดี จะป่วยโรคในระบบทางเดินหายใจได้ง่าย และเมื่อติดเชื้อแล้วกลไกในการกำจัดเชื้อของร่างกายในคนที่มีวิตามินดีเพียงพอจะดีกว่าคนที่ขาดวิตามินดี
จริงอยู่ที่ร่างกายเราควรได้รับวิตามินดีอย่างเพียงพอ แต่ก็อย่ากังวลจนเสริมวิตามินดีให้ร่างกายมากจนเกินไป เนื่องจากการได้รับวิตามินดีเกินความต้องการในปริมาณ 20,000-50,000 IU ต่อวัน อย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ เช่น
- คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน
- ปัสสาวะมากกว่าปกติ ทั้งกลางวันและกลางคืน
- หิวน้ำตลอดเวลา
- น้ำหนักตัวลดลง เนื่องจากการสลายตัวของแคลเซียมในกระดูก
- หากอาการหนักอาจเกิดภาวะอวัยวะล้มเหลว และเสี่ยงเสียชีวิต
บทความเกี่ยวกับวิตามิน
กรมอนามัย
โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย
โรงพยาบาลรามคำแหง
คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
โรงพยาบาลธรรมศาสตร์
ชัวร์ก่อนแชร์
TNN
สมาคมต่อมไร้ท่อแห่งประเทศไทย
คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
SciMath