
ยาแก้ปวดที่ถูกค้นพบโดยบังเอิญ

ภาพจาก : Arne Beruldsen/Shutterstock
หลังจากการค้นพบนี้ ทำให้ยาอเซตานิลาย (Acetanilide) ถูกนำเข้าสู่วงการแพทย์เพื่อใช้เป็นยาลดไข้ในปี พ.ศ. 2429 ภายใต้ชื่อ แอนติเฟบริน โดยมีสารประกอบสำคัญ 2 ตัวคือ ฟีนาเซติน (Phenacetin) และ N-acetyl-p-aminophenol อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมาพบว่า แม้ยาจะสามารถลดไข้ได้ แต่สารประกอบฟีนาเซตินกลับมีผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ จึงต้องเลิกใช้ยาที่มีส่วนประกอบของสารชนิดนี้
ขณะที่สารประกอบ N-acetyl-p-aminophenol นักวิจัยได้ศึกษาข้อมูลมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2491 และพัฒนาตัวยามาเรื่อย ๆ จนกระทั่งปี พ.ศ. 2498 บริษัท McNeil Laboratories ได้นำยาชนิดนี้เข้าสู่ตลาดเป็นครั้งแรก ในรูปแบบยาแก้ปวดลดไข้ในเด็กที่ชื่อว่า "Tylenol Children’s Elxir" และได้เพิ่มรูปแบบของยาเรื่อยมาจนออกมาเป็นยาเม็ดและยาน้ำตามที่วางจำหน่ายในปัจจุบัน
ต้องแก้ปวดตรงไหน
เรื่องนี้ก็ต้องอธิบายว่า ทุกครั้งที่มีอาการปวด ร่างกายจะหลั่งพรอสตาแกลนดิน (Prostaglandin) สารเคมีชนิดหนึ่งที่ทำให้ร่างกายรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา เพื่อเตือนให้รู้ว่าส่วนนั้น ๆ เกิดความผิดปกติขึ้น เมื่อเรารับประทานยาพาราเซตามอล ตัวยาก็จะถูกดูดซึมผ่านทางเดินอาหาร เข้าสู่กระแสเลือดและไหลวนไปทั่วร่างกายทันที และเมื่อเจอสารพรอสตาแกลนดินไม่ว่าตรงจุดไหน ก็จะออกฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของสารตัวนี้ ทำให้อาการปวดทุเลาลงไป
นอกจากนี้ ยาพาราเซตามอลยังมีฤทธิ์ยับยั้งศูนย์ควบคุมอุณหภูมิในร่างกายที่อยู่ในสมองส่วนไฮโปธาลามัส (Hypothalamus) ซึ่งหากมีไข้ อาการไข้ก็จะลดลงไปพร้อมกันด้วย

-
บรรเทาอาการปวดศีรษะที่เกิดจากความเครียด ไมเกรน
-
บรรเทาอาการปวดศีรษะ ปวดเมื่อยที่เกิดจากไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ และโควิด 19
-
บรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อ ปวดเมื่อยร่างกาย รวมถึงอาการปวดหลัง
-
บรรเทาอาการปวดประจำเดือนชนิดปฐมภูมิ คือ อาการปวดท้องน้อยที่เกิดจากมดลูกหดเกร็ง แต่ไม่ได้เกิดจากพยาธิสภาพทางกาย เช่น มีถุงน้ำ เนื้องอก
-
บรรเทาอาการปวดเส้นประสาท (neuralgia)
-
บรรเทาอาการปวดฟัน
-
บรรเทาอาการปวดหลังจากการผ่าตัด
-
บรรเทาอาการปวดเนื่องจากโรคข้อเข่าหรือสะโพกเสื่อม
-
บรรเทาอาการปวดจากโรคข้ออักเสบ
-
ลดไข้
อย่างไรก็ตาม สำหรับอาการปวดขั้นรุนแรง เช่น ปวดจากโรคมะเร็ง หรืออาการปวดที่เกิดร่วมกับอาการชา อาจไม่สามารถใช้ยาพาราเซตามอลระงับปวดได้นะคะ จึงไม่ควรรับประทานยาพาราเซตามอลเกินขนาดเพื่อหวังผลรักษาโรค แต่ควรปรึกษาแพทย์ถึงการเลือกใช้ยาที่เหมาะสมกับโรคต่อไป
เด็ก-ผู้ใหญ่ รับประทานได้แค่ไหน

สำหรับเด็กที่อายุไม่เกิน 12 ปี สามารถเลือกใช้ยาพาราเซตามอลได้ทั้งชนิดเม็ดและชนิดน้ำ โดยปริมาณที่เหมาะสมคือ 10-15 มิลลิกรัม/กิโลกรัม/ครั้ง ถ้ายังไม่หายป่วย สามารถรับประทานได้อีก แต่ละครั้งห่างกันอย่างน้อย 4 ชั่วโมง แต่ไม่ควรใช้ยาเกิน 75 มิลลิกรัม/กิโลกรัม/วัน หรือเกิน 2.6 กรัม (2,600 มิลลิกรัม) ต่อวัน
ยกตัวอย่าง เด็กที่มีน้ำหนักตัว 30 กิโลกรัม เมื่อมีอาการปวดหรือเป็นไข้ ควรรับประทานยา 300-450 มิลลิกรัมต่อครั้ง อย่างเช่น รับประทานยาพาราเซตามอล 325 มิลลิกรัม 1 เม็ด แต่ละครั้งห่างกันอย่างน้อย 4 ชั่วโมง หรือกรณีเด็กมีน้ำหนักตัว 40 กิโลกรัม ก็ควรรับประทานยาพาราเซตามอล 325 มิลลิกรัม 1 เม็ดครึ่ง ซึ่งจะได้ขนาดยา 487.5 มิลลิกรัม
ขนาดที่แนะนำคือ 10-15 มิลลิกรัม/กิโลกรัม/ครั้ง เหมือนกับเด็กเล็ก เช่น คนที่มีน้ำหนักตัว 50 กิโลกรัม เมื่อมีอาการปวดหรือเป็นไข้ ควรรับประทานยาครั้งละ 500 มิลลิกรัม 1 เม็ด หรือขนาด 650 มิลลิกรัม 1 เม็ด แต่ละครั้งห่างกันอย่างน้อย 4 ชั่วโมง และในหนึ่งวันไม่ควรรับประทานเกิน 75 มิลลิกรัม/กิโลกรัม/วัน หรือเกิน 4 กรัม (4,000 มิลลิกรัม)
ไทลินอล 500 VS ไทลินอล 8 ชั่วโมง ต่างกันอย่างไร

ภาพจาก : Fahroni/Shutterstock.com
เป็นยาชนิดเม็ดออกฤทธิ์เนิ่นที่มีตัวยาพาราเซตามอลขนาด 650 มิลลิกรัม ประกอบเป็นตัวยา 2 ชั้น ชั้นละ 325 มิลลิกรัม เมื่อรับประทานเข้าไป ตัวยาชั้นแรกจะแตกตัวและถูกดูดซึมภายใน 30 นาที ต่อมาในอีก 1 ชั่วโมงหลังรับประทานยา ตัวยาในชั้นที่ 2 จะค่อย ๆ ปลดปล่อยและถูกดูดซึมอย่างช้า ๆ ไปรวมกับยาส่วนแรก ทำให้ยาออกฤทธิ์ได้นานกว่า 8 ชั่วโมง
อย่างไรก็ตาม ไทลินอล 8 ชั่วโมง จะมีข้อบ่งใช้ในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปี และมีน้ำหนักตัว 43.3 กิโลกรัมขึ้นไป เพื่อป้องกันการใช้ยาเกินขนาดที่อาจเป็นพิษต่อตับ และควรใช้เฉพาะเวลาปวดหรือมีไข้เท่านั้น โดยรับประทานครั้งละ 2 เม็ด แต่ละครั้งห่างกันอย่างน้อย 8 ชั่วโมง และไม่ควรรับประทานเกินวันละ 6 เม็ด (3,900 มิลลิกรัม) ที่สำคัญก็คือ ต้องกลืนทีเดียวทั้งเม็ด ห้ามหักแบ่ง บด เคี้ยว หรือละลายยาก่อนรับประทานนะคะ เพราะยาจะปลดปล่อยออกมาทันทีเม็ดละ 650 มิลลิกรัม เสี่ยงต่อการได้รับยาเกินขนาด
ยาพาราเซตามอล ไอเทมที่ควรมีในช่วงโควิด 19

หลังจากได้ทราบสรรพคุณและวิธีใช้ยาพาราเซตามอลที่ถูกต้องแล้ว ก็ต้องบอกว่า ยาสามัญประจำบ้านชนิดนี้เป็นไอเทมสำคัญที่ควรมีติดบ้านไว้ให้อุ่นใจในช่วงที่โควิด 19 ระบาดจริง ๆ ค่ะ เพราะเราสามารถใช้ยาบรรเทาอาการต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างปลอดภัย เช่น
แม้ยาพาราเซตามอลจะเป็นยาสามัญประจำบ้านที่มีความปลอดภัยค่อนข้างมาก สามารถใช้บรรเทาอาการได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ แต่หากใช้อย่างไม่ระวังก็อาจเกิดอาการไม่พึงประสงค์ได้เหมือนกัน คือ
-
คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร หรือมีเหงื่อออก ภายใน 24 ชั่วโมง
-
เป็นพิษต่อตับ ทำให้เซลล์ตับถูกทำลาย ซึ่งอาจส่งผลให้ตับวายและอันตรายถึงเสียชีวิตได้
-
ก่อให้เกิดอาการตัวเหลือง ปัสสาวะมีสีเหลืองเข้ม อ่อนเพลีย จากการที่ก่อให้เกิดพิษต่อตับ
โดยอาการไม่พึงประสงค์เหล่านี้มักจะเกิดขึ้นในกรณีรับประทานยาพาราเซตามอลเกินขนาดแบบฉับพลัน หรือรับประทานยาต่อติดต่อกันเป็นเวลานานในปริมาณสูงนะคะ ดังนั้น ต้องใช้ยาอย่างระวังตามขนาดที่กำหนด
กว่า 50 ปีแล้วที่เราได้รู้จักยาพาราเซตามอล และใช้บำบัดบรรเทาอาการเจ็บป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ เสมอมา ไม่ว่าจะอยู่ภาคไหน ในประเทศ ต่างประเทศ หรือทั่วโลกก็นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย เนื่องจากเป็นยาที่มีความปลอดภัยสูงหากใช้อย่างถูกวิธี อีกทั้งมีให้เลือกหลายรูปแบบ ทั้งชนิดน้ำที่เด็ก ๆ รับประทานได้ง่าย และชนิดเม็ดยารี ๆ แบบ 500 มิลลิกรัม หรือแบบ 8 ชั่วโมง ในซองยาสีแดงที่คุ้นตาสำหรับผู้ใหญ่

ขอบคุณข้อมูลจาก : ศูนย์การศึกษาต่อเนื่องทางเภสัชศาสตร์ สภาเภสัชกรรม, สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา, คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์, โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย, โรงพยาบาลศิริราชปิยมหาราชการุณย์