เปิดประวัติพาราเซตามอล ยาสามัญคู่บ้าน ปวดใด ๆ บรรเทาได้ไม่ต้องทน

           ยาพาราเซตามอล รู้ได้อย่างไรว่าเราปวดตรงไหน ทำไมบรรเทาอาการได้ถูกจุด อยากชวนทุกคนไปรู้จักยาพาราเซตามอลให้มากขึ้น พร้อมวิธีเลือกใช้ยาให้เหมาะกับตัวเอง
ไทลินอล

           เมื่อมีอาการปวดศีรษะ เป็นไข้ขึ้นมาทีไร เรามักจะใช้ยาพาราเซตามอล ซึ่งเป็นยาสามัญประจำบ้านเป็นตัวช่วยบรรเทาอาการแทบจะทุกครั้ง และถือเป็นไอเทมสำคัญคู่บ้านโดยเฉพาะในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ว่าแต่ เคยสงสัยไหมคะว่า ยาแก้ปวดชนิดนี้ถือกำเนิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไร มีกลไกการออกฤทธิ์อย่างไรถึงช่วยให้หายปวดได้ เอาเป็นว่าเราขออาสาพามาไขข้อข้องใจ พร้อมแนะนำวิธีใช้ยาพาราเซตามอลอย่างถูกต้องที่หลายคนอาจรู้ไม่ครบ หรือเข้าใจผิดมานาน
เปิดที่มายาพาราเซตามอล
ยาแก้ปวดที่ถูกค้นพบโดยบังเอิญ
          พาราเซตามอล ชื่อยาแก้ปวดที่เราคุ้นเคยกันนี้เป็นชื่อทางยุโรป ส่วนทางอเมริกาจะเรียกว่า อเซตามิโนเฟน เป็นยาที่ได้รับความนิยมและมีประวัติการใช้มาอย่างยาวนาน ซึ่งการค้นพบของยาพาราเซตามอลก็ต้องบอกว่าเป็นความบังเอิญอย่างแท้จริง เนื่องจากนายแพทย์ Arnold Chan และ Paul Heppa จากมหาวิทยาลัย Straburg ได้เผลอจ่ายยาอเซตานิลาย (Acetanilide) ให้ผู้ป่วยเพื่อกำจัดพยาธิแทนยาแนฟทาลีน (Naphthalene) และสังเกตเห็นว่า ตัวยาไม่ค่อยมีผลต่อพยาธิในลำไส้ แต่กลับช่วยในเรื่องการลดไข้ได้อย่างมีนัยสำคัญ
ไทลินอล

ภาพจาก : Arne Beruldsen/Shutterstock

          หลังจากการค้นพบนี้ ทำให้ยาอเซตานิลาย (Acetanilide) ถูกนำเข้าสู่วงการแพทย์เพื่อใช้เป็นยาลดไข้ในปี พ.ศ. 2429 ภายใต้ชื่อ แอนติเฟบริน โดยมีสารประกอบสำคัญ 2 ตัวคือ ฟีนาเซติน (Phenacetin) และ N-acetyl-p-aminophenol อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมาพบว่า แม้ยาจะสามารถลดไข้ได้ แต่สารประกอบฟีนาเซตินกลับมีผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ จึงต้องเลิกใช้ยาที่มีส่วนประกอบของสารชนิดนี้

          ขณะที่สารประกอบ N-acetyl-p-aminophenol นักวิจัยได้ศึกษาข้อมูลมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2491 และพัฒนาตัวยามาเรื่อย ๆ จนกระทั่งปี พ.ศ. 2498 บริษัท McNeil Laboratories ได้นำยาชนิดนี้เข้าสู่ตลาดเป็นครั้งแรก ในรูปแบบยาแก้ปวดลดไข้ในเด็กที่ชื่อว่า "Tylenol Children’s Elxir" และได้เพิ่มรูปแบบของยาเรื่อยมาจนออกมาเป็นยาเม็ดและยาน้ำตามที่วางจำหน่ายในปัจจุบัน 

ยาพาราเซตามอลรู้ได้อย่างไรว่า
ต้องแก้ปวดตรงไหน
          ไม่ว่าจะเป็นไข้ ปวดศีรษะ ปวดแขน หรือปวดประจำเดือน ก็หายปวดได้ตรงจุด ทำไมยาถึงรู้นะว่าต้องเข้าไปจัดการความปวดตรงส่วนไหนของร่างกาย ?

         เรื่องนี้ก็ต้องอธิบายว่า ทุกครั้งที่มีอาการปวด ร่างกายจะหลั่งพรอสตาแกลนดิน (Prostaglandin) สารเคมีชนิดหนึ่งที่ทำให้ร่างกายรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา เพื่อเตือนให้รู้ว่าส่วนนั้น ๆ เกิดความผิดปกติขึ้น เมื่อเรารับประทานยาพาราเซตามอล ตัวยาก็จะถูกดูดซึมผ่านทางเดินอาหาร เข้าสู่กระแสเลือดและไหลวนไปทั่วร่างกายทันที และเมื่อเจอสารพรอสตาแกลนดินไม่ว่าตรงจุดไหน ก็จะออกฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของสารตัวนี้ ทำให้อาการปวดทุเลาลงไป

         นอกจากนี้ ยาพาราเซตามอลยังมีฤทธิ์ยับยั้งศูนย์ควบคุมอุณหภูมิในร่างกายที่อยู่ในสมองส่วนไฮโปธาลามัส (Hypothalamus) ซึ่งหากมีไข้ อาการไข้ก็จะลดลงไปพร้อมกันด้วย

 
ปวดแบบไหนใช้ยาพาราเซตามอลได้บ้าง
ไทลินอล

          ยาพาราเซตามอลจัดเป็นยาบรรเทาอาการปวดในระดับน้อยถึงระดับปานกลาง และมีฤทธิ์อ่อนในการต้านการอักเสบ จึงสามารถบรรเทาอาการต่าง ๆ ได้ ดังนี้
  • บรรเทาอาการปวดศีรษะที่เกิดจากความเครียด ไมเกรน

  • บรรเทาอาการปวดศีรษะ ปวดเมื่อยที่เกิดจากไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ และโควิด 19

  • บรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อ ปวดเมื่อยร่างกาย รวมถึงอาการปวดหลัง

  • บรรเทาอาการปวดประจำเดือนชนิดปฐมภูมิ คือ อาการปวดท้องน้อยที่เกิดจากมดลูกหดเกร็ง แต่ไม่ได้เกิดจากพยาธิสภาพทางกาย เช่น มีถุงน้ำ เนื้องอก 

  • บรรเทาอาการปวดเส้นประสาท (neuralgia) 

  • บรรเทาอาการปวดฟัน 

  • บรรเทาอาการปวดหลังจากการผ่าตัด 

  • บรรเทาอาการปวดเนื่องจากโรคข้อเข่าหรือสะโพกเสื่อม 

  • บรรเทาอาการปวดจากโรคข้ออักเสบ

  • ลดไข้

          อย่างไรก็ตาม สำหรับอาการปวดขั้นรุนแรง เช่น ปวดจากโรคมะเร็ง หรืออาการปวดที่เกิดร่วมกับอาการชา อาจไม่สามารถใช้ยาพาราเซตามอลระงับปวดได้นะคะ จึงไม่ควรรับประทานยาพาราเซตามอลเกินขนาดเพื่อหวังผลรักษาโรค แต่ควรปรึกษาแพทย์ถึงการเลือกใช้ยาที่เหมาะสมกับโรคต่อไป

วิธีใช้ยาพาราเซตามอลอย่างปลอดภัย
เด็ก-ผู้ใหญ่ รับประทานได้แค่ไหน
ไทลินอล

           ยาพาราเซตามอลมีทั้งชนิดเม็ด และชนิดน้ำ แถมยังมีอยู่ด้วยกันหลายขนาด แต่เชื่อไหมว่า บางคนใช้ยาพาราเซตามอลแบบผิด ๆ มาตลอด เพราะไม่เคยทราบว่า เราควรรับประทานยาตามน้ำหนักตัวเพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพที่สุด โดยมีข้อบ่งใช้ในเด็ก ผู้ใหญ่ และสตรีมีครรภ์ ดังนี้
ขนาดที่ใช้ในเด็กไม่เกิน 12 ปี

          สำหรับเด็กที่อายุไม่เกิน 12 ปี สามารถเลือกใช้ยาพาราเซตามอลได้ทั้งชนิดเม็ดและชนิดน้ำ โดยปริมาณที่เหมาะสมคือ 10-15 มิลลิกรัม/กิโลกรัม/ครั้ง ถ้ายังไม่หายป่วย สามารถรับประทานได้อีก แต่ละครั้งห่างกันอย่างน้อย 4 ชั่วโมง แต่ไม่ควรใช้ยาเกิน 75 มิลลิกรัม/กิโลกรัม/วัน หรือเกิน 2.6 กรัม (2,600 มิลลิกรัม) ต่อวัน

          ยกตัวอย่าง เด็กที่มีน้ำหนักตัว 30 กิโลกรัม เมื่อมีอาการปวดหรือเป็นไข้ ควรรับประทานยา 300-450 มิลลิกรัมต่อครั้ง อย่างเช่น รับประทานยาพาราเซตามอล 325 มิลลิกรัม 1 เม็ด แต่ละครั้งห่างกันอย่างน้อย 4 ชั่วโมง หรือกรณีเด็กมีน้ำหนักตัว 40 กิโลกรัม ก็ควรรับประทานยาพาราเซตามอล 325 มิลลิกรัม 1 เม็ดครึ่ง ซึ่งจะได้ขนาดยา 487.5 มิลลิกรัม

ขนาดที่ใช้ในผู้ใหญ่และเด็กอายุมากกว่า 12 ปี

          ขนาดที่แนะนำคือ 10-15 มิลลิกรัม/กิโลกรัม/ครั้ง เหมือนกับเด็กเล็ก เช่น คนที่มีน้ำหนักตัว 50 กิโลกรัม เมื่อมีอาการปวดหรือเป็นไข้ ควรรับประทานยาครั้งละ 500 มิลลิกรัม 1 เม็ด หรือขนาด 650 มิลลิกรัม 1 เม็ด แต่ละครั้งห่างกันอย่างน้อย 4 ชั่วโมง และในหนึ่งวันไม่ควรรับประทานเกิน 75 มิลลิกรัม/กิโลกรัม/วัน หรือเกิน 4 กรัม (4,000 มิลลิกรัม)

ขนาดที่ใช้ในสตรีมีครรภ์
           ในกรณีที่สตรีมีครรภ์เป็นไข้หรือมีอาการปวด และรักษาด้วยวิธีอื่นที่ไม่ใช้ยาแล้วไม่ได้ผล ยาพาราเซตามอลคือยาแก้ปวดตัวแรกที่สตรีมีครรภ์เลือกใช้ได้ค่ะ เนื่องจากเป็นยาที่ค่อนข้างปลอดภัยสามารถใช้ได้ในทุกช่วงของการตั้งครรภ์ อย่างไรก็ตาม ปริมาณที่แนะนำก็คือไม่ควรเกิน 4 กรัม (4,000 มิลลิกรัม) ต่อวัน และควรใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์ด้วยนะคะ
           ทั้งนี้ ยาพาราเซตามอลไม่ว่าจะชนิดเม็ดหรือชนิดน้ำ ก็ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อกระเพาะอาหาร สามารถรับประทานเพื่อบรรเทาอาการได้ทันทีเมื่อปวดหรือมีไข้ โดยไม่ต้องรับประทานอาหารก่อนแต่อย่างใด อย่างเช่นยาแก้ปวดของไทลินอล ที่ระบุบนฉลากอย่างชัดเจนว่า สามารถรับประทานตอนท้องว่างได้

ไทลินอล 500 VS ไทลินอล 8 ชั่วโมง ต่างกันอย่างไร

ไทลินอล

ภาพจาก : Fahroni/Shutterstock.com

           ยาพาราเซตามอลส่วนใหญ่ที่เราใช้กันจะเป็นขนาด 500 มิลลิกรัม แต่ก็มียาพาราเซตามอลแบบอื่น ๆ ด้วย เช่น ไทลินอล ที่มีทั้งแบบ 500 มิลลิกรัม และไทลินอล 8 ชั่วโมง ซึ่งอาจทำให้หลายคนสับสนว่า ควรเลือกใช้ยาแก้ปวดไทลินอลแบบไหนดี เอาเป็นว่าลองมาดูความแตกต่างของพาราเซตามอลทั้ง 2 ชนิดนี้กันค่ะ
ไทลินอล 500
           มีตัวยาพาราเซตามอลขนาด 500 มิลลิกรัม โดยตัวยาจะละลายและถูกดูดซึมได้ทันที ทำให้ออกฤทธิ์ได้เร็ว เหมาะกับการใช้บรรเทาอาการปวดระดับรุนแรงเล็กน้อยถึงปานกลาง และลดไข้ รับประทานครั้งละ 1-2 เม็ดต่อครั้ง (ตามน้ำหนักตัว) แต่ละครั้งห่างกันอย่างน้อย 4 ชั่วโมง
ไทลินอล 8 ชั่วโมง

          เป็นยาชนิดเม็ดออกฤทธิ์เนิ่นที่มีตัวยาพาราเซตามอลขนาด 650 มิลลิกรัม ประกอบเป็นตัวยา 2 ชั้น ชั้นละ 325 มิลลิกรัม เมื่อรับประทานเข้าไป ตัวยาชั้นแรกจะแตกตัวและถูกดูดซึมภายใน 30 นาที ต่อมาในอีก 1 ชั่วโมงหลังรับประทานยา ตัวยาในชั้นที่ 2 จะค่อย ๆ ปลดปล่อยและถูกดูดซึมอย่างช้า ๆ ไปรวมกับยาส่วนแรก ทำให้ยาออกฤทธิ์ได้นานกว่า 8 ชั่วโมง

          อย่างไรก็ตาม ไทลินอล 8 ชั่วโมง จะมีข้อบ่งใช้ในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปี และมีน้ำหนักตัว 43.3 กิโลกรัมขึ้นไป เพื่อป้องกันการใช้ยาเกินขนาดที่อาจเป็นพิษต่อตับ และควรใช้เฉพาะเวลาปวดหรือมีไข้เท่านั้น โดยรับประทานครั้งละ 2 เม็ด แต่ละครั้งห่างกันอย่างน้อย 8 ชั่วโมง และไม่ควรรับประทานเกินวันละ 6 เม็ด (3,900 มิลลิกรัม) ที่สำคัญก็คือ ต้องกลืนทีเดียวทั้งเม็ด ห้ามหักแบ่ง บด เคี้ยว หรือละลายยาก่อนรับประทานนะคะ เพราะยาจะปลดปล่อยออกมาทันทีเม็ดละ 650 มิลลิกรัม เสี่ยงต่อการได้รับยาเกินขนาด

ยาพาราเซตามอล ไอเทมที่ควรมีในช่วงโควิด 19

ไทลินอล

          หลังจากได้ทราบสรรพคุณและวิธีใช้ยาพาราเซตามอลที่ถูกต้องแล้ว ก็ต้องบอกว่า ยาสามัญประจำบ้านชนิดนี้เป็นไอเทมสำคัญที่ควรมีติดบ้านไว้ให้อุ่นใจในช่วงที่โควิด 19 ระบาดจริง ๆ ค่ะ เพราะเราสามารถใช้ยาบรรเทาอาการต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างปลอดภัย เช่น

บรรเทาอาการป่วยที่เกิดจากการติดเชื้อโควิด
           เมื่อเชื้อไวรัสโคโรนาเข้าสู่ร่างกาย หลายคนเป็นไข้ ตัวร้อน การรับประทานยาพาราเซตามอลจะช่วยลดไข้ ไม่ให้ขึ้นสูงเกินไปจนเกิดอันตรายกับร่างกาย นอกจากนี้ ยายังช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะ หรือปวดเมื่อยตามตัว ที่มักพบได้ในผู้ป่วยโควิด 19 ด้วย
บรรเทาผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด 19
            วัคซีนที่ฉีดเข้าร่างกายจะไปกระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงาน และการพยายามต่อกรกับเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกายนี้เอง ทำให้เกิดการอักเสบหรือมีอาการปวดแขนตรงที่ฉีด รวมทั้งปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ มีไข้ ตัวร้อน ซึ่งอาการไม่สบายดังกล่าวสามารถบรรเทาได้ด้วยยาพาราเซตามอลที่ออกฤทธิ์ลดไข้ ลดปวด ได้ภายใน 15 นาที ฉะนั้นถ้าใครเพิ่งฉีดวัคซีนมาแล้วมีอาการปวดใด ๆ ก็ไม่ต้องทนนะคะ สามารถรับประทานยาพาราเซตามอลตามน้ำหนักตัวได้เลย
อาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาที่ควรระวัง

          แม้ยาพาราเซตามอลจะเป็นยาสามัญประจำบ้านที่มีความปลอดภัยค่อนข้างมาก สามารถใช้บรรเทาอาการได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ แต่หากใช้อย่างไม่ระวังก็อาจเกิดอาการไม่พึงประสงค์ได้เหมือนกัน คือ

  • คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร หรือมีเหงื่อออก ภายใน 24 ชั่วโมง

  • เป็นพิษต่อตับ ทำให้เซลล์ตับถูกทำลาย ซึ่งอาจส่งผลให้ตับวายและอันตรายถึงเสียชีวิตได้

  • ก่อให้เกิดอาการตัวเหลือง ปัสสาวะมีสีเหลืองเข้ม อ่อนเพลีย จากการที่ก่อให้เกิดพิษต่อตับ

          โดยอาการไม่พึงประสงค์เหล่านี้มักจะเกิดขึ้นในกรณีรับประทานยาพาราเซตามอลเกินขนาดแบบฉับพลัน หรือรับประทานยาต่อติดต่อกันเป็นเวลานานในปริมาณสูงนะคะ ดังนั้น ต้องใช้ยาอย่างระวังตามขนาดที่กำหนด

          กว่า 50 ปีแล้วที่เราได้รู้จักยาพาราเซตามอล และใช้บำบัดบรรเทาอาการเจ็บป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ เสมอมา ไม่ว่าจะอยู่ภาคไหน ในประเทศ ต่างประเทศ หรือทั่วโลกก็นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย เนื่องจากเป็นยาที่มีความปลอดภัยสูงหากใช้อย่างถูกวิธี อีกทั้งมีให้เลือกหลายรูปแบบ ทั้งชนิดน้ำที่เด็ก ๆ รับประทานได้ง่าย และชนิดเม็ดยารี ๆ แบบ 500 มิลลิกรัม หรือแบบ 8 ชั่วโมง ในซองยาสีแดงที่คุ้นตาสำหรับผู้ใหญ่

          ยิ่งในช่วงที่มีโควิด 19 ระบาด ก็ควรมีติดบ้านไว้ให้อุ่นใจ คนในครอบครัวป่วยขึ้นมาเมื่อไรก็ใช้บรรเทาอาการไข้ หรืออาการปวดใด ๆ ได้ทันที ไม่ต้องทน เพราะออกฤทธิ์เร็วใน 15 นาที สามารถหาซื้อได้ง่าย ๆ ตามร้านขายยาทั่วไปเลยค่ะ และอย่าลืมอ่านฉลากก่อนใช้ยาทุกครั้งนะคะ
ไทลินอล

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
เปิดประวัติพาราเซตามอล ยาสามัญคู่บ้าน ปวดใด ๆ บรรเทาได้ไม่ต้องทน อัปเดตล่าสุด 3 กุมภาพันธ์ 2565 เวลา 11:20:10 33,025 อ่าน
TOP
x close