แต่นอกจากคอลลาเจนจะมีอยู่ในร่างกายของเราแล้ว ยังพบได้ในผลิตภัณฑ์อาหารที่มาจากสัตว์ด้วย เช่น ปลาทะเลน้ำลึก หนังปลา กระดูกปลา หนังสัตว์ เอ็นสัตว์ เจลาติน และเยลลี่ รวมไปถึงในรูปแบบอาหารเสริมต่าง ๆ
1. คอลลาเจนเปปไทด์ (Collagen Peptide)
2. คอลลาเจนไตรเปปไทด์ (Collagen Tripeptide)
3. คอลลาเจนไดเปปไทด์ (Collagen Dipeptide)
คอลลาเจนชนิดนี้มีกรดอะมิโนที่เป็นโครงสร้างหลักเรียงต่อกันเพียง 2 ตัวเท่านั้น จึงทำให้โมเลกุลมีขนาดเฉลี่ยเพียง 200 ดาลตัน จัดว่ามีโมเลกุลเล็กที่สุดเมื่อเทียบกับคอลลาเจนไตรเปปไทด์และคอลลาเจนเปปไทด์ ร่างกายจึงสามารถดูดซึมได้ดีกว่า และสามารถนำไปใช้ได้ทันทีหลังรับประทาน เนื่องจากไม่จำเป็นต้องผ่านการย่อยในกระเพาะอาหาร แต่จะถูกลำเลียงแล้วดูดซึมที่ลำไส้เล็กเข้าสู่กระแสเลือด และพุ่งตรงสู่เซลล์เป้าหมายอย่างเซลล์ผิวหนัง เซลล์กระดูกอ่อน เซลล์กระดูกได้เลย จึงมีประสิทธิภาพสูงในการดูแลผิวและข้อเข่า
นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยพบว่า คอลลาเจนไดเปปไทด์คู่มีคุณสมบัติเพิ่มความชุ่มชื้นและความยืดหยุ่นให้ผิวหน้าได้ และยังมีงานวิจัยรับรองที่ให้กลุ่มอาสาสมัครทดลองกินคอลลาเจนไดเปปไทด์ พบว่ามีประสิทธิภาพการฟื้นฟูดีกว่าคอลลาเจนชนิดอื่น ๆ อย่างชัดเจน จึงนับได้ว่า คอลลาเจนไดเปปไทด์ เป็นคอลลาเจนที่ดูดซึมได้เร็วและดูดซึมได้ดีที่สุดนั่นเอง
หลายคนไม่คิดว่าคอลลาเจนสำคัญมากนัก กระทั่งอายุล่วงเข้าเลข 2 ปลาย ๆ หรือแตะเลข 3 เลข 4 ซึ่งจะเริ่มเห็นความแตกต่างชัดเจน ได้เจอกับปัญหาผิวสารพัด ทั้งผิวแห้ง ไม่เต่งตึง ไม่กระชับ เกิดริ้วรอยเพิ่มขึ้นกว่าเดิม แถมยังเริ่มรู้สึกปวดเข่า ปวดข้อได้ง่ายขึ้น
นั่นเพราะร่างกายสร้างคอลลาเจนลดลงปีละ 1-2% บวกกับปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เช่น สูบบุหรี่จัด ดื่มแอลกอฮอล์บ่อย นอนน้อย ติดหวาน ผิวโดนทำลายด้วยแสง UV เป็นประจำ จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเราควรเสริมคอลลาเจน ซึ่งวิธีง่าย ๆ ก็คือการรับประทานเป็นอาหารเสริม ที่เราสามารถเติมให้ร่างกายได้ถึง 5,000-7,000 มิลลิกรัมต่อวัน เพื่อดูแลผิวพรรณ รวมไปถึงให้คอลลาเจนบำรุงกระดูกและข้อด้วย
เนื่องจากคอลลาเจนในท้องตลาดมีมากมายหลายประเภท จึงอาจสับสนว่าจะเลือกคอลลาเจนยี่ห้อไหนดี หรือคอลลาเจนที่ดีที่สุดต้องมีองค์ประกอบของอะไรบ้าง เอาเป็นว่ามาลองพิจารณาคุณสมบัติคอลลาเจนที่ควรมีกันเลย
1. เลือกชนิดคอลลาเจนที่ร่างกายสามารถดูดซึมและนำไปใช้ได้ดี อย่างคอลลาเจนไดเปปไทด์ 100% ที่มีอนุภาคเล็กที่สุด ไม่มีส่วนผสมของคอลลาเจนโมเลกุลใหญ่ชนิดอื่น และควรเป็นคอลลาเจนที่มีความเข้มข้นสูงด้วย เพื่อการดูดซึมที่มากขึ้น
2. คอลลาเจนควรมีวิตามินซีผสมอยู่ด้วย เพื่อช่วยเสริมการสังเคราะห์คอลลาเจน และวิตามินซียังเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซึมคอลลาเจนเข้าสู่ร่างกายได้ดียิ่งขึ้น
3. เลือกคอลลาเจนที่มีไนอะซิน หรือวิตามินบี 3 สารที่ช่วยคงสภาพปกติของเยื่อบุทางเดินอาหารและผิวหนัง
4. เลือกคอลลาเจนที่มีส่วนประกอบของสารสำคัญอื่น ๆ เพิ่มเติม เพื่อให้ได้ประโยชน์ในด้านบำรุงผิวและข้ออย่างครอบคลุม เช่น คอลลาเจนที่เพิ่มไฮยาลูรอน ช่วยเติมความชุ่มชื้น เพิ่มความยืดหยุ่น ริ้วรอยดูลดเลือนลง ผิวดูใสเปล่งประกาย รวมทั้งยังช่วยเสริมการหล่อลื่นของข้อเข่า ดูแลสุขภาพข้อได้อีกทาง
5. รสชาติของคอลลาเจนต้องอร่อย ไม่จืดชืด มีกลิ่นหอม ไม่คาว ซึ่งจะช่วยให้รับประทานง่าย และคอลลาเจนควรมีลักษณะใส ไม่ผสมสี ชงและละลายน้ำได้ดี เพราะต้องทานต่อเนื่อง เพื่อได้ผลที่ดีที่สุด
6. ควรเลือกคอลลาเจนที่ปราศจากน้ำตาลและไขมัน จะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องน้ำหนักขึ้นที่อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพได้ในระยะยาว
ดูแลได้ครบทั้งผิวและข้อ
และสำหรับคนที่กำลังมองหาคอลลาเจนที่มีสรรพคุณระดับท็อป ๆ เปี่ยมคุณสมบัติที่ควรซื้อครบทุกข้อดังที่กล่าวมา เราขอแนะนำคอลลาเจน Zeavita Activ70X Collagen Plus ที่ผ่านการรับรองสิทธิบัตรจากประเทศญี่ปุ่นมาเป็นที่เรียบร้อยว่า เป็นคอลลาเจนไดเปปไทด์ 100% และไม่ผสมคอลลาเจนโมเลกุลใหญ่ชนิดอื่น ๆ จึงดูดซึมได้เร็วและดูดซึมได้ดีที่สุด (เมื่อเทียบกับคอลลาเจนไตรเปปไทด์และคอลลาเจนเปปไทด์) ช่วยฟื้นฟูชั้นผิวและข้อเข่าได้อย่างตรงจุด
นอกจากนี้ Zeavita Activ70X Collagen Plus ยังมีความเข้มข้นมากกว่าสูตรเดิมถึง 70 เท่า อีกทั้งมีส่วนผสมของวิตามินบี 3 และวิตามินซี ที่ช่วยให้คอลลาเจนดูดซึมได้ดีขึ้น ซึ่งต้องบอกว่าไม่ค่อยเห็นการจับคู่ส่วนผสมตัวจี๊ดอย่างคอลลาเจนไดเปปไทด์ 100% กับวิตามินซีอย่างนี้ในวงการคอลลาเจนกันง่าย ๆ เลยล่ะค่ะ