
หลายคนอาจสงสัยว่าจะรู้ได้อย่างไรว่าสิวที่เห่อเต็มหน้าเป็นสิวฮอร์โมน หรือสิวทั่วไป เอาเป็นว่าสังเกตจากลักษณะของสิวก็ได้ค่ะ โดยหากสิวมีลักษณะอักเสบ เป็นตุ่มแดงขนาดใหญ่ หรือมีสิวเห่อขึ้นบริเวณรอบปาก แก้ม คาง ลำคอ หน้าอก และแผ่นหลัง ซึ่งมักจะเป็นในช่วงก่อนมีประจำเดือน ก็พอจะเดาได้ว่านี่คือ สิวฮอร์โมน
ทั้งนี้ ในบางคนอาจมีสิวขึ้นที่เดิมซ้ำ ๆ ร่วมกับหน้ามัน ตัวบวม น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น หิวบ่อย ปวดท้องน้อย ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว ซึ่งเหล่านี้ยังเป็นสัญญาณที่ชัดเจนของอาการก่อนมีประจำเดือน
ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าสิวชนิดนี้มีสาเหตุมาจากภาวะฮอร์โมนไม่สมดุลนั่นเอง โดยมีปริมาณเทสโทสเตอโรน (Testosterone) ฮอร์โมนเพศชาย มากกว่าเอสโตรเจน (Estrogen) ฮอร์โมนเพศหญิง ส่งผลให้ต่อมไขมันผลิตไขมันออกมามากกว่าปกติ และเมื่อสิ่งสกปรกมาสัมผัสกับใบหน้าก็ก่อให้เกิดการอุดตันจนกลายเป็นสิวในที่สุด
อย่างไรก็ตาม ภาวะดังกล่าวไม่ได้เกิดกับวัยรุ่นเท่านั้น แต่พบได้ทุกช่วงวัยเลย และเจ้าสิวฮอร์โมนตัวร้ายก็รักษาแบบสิวทั่วไปไม่ค่อยได้ผลด้วยนะคะ หรืออาจต้องใช้เวลานานกว่าจะหาย แถมยังจะวนมาเห่อซ้ำได้ใหม่ทุก ๆ รอบเดือน

- ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทาน ด้วยการเลือกรับประทานอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ (Low GI) เช่น ผักและผลไม้สด ๆ ที่มีกากใย ธัญพืชไม่ขัดสี ลดของหวานต่าง ๆ เพื่อช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนในร่างกายให้เป็นปกติ
- ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม โดยควรรักษาค่า BMI ให้อยู่ในช่วง 18.5-22.9 กิโลกรัม/เมตร² หรือมีความหนาของรอบเอวไม่เกิน 80 เซนติเมตร เพราะหากอ้วนเกินไปจะทำให้ฮอร์โมนทำงานไม่ปกติ
- ดูแลรักษาสุขอนามัยให้ดี โดยเฉพาะการล้างหน้า ควรล้างเครื่องสำอางออกให้หมดจด เพื่อลดการอุดตันใต้ชั้นผิวหนังที่เสี่ยงก่อสิวได้
- พยายามหลีกเลี่ยงความเครียด ทำจิตใจให้สบาย เนื่องจากความเครียดจะเพิ่มความเสี่ยงภาวะฮอร์โมนไม่สมดุลได้ง่ายขึ้น
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และไม่ควรอดนอนบ่อย ๆ เพราะการนอนไม่พอจะส่งผลให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนความเครียดมากกว่าปกติ

ขอบคุณข้อมูลจาก : เฟซบุ๊ก คลับนี้เลดี้คุม by Young, Rama Channel, medicalnewstoday.com
PP-PF-WHC-TH-0420-1(09/2022)