5 น้ำพริกไม่อ้วน แคลอรีต่ำ
1. น้ำพริกทะเล
น้ำพริกทะเลถ้วยนี้มีหอยแมลงภู่สดเป็นส่วนประกอบหลัก โขลกกับกระเทียม พริกเหลืองเผา พริกขี้หนูสด กะปิเล็กน้อย ตามด้วยน้ำปลา น้ำมะนาว ปรุงรสตามชอบ แค่นี้ก็อร่อยได้ง่าย ๆ และให้พลังงานเพียง 55 กิโลแคลอรี ต่อ 100 กรัม หรือ 7 ช้อนกินข้าว เท่านั้น อีกทั้งยังจะได้โปรตีน ธาตุเหล็ก แคลเซียม ฟอสฟอรัส จากเนื้อหอย และสารต้านอนุมูลอิสระจากสีเหลือง เขียว แดง ของพริก พร้อมด้วยสรรพคุณทางยาของพริกที่ช่วยขับลม แก้ท้องอืด และยิ่งกินคู่กับผักสดก็จะได้วิตามิน ไฟเบอร์ รวมไปถึงคุณค่าทางโภชนาการเพิ่มไปอีก
2. น้ำพริกเห็ดฟาง
สำหรับคนที่อยากได้โปรตีนแน่น ๆ และรับวิตามินดีจากอาหาร มาลองน้ำพริกเห็ดฟางถ้วยนี้กัน เพราะจะมีส่วนผสมหลักคือเห็ดฟางและเนื้อปลาทู ซึ่งให้วิตามินดีด้วยกันทั้งคู่
ส่วนวิธีทำก็ไม่ยาก เพียงนำเห็ดฟาง ปลาทูนึ่ง หอมแดง กระเทียม พริกหยวก พริกขี้หนู โขลกให้เข้ากัน จากนั้นปรุงรสด้วยน้ำปลาตามชอบ ถ้วยนี้จะให้พลังงาน 74 กิโลแคลอรี ต่อ 100 กรัม หรือ 8 ช้อนกินข้าว โปรตีน 7.7 กรัม ฟอสฟอรัส 177 มิลลิกรัม เหล็ก 1.1 มิลลิกรัม และยังจะได้ไอโอดีน แมกนีเซียม กรดไขมันโอเมก้า 3 และ 6 จากปลาทูอีกด้วย เน้นกินผักให้มากกว่าข้าวก็อร่อยแซ่บประหยัดแคลไปอีกมื้อ
3. น้ำพริกปลากระป๋อง
เมนูน้ำพริกจากวัตถุดิบหาง่ายอย่างปลากระป๋องในซอสมะเขือเทศ ถ้วยนี้ให้พลังงานเบา ๆ ที่ 79 กิโลแคลอรี ต่อ 100 กรัม หรือ 7 ช้อนกินข้าว และนอกจากจะเป็นน้ำพริกไม่อ้วนแล้ว ซอสมะเขือเทศในปลากระป๋องยังให้สารไลโคปีน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยต้านมะเร็ง อีกทั้งยังเป็นเมนูน้ำพริกที่มีแคลเซียมสูงถึง 265 มิลลิกรัม ด้วยความที่ปลากระป๋องใช้ปลาทั้งตัว รวมไปถึงกระดูก อย่างไรก็ตาม ปลากระป๋องจัดเป็นอาหารแปรรูปที่มีโซเดียมสูง จึงควรระวังในการรับประทาน หรือพยายามปรุงให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ส่วนวิธีทำก็ไม่ยาก แค่ตั้งกระทะ นำปลากระป๋องไปผัด ยี ๆ ให้เนื้อปลาละเอียด พอเดือดก็ยกลงจากเตา แล้วใส่หอมแดงซอย พริกขี้หนูหั่น ปรุงรสด้วยน้ำปลาและมะนาว คลุกเคล้าให้เข้ากันก็ตักเสิร์ฟได้
4. ปลาร้าบอง
เมนูน้ำพริกใส่ปลาร้าก็แคลต่ำได้ อย่างปลาร้าบองก็ให้พลังงาน 95 กิโลแคลอรี ต่อ 100 กรัม หรือ 7 ช้อนกินข้าว และยังได้โปรตีนจากเนื้อปลาร้าที่ใส่ลงไปด้วย แถมสมุนไพรก็เยอะ โดยเริ่มจากสับปลาร้าให้ละเอียด พักไว้ จากนั้นมาคั่วหอมแดง กระเทียม ให้หอม แล้วนำไปโขลกกับตะไคร้ซอย ใบมะกรูดหั่นฝอย เมื่อทุกอย่างเข้ากันดีและละเอียดพอสมควรแล้วจึงใส่เนื้อปลาร้าสับ คลุกเคล้าให้เข้ากัน จากนั้นนำไปตั้งไฟอ่อน ๆ ผัดให้พอสุก ใส่พริกขี้หนู พริกป่น และปรุงรสด้วยน้ำมะขามเปียกตามใจชอบ
บอกเลยว่าน้ำพริกถ้วยนี้คลุกข้าวสวยร้อน ๆ อร่อยเหาะ ช่วยให้เจริญอาหาร หรือคนที่อยากขับลมก็จะมีสรรพคุณของมะกรูดที่ช่วยเรื่องนี้ได้ ทว่าแนะนำให้กินน้ำพริกปลาร้าบองแต่น้อยนะคะ เพราะถ้วยนี้โซเดียมสูงมาก หรือจะลดความเค็มโดยเลือกใช้ปลาร้าที่คลีนหน่อย และปรุงแต่งรสให้น้อยที่สุดก็ได้5. น้ำพริกกุ้งสด
มาต่อกันที่น้ำพริกกุ้งสด สูตรนี้จะใช้เนื้อกุ้งนางลวก กะปิ พริกขี้หนู มะเขือพวง มะอึกซอย น้ำมะนาว น้ำตาลปี๊บ และน้ำปลา นำกะปิไปย่างไฟพอให้หอม จากนั้นนำส่วนผสมทุกอย่างมาโขลกให้เข้ากัน ปรุงรสตามชอบได้เลย
น้ำพริกกุ้งสดให้พลังงาน 96 กิโลแคลอรี ต่อ 100 กรัม หรือ 8 ช้อนกินข้าว และยังให้แคลเซียมสูงมากถึง 321 มิลลิกรัม จากกุ้งและกะปิด้วย ส่วนผักและสมุนไพรที่เป็นส่วนผสมอีกหลายชนิดก็ให้ไฟเบอร์ ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก แต่ที่เด่นจะเป็นมะเขือพวง ซึ่งมีสรรพคุณกระตุ้นการทำงานของระบบย่อยอาหาร ลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ และในมะเขือพวงยังมีสารเพกทิน ที่ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดในผู้ป่วยเบาหวานได้อีกด้วยวิธีกินน้ำพริกให้แซ่บแบบเฮลธ์ตี้
-
กินน้ำพริกในปริมาณที่พอเหมาะ คือประมาณมื้อละ 1-2 ช้อนกินข้าว หรือถ้ากินเมนูน้ำพริกที่มีความเค็มมาก เช่น มีส่วนผสมของกะปิ กุ้งแห้ง ปลาเค็ม หรือใส่น้ำปลามาก อาจต้องลดปริมาณการกินลงอีกหน่อย เพื่อไม่ให้ร่างกายได้รับโซเดียมมากเกินไป
-
กินแต่พออิ่ม ระวังการกินข้าวเยอะกว่าปกติ โดยผู้หญิงควรกินข้าวมื้อละ 2 ทัพพี ส่วนผู้ชายควรกินข้าวมื้อละ 3 ทัพพี
-
ควรกินน้ำพริกคู่กับผักสด หรือผักต้ม ผักนึ่ง หลีกเลี่ยงเมนูผักทอดหรือผักราดน้ำกะทิเท่าที่จะทำได้ เพราะอาจได้รับพลังงานจากไขมันในเมนูทอดและกะทิเพิ่มได้
-
เติมโปรตีนในมื้อที่มีน้ำพริกผักต้มด้วย โดยอาจจะกินคู่กับไข่ต้มหรือเนื้อสัตว์อย่างอกไก่ต้ม ปลานึ่ง ปลาย่าง เพื่อให้ได้สารอาหารเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในเมนูน้ำพริกที่ไม่มีส่วนประกอบของเนื้อสัตว์เลย