โซเดียมในจานที่คุณมองไม่เห็น แต่อยู่ในทุกคำที่คุณชอบ


โซเดียมในอาหาร

          ทุกคนรู้จักเกลือ... แต่ไม่ใช่ทุกคนรู้จัก “โซเดียม”

          โซเดียมเป็นแร่ธาตุสำคัญในร่างกาย ทำหน้าที่ควบคุมความสมดุลของของเหลวในร่างกาย รักษาความดันโลหิตให้อยู่ในระดับปกติ ช่วยในการทำงานของประสาทและกล้ามเนื้อ (รวมถึงกล้ามเนื้อหัวใจด้วย) ตลอดจนการดูดซึมสารอาหารบางอย่างในไตและลำไส้เล็ก แต่ถ้าได้รับโซเดียมมากเกินไปจะทำให้เรากระหายน้ำ บวม ความดันขึ้น ไตทำงานหนัก และในระยะยาวอาจนำไปสู่โรคเรื้อรัง เช่น ความดันโลหิตสูง หัวใจ หรือแม้แต่มะเร็งกระเพาะอาหารได้

          ที่น่ากลัวก็คือ — โซเดียมแฝงอยู่ในอาหารแทบทุกประเภท ไม่ได้มาในรูปลักษณ์ของ “เกลือ” และไม่ใช่แค่ในอาหารที่ “รสเค็ม” 

ลองเปิดตู้เย็นบ้านคุณสิ…

  • ขนมปัง ? มีโซเดียมจาก “เบกกิ้งโซดา” (โซเดียมไบคาร์บอเนต)
  • น้ำผลไม้กล่อง ? มี “โซเดียมเบนโซเอต” เป็นสารกันเสีย
  • ไส้กรอก หมูยอ ? เต็มไปด้วย “โซเดียมไนไตรท์” ทำให้เนื้อสดน่ากิน
  • ขนมเค้ก ? ใส่สารพองฟูที่มาจากโซเดียมไบคาร์บอเนต หรือเบกกิ้งโซดา
  • แม้แต่ไข่มุกในชานม ยังมี “โซเดียมอัลจิเนต” ทำให้หนึบ !

          ทั้งหมดนี้… แทบไม่มีรสเค็มเลย แต่โซเดียมเพียบ !
          แบบที่คุณ “กินทุกวัน” โดยไม่รู้ตัว

“โซเดียมเกินไม่รู้ตัว” เป็นยังไง ?

ลองนึกถึงอาหารเช้าเบา ๆ ที่ใครหลายคนมองว่า “คลีน”

  • ขนมปังโฮลวีตทาเนยบาง ๆ
  • ไข่ต้ม
  • น้ำผลไม้กล่อง
  • และโยเกิร์ต 1 ถ้วย

เห็นแบบนี้ก็ดูว่าน่าจะกินแล้วสุขภาพดีใช่ไหม ?

          แต่แอบกระซิบว่า…อาหารชุดนี้อาจให้โซเดียมเกิน 1,000 มิลลิกรัมไปแล้วเกือบครึ่งของปริมาณแนะนำต่อวัน (ซึ่ง WHO แนะนำว่าไม่ควรเกิน 2,000 มิลลิกรัม) 

          และคุณยังไม่ได้เริ่มมื้อเที่ยงกับก๋วยเตี๋ยวเนื้อเปื่อย แล้วก็มื้อเย็น หมูกระทะกับน้ำจิ้มสูตรเด็ด อีกนะ !

น้ำจิ้มแค่ “นิดเดียว” ก็พาเกินลิมิต

          ความน่ารักของน้ำจิ้มคือมันเสริมรสให้ทุกอย่างน่ากิน
          แต่ความร้ายกาจของมันคือ “โซเดียมเยอะโดยไม่รู้ตัว”

          น้ำจิ้มยอดนิยมอย่างน้ำจิ้มซีฟู้ด น้ำจิ้มหมูกระทะ น้ำปลาพริก หรือแม้แต่น้ำสุกี้
          หลายสูตร 1 ช้อนโต๊ะ อาจให้โซเดียม 400-800 มิลลิกรัมเลยทีเดียว
          แล้วลองคิดว่า…เวลาคุณกินปิ้งย่าง คุณจิ้มกี่คำ ?

          จากการสำรวจพบว่า คนไทยบริโภคโซเดียมเฉลี่ยวันละ 3,636 มิลลิกรัม เกินจากที่ควรเกือบเท่าตัว ! 

          และน้ำจิ้มนี่แหละคือ “อาวุธลับ” ที่หลายคนมองข้าม

          ไม่ใช่แค่ตัวเลข – มันคือผลกระทบจริงกับร่างกาย

การได้รับโซเดียมมากเกินไปทุกวันจะทำให้ :

  • ร่างกายกักเก็บน้ำไว้ → หน้าบวม ตาบวม
  • ความดันโลหิตพุ่งสูงขึ้น → เสี่ยงต่อหัวใจวายหรือโรคหลอดเลือดสมอง
  • ไตต้องทำงานหนักขึ้น → เสี่ยงโรคไตเรื้อรัง
  • กระดูกพรุนเร็วขึ้น เพราะโซเดียมดึงแคลเซียมออกจากกระดูก

          และอาการเหล่านี้…คุณอาจไม่รู้เลยว่ามันเริ่มเกิดขึ้นแล้ว เพราะมันค่อย ๆ สะสมทีละนิด และรอวันพัง

แล้วต้องทำยังไง ? ง่ายนิดเดียว (แต่ได้ผลจริง)

1. อย่าตัดสินว่า “ไม่เค็ม” = “ไม่มีโซเดียม”

          อาหารหวานก็ใส่โซเดียมได้ ! ขนมปัง เค้ก น้ำผลไม้ – ลองพลิกฉลากดู

2. อ่านฉลากโภชนาการ

          มองหาคำว่า “โซเดียม” และดูปริมาณต่อ 1 หน่วยบริโภค
          ถ้ามีมากกว่า 600 มิลลิกรัม ในอาหารมื้อหลัก 1 หน่วย ถือว่า “สูง”

3. ลดจิ้ม ลดปรุงเพิ่ม

          อาหารทุกวันนี้ “ปรุงมาแล้ว” เค็มพอแล้ว
          การเติมน้ำปลา พริกน้ำปลา ซีอิ๊ว หรือผงปรุงรสอีก เท่ากับเติมโซเดียมแบบซ้ำซ้อน
          ลองเปลี่ยนจาก “เหยาะเพิ่ม” เป็น “ชิมก่อนปรุง” และใช้ “ถ้วยน้ำจิ้มขนาดเล็ก” ไม่เกิน 3 นิ้ว

4. ลดซด

          น้ำซุป น้ำยำ น้ำราดผัด – เหมือนจะเป็นน้ำใส ๆ แต่เต็มไปด้วยโซเดียมจากเครื่องปรุง ซุปก้อน ซีอิ๊ว ซอส

          หากคุณเลี่ยงการซดน้ำหลังกินจะลดโซเดียมได้เยอะ

          เช่น ซุปก๋วยเตี๋ยว 1 ถ้วย = โซเดียมเกือบ 1,000 มิลลิกรัม !

          หลีกเลี่ยงการซดจนหมด จะช่วยให้ร่างกายรับโซเดียมลดลงโดยไม่ต้องปรับพฤติกรรมมาก

รู้แบบนี้แล้ว คุณไม่ต้องถึงกับเลิกกินของที่ชอบ

          แต่แค่รู้เท่าทันว่า “โซเดียม” แฝงตัวในอาหารมากกว่าที่คุณคิด
          คุณก็สามารถเลือกอร่อยได้โดยไม่ต้องเติมเพิ่ม แค่ลดจิ้ม ลดปรุง ลดซด…
          เพื่อให้ทุกมื้อยังอิ่มอร่อยเหมือนเดิม แต่ดีต่อร่างกายมากขึ้นกว่าที่เคย

#ยิ่งจิ้มโซเดียมยิ่งทำร้ายสุขภาพ #จิ้มน้อยๆปลอดภัยกว่า #ลดจิ้ม #มื้อละไม่เกิน1ช้อนโต๊ะ 
#ลดโซเดียม #ลดเค็มลดโรค #สสส


กดติดตามข้อมูลข่าวสาร แคมเปญที่น่าสนใจ และกิจกรรมดี ๆ จาก สสส. เพิ่มเติมได้ที่ :
TikTok: @thaihealth

โซเดียมในจานที่คุณมองไม่เห็น แต่อยู่ในทุกคำที่คุณชอบ โพสต์เมื่อ 30 พฤษภาคม 2568 เวลา 10:01:52 7,814 อ่าน
TOP