หมอเจดเผย เวียนหัว บ้านหมุน อาจมาจากโรคหินปูนในหูหลุด หรือโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน พร้อมวิธีดูแลและลดความเสี่ยง
![ปวดหัว ปวดหัว]()
วันที่ 3 กันยายน 2568 นพ.เจษฎ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราช นครราชสีมา โพสต์ให้ความรู้ด้านสุขภาพผ่านเพจเฟซบุ๊ก หมอเจด ในหัวข้อ เวียนหัว บ้านหมุน เป็นโรคอะไร ป้องกันได้ไหม มาดู โดยระบุว่า
ถ้าเคยมีอาการแบบนี้ คุณจะรู้เลยว่ามันไม่ใช่แค่เวียนหัวธรรมดา แต่เป็นความรู้สึกว่าโลกหมุนติ้ว ๆ ทั้งที่ทำแค่ลุกขึ้นนั่งหรือหันหัวเร็ว ๆ เอง อาการลักษณะนี้เกิดได้จากหลายสาเหตุ ที่พบบ่อยที่สุดคือ หินปูนในหูหลุด กับ โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน (เมเนียร์) ซึ่งแม้สองโรคนี้จะมีอาการคล้ายกัน แต่สาเหตุและวิธีดูแลต่างกันอย่างสิ้นเชิง
เล่าให้ฟังแบบเข้าใจง่าย ๆ ว่า หินปูนในหู กับ น้ำในหูไม่เท่ากัน คืออะไรจะสังเกตอาการได้อย่างไร ป้องกันได้แค่ไหน และเมื่อไหร่ที่ต้องรีบไปหาหมอทันที
ในหูชั้นในของเรามีระบบควบคุมการทรงตัว หรือที่เรียกว่า Vestibular system ซึ่งจะมีเม็ดแคลเซียมเล็ก ๆ ชื่อ Otoconia อยู่ ทำหน้าที่เหมือนลูกตะกั่วจิ๋ว ๆ คอยบอกสมองว่าเรากำลังเอียง หัน หรือเคลื่อนไหวอย่างไร
ปัญหาคือบางครั้งหินปูนเหล่านี้เกิดการ หลุดเข้าไปในท่อกึ่งวงกลม (Semicircular canal) เมื่อเราขยับศีรษะ มันจะไปรบกวนของเหลวในหู ทำให้สมองรับสัญญาณผิดปกติ จึงเกิดอาการเวียนหัวแบบโลกหมุนทันที ภาวะนี้เรียกว่า BPPV (Benign Paroxysmal Positional Vertigo) หรือที่หลายคนเข้าใจผิดว่าเป็น น้ำในหูไม่เท่ากัน
คำนี้เป็นคำที่คนไทยใช้กันติดปาก แต่ในทางการแพทย์ ส่วนใหญ่หมายถึง โรคเมเนียร์ (Meniere’s Disease) เกิดจากน้ำในหูชั้นในมากเกินไป ทำให้เกิดแรงดันผิดปกติ ระบบการทรงตัวรวน และกระทบถึงการได้ยินด้วย
อาการหลัก ๆ ของโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน
- เวียนหัวแบบโลกหมุน รุนแรงจนลืมตาไม่ไหว
- มีเสียงวิ๊ง ๆ หรือหูอื้อ
- การได้ยินลดลงชั่วคราว หากเป็นบ่อย ๆ อาจหูตึงถาวร
- คลื่นไส้ อาเจียน เหงื่อออกมาก
ต่างจาก BPPV ตรงที่โรคนี้เกิดจาก แรงดันน้ำในหูผิดปกติ ส่วน BPPV มาจาก เม็ดแคลเซียมหลุด แต่เพราะอาการเวียนหัวคล้ายกัน จึงมักถูกสับสน
แม้ทั้งสองโรคจะไม่อันตรายถึงชีวิต แต่ต้องสังเกต เพราะบางครั้งอาการเวียนหัวอาจคล้าย โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) ได้
อาการที่มักเกิดจากปัญหาหู
- เวียนหัวเมื่อขยับศีรษะหรือเปลี่ยนท่า
- โลกหมุนแบบจริง ๆ ไม่ใช่แค่โคลงเคลง
- คลื่นไส้ อาเจียนร่วมด้วย
- ไม่มีอาการแขนขาอ่อนแรง หรือพูดไม่ชัด
อาการที่ควรรีบไปโรงพยาบาลทันที
- เวียนหัวร่วมกับปากเบี้ยว พูดไม่ชัด แขนขาไม่มีแรง : อาจเป็นสโตรก
- เวียนหัวรุนแรงเฉียบพลัน แบบไม่เคยเป็นมาก่อน
- การได้ยินหายไปทันที หรือหูหนวกกะทันหัน
- ปวดหู มีหนอง หรืออาการติดเชื้อ
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะมีอาการแบบไหน แนะนำให้ไปตรวจที่โรงพยาบาลเสมอ
หินปูนในหูหลุด : มักเกิดโดยไม่ทราบสาเหตุ แต่พบมากในคนอายุ 40–60 ปี หรือหลังศีรษะกระแทก
น้ำในหูไม่เท่ากัน : เกี่ยวข้องกับพันธุกรรม ความเครียด อาหารเค็ม คาเฟอีน ฯลฯ
วิธีลดความเสี่ยง
- ลดอาหารเค็ม เพราะเกลือมากทำให้การควบคุมน้ำในร่างกายเสียสมดุล
- ลดคาเฟอีนและแอลกอฮอล์ เพราะกระตุ้นระบบทรงตัว
- ดื่มน้ำในปริมาณพอดี ขาดน้ำหรือดื่มมากเกินไปก็ทำให้แปรปรวนได้
- พักผ่อนให้เพียงพอ ความเครียดและการนอนน้อยทำให้ระบบประสาทไวเกินไป
- ออกกำลังกายและฝึกการทรงตัว เพื่อให้สมองเรียนรู้การปรับตัว
หินปูนในหู (BPPV): รักษาด้วยท่าบริหารศีรษะ เช่น Epley maneuver หากทำถูกต้อง อาการมักหายใน 1–2 วัน แต่บางรายอาจกลับมาเป็นซ้ำ
น้ำในหูไม่เท่ากัน: ต้องควบคุมอาหาร ลดเกลือ ใช้ยาขับน้ำหรือยาคลายเวียนหัวเมื่อกำเริบ และตรวจเช็กการได้ยินเป็นระยะ เพราะเสี่ยงหูตึงถาวร
สิ่งที่ไม่ควรทำ
- ฝืนขับรถหรือทำงานเสี่ยงอันตรายขณะเวียนหัว
- กินยาคลายเวียนหัวพร่ำเพรื่อโดยไม่รู้สาเหตุ เพราะอาจบังโรคอื่นที่ร้ายแรงกว่า
เรื่องเวียนหัวแบบโลกหมุนไม่ใช่เรื่องเล็ก และไม่ใช่ทุกครั้งที่จะเป็นแค่ น้ำในหูไม่เท่ากัน บางครั้งเป็นแค่หินปูนในหูหลุด แต่บางครั้งอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคหลอดเลือดสมองที่ห้ามชะล่าใจเด็ดขาด
- สิ่งสำคัญคือ อย่ามองข้ามอาการเวียนหัว อย่าเดาเอง และอย่าปล่อยจนรุนแรงแนะนำว่า ไม่ว่าอาการแบบไหน ก็ควรรีบไปโรงพยาบาล

ถ้าเคยมีอาการแบบนี้ คุณจะรู้เลยว่ามันไม่ใช่แค่เวียนหัวธรรมดา แต่เป็นความรู้สึกว่าโลกหมุนติ้ว ๆ ทั้งที่ทำแค่ลุกขึ้นนั่งหรือหันหัวเร็ว ๆ เอง อาการลักษณะนี้เกิดได้จากหลายสาเหตุ ที่พบบ่อยที่สุดคือ หินปูนในหูหลุด กับ โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน (เมเนียร์) ซึ่งแม้สองโรคนี้จะมีอาการคล้ายกัน แต่สาเหตุและวิธีดูแลต่างกันอย่างสิ้นเชิง
เล่าให้ฟังแบบเข้าใจง่าย ๆ ว่า หินปูนในหู กับ น้ำในหูไม่เท่ากัน คืออะไรจะสังเกตอาการได้อย่างไร ป้องกันได้แค่ไหน และเมื่อไหร่ที่ต้องรีบไปหาหมอทันที
1. หินปูนในหูคืออะไร ทำไมเม็ดจิ๋วทำให้เวียนหัวโลกหมุน ?
ในหูชั้นในของเรามีระบบควบคุมการทรงตัว หรือที่เรียกว่า Vestibular system ซึ่งจะมีเม็ดแคลเซียมเล็ก ๆ ชื่อ Otoconia อยู่ ทำหน้าที่เหมือนลูกตะกั่วจิ๋ว ๆ คอยบอกสมองว่าเรากำลังเอียง หัน หรือเคลื่อนไหวอย่างไร
ปัญหาคือบางครั้งหินปูนเหล่านี้เกิดการ หลุดเข้าไปในท่อกึ่งวงกลม (Semicircular canal) เมื่อเราขยับศีรษะ มันจะไปรบกวนของเหลวในหู ทำให้สมองรับสัญญาณผิดปกติ จึงเกิดอาการเวียนหัวแบบโลกหมุนทันที ภาวะนี้เรียกว่า BPPV (Benign Paroxysmal Positional Vertigo) หรือที่หลายคนเข้าใจผิดว่าเป็น น้ำในหูไม่เท่ากัน
2. แล้ว น้ำในหูไม่เท่ากัน จริง ๆ คือโรคอะไร ?
คำนี้เป็นคำที่คนไทยใช้กันติดปาก แต่ในทางการแพทย์ ส่วนใหญ่หมายถึง โรคเมเนียร์ (Meniere’s Disease) เกิดจากน้ำในหูชั้นในมากเกินไป ทำให้เกิดแรงดันผิดปกติ ระบบการทรงตัวรวน และกระทบถึงการได้ยินด้วย
อาการหลัก ๆ ของโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน
- เวียนหัวแบบโลกหมุน รุนแรงจนลืมตาไม่ไหว
- มีเสียงวิ๊ง ๆ หรือหูอื้อ
- การได้ยินลดลงชั่วคราว หากเป็นบ่อย ๆ อาจหูตึงถาวร
- คลื่นไส้ อาเจียน เหงื่อออกมาก
ต่างจาก BPPV ตรงที่โรคนี้เกิดจาก แรงดันน้ำในหูผิดปกติ ส่วน BPPV มาจาก เม็ดแคลเซียมหลุด แต่เพราะอาการเวียนหัวคล้ายกัน จึงมักถูกสับสน

3. อาการไหนปลอดภัย อาการไหนต้องรีบไปหาหมอ ?
แม้ทั้งสองโรคจะไม่อันตรายถึงชีวิต แต่ต้องสังเกต เพราะบางครั้งอาการเวียนหัวอาจคล้าย โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) ได้
อาการที่มักเกิดจากปัญหาหู
- เวียนหัวเมื่อขยับศีรษะหรือเปลี่ยนท่า
- โลกหมุนแบบจริง ๆ ไม่ใช่แค่โคลงเคลง
- คลื่นไส้ อาเจียนร่วมด้วย
- ไม่มีอาการแขนขาอ่อนแรง หรือพูดไม่ชัด
อาการที่ควรรีบไปโรงพยาบาลทันที
- เวียนหัวร่วมกับปากเบี้ยว พูดไม่ชัด แขนขาไม่มีแรง : อาจเป็นสโตรก
- เวียนหัวรุนแรงเฉียบพลัน แบบไม่เคยเป็นมาก่อน
- การได้ยินหายไปทันที หรือหูหนวกกะทันหัน
- ปวดหู มีหนอง หรืออาการติดเชื้อ
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะมีอาการแบบไหน แนะนำให้ไปตรวจที่โรงพยาบาลเสมอ
4. ป้องกันได้อย่างไร ?
หินปูนในหูหลุด : มักเกิดโดยไม่ทราบสาเหตุ แต่พบมากในคนอายุ 40–60 ปี หรือหลังศีรษะกระแทก
น้ำในหูไม่เท่ากัน : เกี่ยวข้องกับพันธุกรรม ความเครียด อาหารเค็ม คาเฟอีน ฯลฯ
วิธีลดความเสี่ยง
- ลดอาหารเค็ม เพราะเกลือมากทำให้การควบคุมน้ำในร่างกายเสียสมดุล
- ลดคาเฟอีนและแอลกอฮอล์ เพราะกระตุ้นระบบทรงตัว
- ดื่มน้ำในปริมาณพอดี ขาดน้ำหรือดื่มมากเกินไปก็ทำให้แปรปรวนได้
- พักผ่อนให้เพียงพอ ความเครียดและการนอนน้อยทำให้ระบบประสาทไวเกินไป
- ออกกำลังกายและฝึกการทรงตัว เพื่อให้สมองเรียนรู้การปรับตัว
5. ถ้าเป็นแล้วทำยังไง หายเองได้ไหม ?
หินปูนในหู (BPPV): รักษาด้วยท่าบริหารศีรษะ เช่น Epley maneuver หากทำถูกต้อง อาการมักหายใน 1–2 วัน แต่บางรายอาจกลับมาเป็นซ้ำ
น้ำในหูไม่เท่ากัน: ต้องควบคุมอาหาร ลดเกลือ ใช้ยาขับน้ำหรือยาคลายเวียนหัวเมื่อกำเริบ และตรวจเช็กการได้ยินเป็นระยะ เพราะเสี่ยงหูตึงถาวร
สิ่งที่ไม่ควรทำ
- ฝืนขับรถหรือทำงานเสี่ยงอันตรายขณะเวียนหัว
- กินยาคลายเวียนหัวพร่ำเพรื่อโดยไม่รู้สาเหตุ เพราะอาจบังโรคอื่นที่ร้ายแรงกว่า
เรื่องเวียนหัวแบบโลกหมุนไม่ใช่เรื่องเล็ก และไม่ใช่ทุกครั้งที่จะเป็นแค่ น้ำในหูไม่เท่ากัน บางครั้งเป็นแค่หินปูนในหูหลุด แต่บางครั้งอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคหลอดเลือดสมองที่ห้ามชะล่าใจเด็ดขาด
- สิ่งสำคัญคือ อย่ามองข้ามอาการเวียนหัว อย่าเดาเอง และอย่าปล่อยจนรุนแรงแนะนำว่า ไม่ว่าอาการแบบไหน ก็ควรรีบไปโรงพยาบาล