Wellness คืออะไร
ต่างจาก Health อย่างไร
โดยทั่วไป Health มักหมายถึงภาวะสุขภาพกายและใจที่ปราศจากโรค เป็นสภาพที่ร่างกายทำงานปกติ ไม่มีอาการเจ็บป่วย แต่ความหมายของ Wellness นั้นกว้างกว่า เพราะหมายถึงภาวะสุขภาวะที่ดีแบบองค์รวม (Holistic Well-being) ซึ่งครอบคลุมหลายมิติ ไม่ใช่แค่เรื่องร่างกายเท่านั้น แต่รวมถึงสภาวะทางอารมณ์ จิตใจ ความสัมพันธ์ การทำงาน และสิ่งแวดล้อมที่เราอาศัยอยู่ด้วย
หัวใจสำคัญของ Wellness คือ การดูแลตัวเองเชิงรุก ป้องกันก่อนป่วย เลือกใช้วิถีชีวิตที่ดีผ่านการกิน การพักผ่อน การจัดการความเครียด การออกกำลังกาย รวมถึงการสร้างความสมดุลในงานและความสัมพันธ์
หากอ้างอิงตามนิยามของ Global Wellness Institute (GWI) Wellness คือ การเลือกพฤติกรรม การตัดสินใจ และรูปแบบการใช้ชีวิตที่นำไปสู่สุขภาพแบบองค์รวม ไม่ใช่เพียงการไม่มีโรค แต่เป็นการมีคุณภาพชีวิตที่ดีทั้งภายในและภายนอก ซึ่งเราต้องลงมือทำเองในทุกวัน เช่น คิดว่าจะเลือกกินอะไร จะนอนกี่โมง จะจัดการความเครียดอย่างไร เป็นต้น
ดังนั้น การไม่ป่วยไม่ได้แปลว่ามี Wellness สูงเสมอไป บางคนอาจร่างกายแข็งแรง แต่กำลังเผชิญความเครียด นอนไม่หลับ หรือหมดไฟจากงาน ขณะที่คนที่มี Wellness สูงจริง ๆ จะมีความสมดุลในหลายด้านทั้งร่างกาย จิตใจ ความคิด อารมณ์ ความสัมพันธ์ และไลฟ์สไตล์ ทำให้ชีวิตโดยรวมรู้สึกดีขึ้นมากกว่าการไม่มีโรคเพียงอย่างเดียว
Wellness ต่างจาก Well-being อย่างไร
สองคำนี้ใกล้กันมากจนใช้แทนกันบ่อย แต่มีจุดต่างสำคัญคือ
-
Well-being คือ สภาพชีวิตโดยรวมว่าชีวิตเราดีแค่ไหน มีความสุข พึงพอใจ มั่นคง และรู้สึกเติมเต็มแค่ไหน ซึ่งส่วนใหญ่ประเมินผ่านความรู้สึกและการรับรู้ของตัวเราเอง
-
Wellness คือ กระบวนการและไลฟ์สไตล์ที่เราทำอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ Well-being ดีขึ้น เป็นการลงมือดูแลตัวเองในทุกมิติ เช่น การพักผ่อนให้พอ การกินดี ออกกำลังกาย จัดการความเครียด ดูแลสภาพแวดล้อม และสร้างนิสัยที่ดีต่อสุขภาพในระยะยาว
สรุปง่าย ๆ ก็คือ Wellness คือสิ่งที่เราลงมือทำ ส่วน Well-being คือสิ่งที่เรารู้สึกและได้รับจากการดูแลตัวเองอย่างต่อเนื่อง
Wellness มีอะไรบ้าง มีกี่ด้าน
1. สุขภาวะทางกาย (Physical Wellness)
คือการดูแลให้ร่างกายทำงานได้ดี แข็งแรง และฟื้นตัวได้อย่างเหมาะสม โดยให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านี้
-
การออกกำลังกายสม่ำเสมอ
-
การเลือกรับประทานอาหารที่หลากหลาย เน้นผัก ผลไม้ ธัญพืช ไม่บริโภคน้ำตาลและอาหารแปรรูปมากเกินไป
-
ดื่มน้ำให้เพียงพอ
-
การนอนหลับอย่างมีคุณภาพ
-
ตรวจสุขภาพประจำปี
-
ฉีดวัคซีนและตรวจคัดกรองโรคตามช่วงอายุ
2. สุขภาวะทางจิตใจ (Mental Wellness)
คือการดูแลความคิดและสภาวะทางปัญญาให้แข็งแรง สามารถเรียนรู้ จดจ่อ ตัดสินใจ และรับมือความท้าทายในชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างพฤติกรรมที่ช่วยส่งเสริม ได้แก่
-
ฝึกสมาธิหรือสติช่วยให้โฟกัสดีขึ้น
-
เปิดรับการเรียนรู้ใหม่ ๆ เช่น อ่านหนังสือ ฝึกทักษะใหม่
-
ตั้งเป้าหมายส่วนตัวที่ท้าทายแต่เป็นไปได้
-
งดหรือลดการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและอุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเป็นระยะเวลาหนึ่ง (Digital Detox)
-
จัดสมดุลงานและชีวิตให้ดี จะได้ไม่เกิดภาวะหมดไฟ
3. สุขภาวะทางอารมณ์ (Emotional Wellness)
คือความสามารถในการเข้าใจ ยอมรับ และจัดการอารมณ์ ทั้งของตัวเองและของผู้อื่น เช่น
-
ฝึกสังเกตอารมณ์ของตัวเอง ด้วยการจดบันทึก
-
ฝึกวิธีรับมือความเครียด เช่น หายใจลึก ๆ ฝึกสติ เดินสมาธิ ใช้ดนตรีบำบัด
-
กล้าพูดคุยหรือขอความช่วยเหลือจากคนที่ไว้ใจหรือผู้เชี่ยวชาญ
-
แสดงความรู้สึกอย่างเหมาะสม
-
ฝึกความเห็นอกเห็นใจและเข้าใจผู้อื่น (Empathy)
4. สุขภาวะทางสังคม (Social Wellness)
คือการมีความสัมพันธ์ที่ดีและมีคุณค่า ทั้งกับเพื่อน ครอบครัว เพื่อนร่วมงาน และชุมชน ได้แก่
-
เข้าร่วมกิจกรรมหรือกลุ่มที่สนใจเหมือนกัน เช่น กลุ่มวิ่ง กลุ่มทาสแมว กลุ่มพัฒนาชุมชน
-
สร้างความสัมพันธ์ที่ให้และรับอย่างสมดุล
-
รู้จักตั้งขอบเขตในความสัมพันธ์ที่ไม่ดีต่อใจ
-
การมีคนที่สามารถคุยได้อย่างเปิดใจ
5. สุขภาวะทางจิตวิญญาณ (Spiritual Wellness)
คำว่าจิตวิญญาณไม่ได้จำกัดแค่ศาสนาหรือความเชื่อ แต่หมายถึงการแสวงหาความหมายในชีวิต และยึดถือคุณค่าที่ช่วยให้ใช้ชีวิตอย่างมีทิศทาง เช่น
-
สวดมนต์ เจริญสติ หรือทำสมาธิ
-
การใช้ชีวิตแบบ Slow Living
-
ใช้เวลาอยู่กับธรรมชาติ
-
การทำงานอาสา ช่วยเหลือผู้อื่น ให้ความรู้กับผู้อื่น
-
เขียนบันทึกสะท้อนความคิด เพื่อรู้จักตัวเองมากขึ้น
6. สุขภาวะทางสิ่งแวดล้อม (Environmental Wellness)
คือการใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย สะอาด และสนับสนุนการมีสุขภาพดี รวมถึงเป็นมิตรต่อโลก เช่น
-
จัดบ้านให้โปร่ง สะอาด อากาศถ่ายเท
-
ลดเสียงรบกวนหรือแสงรบกวน
-
ลดการใช้พลาสติกแบบครั้งเดียวทิ้ง
-
แยกขยะและรีไซเคิล
-
ใช้ขนส่งสาธารณะเพื่อลดมลพิษ
7. สุขภาวะทางปัญญา (Intellectual Wellness)
คือการกระตุ้นสมองให้ใช้ความคิด เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ และเปิดรับมุมมองที่หลากหลาย เพื่อพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง เช่น
-
อ่านหนังสือ ฟังพอดแคสต์ หรือเรียนออนไลน์ในหัวข้อที่สนใจ
-
ฝึกคิดวิเคราะห์ ไม่เชื่อข้อมูลบนโซเชียลโดยไม่ตรวจสอบ
-
ทดลองงานอดิเรกใหม่ ๆ เช่น วาดรูป ถ่ายภาพ ทำอาหาร เล่นดนตรี
-
เปิดใจเรียนรู้จากผู้คนต่างวัย ต่างประสบการณ์ เพื่อเพิ่มพูนมุมมอง
8. สุขภาวะการทำงาน (Occupational Wellness)
คือการมีงานที่เหมาะสม มีความหมาย และไม่บั่นทอนสุขภาพกายใจ โดยมุ่งสร้างสมดุลทั้งงานและชีวิต เช่น
-
สำรวจว่าตัวเองรู้สึกอย่างไรกับงานปัจจุบัน ยังสนุกอยู่ไหม หรือรู้สึกเฉยๆ หรือทรมาน ทำไปวัน ๆ
-
ตั้งขอบเขตระหว่างงานกับชีวิตส่วนตัว เช่น ไม่ตอบแชตนอกเหนือเวลางาน ไม่พกงานกลับไปทำที่บ้าน
-
วางแผนพัฒนาทักษะของตัวเอง ทั้ง Upskill และ Reskill เพื่อขยับไปสู่งานที่เหมาะกับเราในอนาคต
-
พูดคุยกับหัวหน้าหรือทีมเมื่อภาระงานเกินกำลัง (Overload)
9. สุขภาวะทางการเงิน (Financial Wellness)
คือความสามารถในการจัดการเงินอย่างมั่นคง ลดความเครียดทางการเงิน และเตรียมพร้อมสู่อนาคต เช่น
-
ทำบัญชีรายรับ–รายจ่ายอย่างน้อยเดือนละครั้ง
-
เตรียมเงินสำรองฉุกเฉิน 3-6 เท่าของค่าใช้จ่ายต่อเดือน
-
วางแผนการออมเพื่อเกษียณหรือเป้าหมายใหญ่ของชีวิต
-
จัดการหนี้สินที่มีอยู่อย่างเป็นระบบ
-
ศึกษาหาความรู้เรื่องการลงทุน การจัดการภาษี และการบริหารความเสี่ยงด้วยประกันชีวิต ประกันสุขภาพ
ทำไมเทรนด์ Wellness มาแรงในยุคนี้
1. ผู้ป่วยโรคเรื้อรังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
2. ความเครียดสะสมและภาวะหมดไฟ (Burnout)
วัยทำงานจำนวนมากเป็น "เดอะแบก" อยู่ในกลุ่ม Sandwich Generation ต้องดูแลทั้งพ่อแม่สูงอายุและลูกเล็ก พร้อมทำงานหนัก จึงเกิดความเครียดเรื้อรัง นอนไม่พอ หรือหมดไฟมากขึ้น ผู้คนจึงมองหาวิธีพักใจ ผ่อนคลาย และฟื้นฟูกำลังกายใจด้วยแนวคิด Wellness
3. การให้ความสำคัญกับ Work-Life Balance
คนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะ Gen Z ไม่ยอมรับวัฒนธรรมทำงานจนป่วยเป็นเรื่องธรรมดาอีกต่อไป พวกเขาให้ความสำคัญกับความสมดุลชีวิต สุขภาพ และเวลาคุณภาพ มากกว่าการทุ่มเทเพื่อเงินเพียงอย่างเดียว ทำให้บริการด้านสุขภาพ ฟิตเนส โภชนาการ และการดูแลจิตใจเป็นที่นิยมมากขึ้น
4. เทรนด์การใช้จ่ายระดับโลกเปลี่ยนไป
จากสินค้าฟุ่มเฟือย เช่น แบรนด์เนมและไลฟ์สไตล์หรูหรา ผู้คนหันมาลงทุนกับสิ่งที่ช่วยให้สุขภาพดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอาหารคลีน วิตามิน ฟิตเนส เทคโนโลยีด้านสุขภาพ คลินิกผิวพรรณ Wellness Retreat และบริการดูแลตัวเองแบบองค์รวม
5. การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ
6. เทคโนโลยีที่เข้าถึงง่ายและเป็นส่วนตัวมากขึ้น
ปัจจุบันผู้คนสามารถดูแลสุขภาพด้วยตัวเองได้สะดวกกว่าที่เคย เช่น พบแพทย์ออนไลน์, ใช้นาฬิกาอัจฉริยะวัดการนอน ค่าออกซิเจน หัวใจ และความเครียด, ใช้แอปฯ ออกกำลังกาย แอปฯ คำนวณแคลอรี แอปฯ ทำสมาธิ, ใช้โปรแกรมโภชนาการ วิเคราะห์พฤติกรรม หรือคอร์สฟื้นฟูสุขภาพออนไลน์ ทั้งหมดนี้ทำให้การดูแลสุขภาพแบบ Wellness กลายเป็นเรื่องง่าย ใกล้ตัว และทำได้ทุกวัน
เทรนด์ Wellness ที่ได้รับความนิยม
มีอะไรบ้าง
ข้างล่างนี้คือตัวอย่างเทรนด์ Wellness เด่น ๆ ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน
-
การจัดการความเครียด (Stress & Mental Wellness) : เพราะผู้คนเริ่มดูแลใจมากพอ ๆ กับการดูแลร่างกาย จึงให้ความสนใจกับวิธีผ่อนคลายและฟื้นฟูจิตใจ เช่น การทำสมาธิ, การบำบัดด้วยเสียง (Sound Healing), การฝึกหายใจ (Breathwork), การทำ Art Therapy หรือ Music Therapy
-
การนอนอย่างมีคุณภาพ (Sleep Wellness) : การนอนดีถูกมองว่าเป็นรากฐานของสุขภาพทุกด้าน จึงเกิดอุปกรณ์ช่วยนอนมากมาย เช่น ที่ครอบตากันแสง, หมอนรูปทรงเฉพาะทาง ช่วยลดกรน ลดกรดไหลย้อน หรือปรับท่านอน, เสียง White noise / Pink noise ช่วยแก้ปัญหานอนไม่หลับ นาฬิกาอัจฉริยะที่ติดตามคุณภาพการนอน ฯลฯ
-
การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism & Healing Retreat) : การเดินทางท่องเที่ยวเพื่อฟื้นฟูสุขภาพทั้งกายและใจ เช่น เดินป่าหรือกิจกรรมกลางแจ้ง, โยคะรีทรีต, ดีท็อกซ์ ฟาร์มสเตย์, การทำสปา ฯลฯ
-
สุขภาพดีเริ่มต้นที่ลำไส้ (Gut Health) : แนวคิดที่ว่าภูมิคุ้มกันของร่างกายกว่า 70% อยู่ที่ลำไส้ ทำให้คนหันมาสนใจสุขภาพลำไส้มากขึ้น ผ่านการรับประทานโพรไบโอติก พรีไบโอติก โพสไบโอติก รวมถึงอาหารหมักดอง และอาหาร Whole food ที่ช่วยให้ระบบย่อยแข็งแรง
-
อาหาร Plant-based / Flexitarian : เทรนด์ลดเนื้อสัตว์มาแรง หันมาเน้นผัก ผลไม้ ถั่ว ธัญพืช และโปรตีนจากพืชมากขึ้น เพื่อช่วยลดการอักเสบในร่างกาย ดีต่อระบบย่อยและสุขภาพลำไส้ ควบคุมน้ำหนักได้ง่ายขึ้น แถมยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
-
ความงามแบบองค์รวม (Holistic Beauty) : ความงามไม่ได้มาจากการบำรุงด้วยสกินแคร์อย่างเดียว แต่เกี่ยวกับพฤติกรรมประจำวันด้วย เช่น เลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อผิว, เสริมวิตามินผิว (Nutricosmetics), รับประทานอาหารเสริม, นอนหลับอย่างเพียงพอ และจัดการความเครียดให้ดี เพื่อลดการอักเสบในร่างกาย
-
Digital Detox : เพื่อลดการเสพโซเชียลที่มากเกินไป และให้สมองได้พัก จึงเกิดกิจกรรมเพื่อเว้นจากหน้าจอ เช่น จำกัดเวลาเล่นโซเชียล, งดใช้มือถือก่อนนอน เพื่อแบ่งเวลาพักใจในแต่ละวันอย่างตั้งใจ
-
Slow Living : เทรนด์การใช้ชีวิตช้าลงเพื่อให้ใจกลับมามีสมดุล โดยหาเวลาปลูกต้นไม้ ทำอาหาร ทำงานคราฟต์ต่าง ๆ ซึ่งช่วยให้จิตใจนิ่งขึ้นและลดความเครียดสะสม
-
Longevity & Anti-aging Wellness : แนวคิดอยู่ดีอย่างยืนยาวกำลังมาแรง ไม่ใช่แค่อายุยืนแต่คุณภาพชีวิตต้องดีด้วย เช่น การทำ IF (Intermittent Fasting), เลือกรับประทานอาหารที่ช่วยลดการอักเสบ (Anti-inflammatory Diet) หรือการเสริมวิตามินและแร่ธาตุจำเป็น เช่น แมกนีเซียม โอเมก้า 3 วิตามินดี
วิธีดูแลตัวเองแบบ Wellness
เริ่มต้นจากตรงไหนดี
สุขภาวะทางกาย (Physical Wellness)
-
ดื่มน้ำ 1 แก้วทันทีหลังตื่นนอน
-
เดินเพิ่มวันละ 1,000 ก้าว หรือ ตั้งเป้าเดินให้ได้วันละ 5,000-10,000 ก้าว
-
ลุกยืน/เดินทุก 60-90 นาทีระหว่างทำงาน
-
เข้านอนก่อน 4 ทุ่ม หรือปรับให้เร็วขึ้นวันละ 10 นาที
-
ลดเล่นมือถือก่อนนอนอย่างน้อย 10-15 นาที
สุขภาวะทางจิตใจ (Mental Wellness)
-
ทำกิจกรรมผ่อนคลายที่ไม่เกี่ยวกับมือถือวันละ 15 นาที (อ่านหนังสือ ปลูกต้นไม้ ทำอาหารเบา ๆ)
-
อ่านหนังสือให้จบอย่างน้อยเดือนละ 1 เล่ม
-
ฝึกสมาธิวันละ 5 นาที และเพิ่มเวลาตามความถนัด
-
ลองทำโจทย์ทดสอบสมองเล็ก ๆ หรือเรียนรู้อะไรใหม่ ๆ 5 นาทีต่อวัน
สุขภาวะอารมณ์ (Emotional Wellness)
-
จดบันทึกอารมณ์วันละ 5 นาที
-
หายใจลึก ๆ 3-5 รอบเมื่อเริ่มเครียด
-
ฟังเพลงช่วยผ่อนคลายหรือดนตรีบำบัด
-
เขียนบันทึกสั้น ๆ ว่า วันนี้ขอบคุณอะไร หรือภูมิใจอะไรในตัวเอง
-
พูดคุยกับคนที่ไว้ใจเมื่อต้องการระบาย
สุขภาวะทางสังคม (Social Wellness)
-
โทรหรือทักคนในครอบครัว/เพื่อนที่เราอยากใกล้ชิด
-
เข้ากลุ่มที่สนใจ เช่น กลุ่มหนังสือ กลุ่มออกกำลังกาย
-
เวลาคุยกับใคร ลองเก็บมือถือและตั้งใจฟังให้เต็มที่
-
เลือกติดตามเพจหรือคนที่ให้แรงบันดาลใจหรือพลังบวก
-
กล้า unfollow/mute บัญชีที่ทำให้รู้สึกกดดันหรือเปรียบเทียบตัวเอง
สุขภาวะทางจิตวิญญาณ (Spiritual Wellness)
-
ใช้เวลาอยู่กับธรรมชาติให้มากขึ้น เช่น เดินเล่นในสวน ถอดรองเท้าเดินบนพื้นหญ้า
-
ทำกิจกรรมที่ช่วยให้ใจสงบ เช่น นั่งสมาธิ สวดมนต์ หรือฝึกเจริญสติ
-
ใช้เวลาห่างจากโลกออนไลน์เพื่อทบทวนตัวเอง
-
ทำกิจกรรมที่มีความหมาย เช่น การอาสา หรือการช่วยเหลือผู้อื่นเล็ก ๆ น้อย ๆ
สุขภาวะทางสิ่งแวดล้อม (Environmental Wellness)
-
เปิดหน้าต่างให้อากาศถ่ายเททุกเช้า
-
จัดโต๊ะทำงานให้เป็นระเบียบ ลดสิ่งรกรุงรัง
-
ใช้ถุงผ้า ลดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว
-
แยกขยะ หรือคัดแยกขวด/กระดาษง่าย ๆ
-
วางต้นไม้เล็ก ๆ บนโต๊ะเพื่อเพิ่มความสดชื่น
สุขภาวะทางปัญญา (Intellectual Wellness)
-
อ่านบทความสั้น ๆ วันละ 5-10 นาที
-
ฟังพอดแคสต์ความรู้ขณะเดินหรือทำงานบ้าน
-
ลองทำงานอดิเรกใหม่ ๆ เช่น วาดรูป เล่นดนตรี ถ่ายภาพ
-
ฝึกคิดวิเคราะห์ข่าวหรือข้อมูลก่อนแชร์
-
ตั้งเป้าเรียนรู้ทักษะใหม่เดือนละ 1 เรื่อง
สุขภาวะทางการทำงาน (Occupational Wellness)
-
ตั้งเวลาพักสั้น ๆ ทุก 90 นาที
-
เคลียร์โต๊ะทำงานก่อนกลับบ้านให้สบายตา
-
ตั้งขอบเขตงาน เช่น ไม่ตอบงานนอกเวลา (ถ้าเป็นไปได้)
-
เขียนลิสต์สิ่งที่ต้องทำ 3 ข้อสำคัญสุดของวัน
-
หาเวลา Upskill/Reskill อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง
สุขภาวะทางการเงิน (Financial Wellness)
-
เริ่มทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายแบบง่าย ๆ
-
ตั้งงบประมาณค่าใช้จ่ายรายเดือน
-
เก็บเงินสำรองฉุกเฉินให้ถึงเป้าหมาย 1–3 เดือนก่อน
-
เคลียร์หนี้ก้อนเล็กก่อนเพื่อสร้างกำลังใจ
-
กันเงินออมเล็ก ๆ ทุกครั้งที่ได้เงิน (เช่น 5-10%)
นับจากนี้ Wellness จะกลายเป็นไลฟ์สไตล์พื้นฐานของคนยุคใหม่ ที่ต้องการมีคุณภาพชีวิตที่ดีในทุกมิติ เทรนด์ Wellness จึงไม่ใช่แค่แฟชั่น แต่เป็นวิถีชีวิตใหม่ที่ทุกคนควรใส่ใจ ลองเริ่มจากคำถามง่าย ๆ วันนี้ว่า "เราดูแลสุขภาพครบทุกมิติแล้วหรือยัง?" แล้วค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนไปทีละก้าว เท่านี้ก็สามารถสร้างชีวิตที่เต็มไปด้วยสมดุลและความสุขได้
บทความที่เกี่ยวข้องกับ Wellness และการดูแลสุขภาพ
- ไอเดียแต่งบ้านสไตล์ Wellness สุขกายสบายใจ ดีต่อสุขภาพ
- 10 ที่พัก Wellness Hotel ในไทย รีทรีตกายใจ พร้อมกิจกรรมดูแลสุขภาพแบบเต็มอิ่ม
- รู้จัก Cozy Care เทรนด์ดูแลตัวเองให้ผ่อนคลายแบบไม่ตามโลก ลดเครียด เพิ่มความสบายใจ
- Makeup Therapy แต่งหน้าลดเครียด ทำได้จริงเหรอ ? ต้องทำยังไงให้แต่งหน้าแล้วมีความสุข
- โซเชียลมีเดีย ดีท็อกซ์.. จิตตกเพราะสังคมออนไลน์ บำบัดได้ด้วยตัวเอง






