ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด อาการติดเชื้อที่ทำลายระบบภายในได้รวดเร็ว เกิดจากสาเหตุใดและจะรักษาหายไหม มารู้จักภาวะติดเชื้อในกระแสโลหิตกันเถอะ
อาการติดเชื้อในกระแสโลหิต เป็นภาวะความผิดปกติของร่างกายที่ส่งผลเฉียบพลัน และหากเชื้อนั้นมีความรุนแรง
อาการติดเชื้อในกระแสเลือดก็อาจคร่าชีวิตผู้ป่วยได้ในเวลาอันสั้น
เพราะเลือดคือองค์ประกอบหลักของร่างกายที่ไหลไปถึงอวัยวะทุกส่วน
ดังนั้นอวัยวะทุกส่วนจึงสามารถเกิดการติดเชื้อได้
ซึ่งภาวะติดเชื้อในกระแสโลหิตมีที่มาที่ไปอย่างไร
วันนี้เราจะมาไขข้อข้องใจกันค่ะ
ติดเชื้อในกระแสโลหิต เกิดจากอะไร
ภาวะติดเชื้อหรือ Septicemia คือ ภาวะที่ร่างกายตอบสนองต่อการติดเชื้อ ไม่ว่าจะเป็นการติดเชื้อจากส่วนใด ๆ ในร่างกายก็ตาม ซึ่งหากมีการอักเสบหรือติดเชื้ออย่างรุนแรง เชื้อนั้นอาจลุกลามเข้าสู่กระแสเลือด และทำให้เกิดภาวะช็อกจนเสียชีวิตได้ในเวลาสั้น ๆ
ติดเชื้อในกระแสโลหิต เกิดจากอะไร
ภาวะติดเชื้อหรือ Septicemia คือ ภาวะที่ร่างกายตอบสนองต่อการติดเชื้อ ไม่ว่าจะเป็นการติดเชื้อจากส่วนใด ๆ ในร่างกายก็ตาม ซึ่งหากมีการอักเสบหรือติดเชื้ออย่างรุนแรง เชื้อนั้นอาจลุกลามเข้าสู่กระแสเลือด และทำให้เกิดภาวะช็อกจนเสียชีวิตได้ในเวลาสั้น ๆ
สาเหตุของภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด ส่วนมากมักเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย และผู้ป่วยมักจะติดเชื้อแค่เพียงตัวเดียว รองมาคือเชื้อรา เชื้อไวรัส และเคสที่ติดเชื้อหลาย ๆ ชนิดก็พบได้เช่นกัน
ติดเชื้อในกระแสเลือด มีเชื้ออะไรบ้าง
อย่างที่บอกว่าส่วนใหญ่ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดจะเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย แต่เชื้อแบคทีเรียในโลกนี้ก็มีหลายชนิดด้วยกัน จึงเรียกได้ว่าภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดอาจเป็นการติดเชื้อชนิดที่แตกต่างกันไป ตามนี้เลย
* เชื้อแบคทีเรียแกรมลบ (Gram negative bacteria)
* เชื้อแบคทีเรียแกรมบวก (Gram positive bacteria)
* เชื้อแบคทีเรียชนิด Classic pathogens เช่น H.influenzae, Neisseria, meningitidis, Streptococcus pyogenes และ S.pneumoniae
* เชื้อรา
ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด ใครเสี่ยงบ้าง
แม้จะมียาปฏิชีวนะชนิดใหม่จำนวนมาก รวมทั้งวิวัฒนาการทางการแพทย์ก็ก้าวไกลพอสมควร ทว่าภาวะติดเชื้อในกระแสโลหิตยังเป็นสาเหตุที่ติดอันดับต้น ๆ ของอัตราการเสียชีวิตของประชากร โดยคนที่มีความเสี่ยงต่อภาวะนี้ ได้แก่
- เด็กเล็กหรือผู้สูงวัยที่ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายไม่แข็งแรง
- ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน โรคของเม็ดเลือดขาวบางชนิด โรคตับแข็ง โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง การติดเชื้อ HIV รวมทั้งผู้ที่รับยากดระบบภูมิคุ้มกันประเภทยาในกลุ่มสเตียรอยด์ หรือเคมีบำบัดสำหรับรักษาโรคมะเร็ง เป็นต้น ซึ่งโรคประจำตัวและยากดภูมิคุ้มกันเหล่านี้จะส่งผลให้ร่างกายอ่อนแอ ระบบภูมิต้านทานโรคไม่แข็งแรงพอจะต่อสู้กับเชื้อโรคที่ร่างกายรับเข้ามา จนอาจเกิดภาวะติดเชื้อหรือการอักเสบที่ลุกลามเข้าสู่กระแสเลือดเป็นลำดับต่อไป
- ผู้ป่วยที่ต้องใส่เครื่องมือแพทย์เข้าไปในร่างกาย เช่น การใส่ท่อช่วยหายใจ สายปัสสาวะ การใส่ท่อเข้าหลอดเลือดเพื่อให้สารน้ำต่าง ๆ หรือการมีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในร่างกาย เช่น ลิ้นหัวใจเทียม เป็นต้น
- ผู้ที่ใช้ยาปฏิชีวนะติดต่อกันนานเกินไป หรือรับยาปฏิชีวนะหลายตัวเกินความจำเป็น ซึ่งตัวยาอาจเข้าไปทำลายแบคทีเรียชนิดดีของร่างกาย ตัวที่จะช่วยกำจัดการเจริญเติบโตของเชื้อราบางชนิดที่อาจเป็นสาเหตุของภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดได้
- การติดเชื้อผ่านทางผิวหนัง เช่น ถูกไฟไหม้ เกิดแผลถลอกขนาดใหญ่ ที่อาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคได้ง่าย และเสี่ยงที่เชื้อจะเข้าสู่ร่างกายก็มากขึ้นด้วย
ติดเชื้อในกระแสโลหิต อาการเป็นยังไงกันนะ
อาการติดเชื้อในกระแสโลหิต สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 กลุ่ม คือ
- อาการแสดงทั่วไปของการติดเชื้อ
- มีไข้สูงกว่า 38 องศาเซลเซียส หรือมีอุณหภูมิร่างกายต่ำกว่า 36 องศาเซลเซียส หรือไม่มีไข้แต่ติดเชื้อรุนแรง
- หัวใจเต้นเร็วกว่า 90 ครั้งต่อนาที
- หายใจเร็วมากกว่า 20 ครั้งต่อนาที หรือวัดค่าความดันคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดได้มากกว่า 32 มิลลิเมตรปรอท
- ตรวจพบเม็ดเลือดขาวมากกว่า 12,000 ตัวต่อมิลลิลิตร หรือน้อยกว่า 4,000 ตัวต่อมิลลิลิตร ทว่าอาการนี้อาจพบในผู้ป่วยโรคตับอ่อนอักเสบ หรือกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดก็ได้
ทั้งนี้แพทย์ควรใส่ใจกับการวินิจฉัยโรคเป็นพิเศษ เนื่องจากอาการจะคล้าย ๆ อาการป่วยทั่วไป ดังนั้นจึงอาจต้องตรวจหาอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย
- อาการเฉพาะที่
ผู้ป่วยอาจมีอาการติดเชื้อที่ปอด มีไข้สูง ไอมีเสมหะเล็กน้อย น้ำหนักลด หรือหนักหน่อยอาจไอมีเสมหะปนเลือด หรือบางรายอาจมีอาการปวดท้อง ซึ่งแสดงถึงภาวะติดเชื้อในช่องท้อง ซึ่งอาจวินิจฉัยเป็นโรคปอดอักเสบได้ด้วย อาการปวดหลังรุนแรง แสดงถึงภาวะติดเชื้อที่กระดูกสันหลัง หรือหมอนรองกระดูกสันหลัง
อย่างไรก็ดี ในผู้ป่วยบางรายอาจไม่มีอาการแสดงชัดเจน เช่น ผู้ป่วยเบาหวาน อาจมีฝีในตับจากการติดเชื้อโดยไม่มีอาการปวดท้องเลยก็ได้
- รอยโรคที่ผิวหนัง
ส่วนใหญ่จะพบเป็นตุ่มหนอง เป็นผื่นแดง เป็นตุ่มตามผิวหนัง ซึ่งเกิดจากการกระจายเชื้อมาที่ผิวหนังโดยตรง ต้องนำไปย้อมสีแกรมจึงจะพบตัวเชื้อก่อโรค
- อาการที่เกิดจากความล้มเหลวของระบบอวัยวะต่าง ๆ
ความดันโลหิตตก ส่งผลให้อวัยวะต่าง ๆ รับเลือดและออกซิเจนไม่เพียงพอ ผู้ป่วยอาจมีอาการสับสน กระวนกระวาย หมดสติ มีปัสสาวะน้อยลงหรือไม่ปัสสาวะเลย เลือดและเนื้อเยื่อต่าง ๆ มีกรดแลคติกคั่ง หรือผู้ป่วยอาจหายใจหอบจากภาวะมีสารน้ำรั่วซึมในปอด หรือภาวะ DIC ที่ทำให้มีเลือดออกง่าย
ติดเชื้อในกระแสเลือดรุนแรงขนาดไหนถึงเรียกว่าอันตรายถึงชีวิต
จริง ๆ แล้วร่างกายเราเจอกับเชื้อโรคชนิดต่าง ๆ อยู่ทุกวัน แต่ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายของเราซึ่งมีทั้งเม็ดเลือดขาวที่จะหลั่งสารออกมากำจัดเชื้อโรค และเชื้อเจ้าถิ่น (Normal flora) ที่เป็นปราการป้องกันโรคด่านแรก ๆ คอยฆ่าเชื้อโรคแปลกปลอมที่เข้ามา ซึ่งหากร่างกายแข็งแรงมากพอ เจ้าเชื้อต่าง ๆ ก็ไม่มีสิทธิ์มาทำลายระบบภายในร่างกายได้
ทว่าเมื่อใดก็ตามที่ระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง ร่างกายตอบสนองต่อเชื้อโดยการหลั่งเม็ดเลือดขาวออกมามากเกินไป ซึ่งอาจก่อภาวะหลอดเลือดรั่ว หรือภาวะเกล็ดเลือดเกาะตัวจนขัดขวางการเดินของเลือดและออกซิเจน ภาวะนี้ผู้ป่วยอาจมีความดันโลหิตต่ำ และส่งผลกระทบให้การทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ล้มเหลว จุดนี้ก็ถือว่าเข้าขั้นวิกฤต ผู้ป่วยควรได้รับการวินิจฉัยชนิดของเชื้อและกำจัดตัวเชื้อออกจากร่างกายโดยเร็วที่สุด
หรือในกรณีเชื้อโรคที่เข้ามาเกิดดื้อยา (จากการใช้ยาปฏิชีวนะพร่ำเพรื่อหรือเลือกใช้ยาฆ่าเชื้อไม่ตรงกับเชื้อที่จะกำจัด) หรือเชื้อนั้นมีความรุนแรงจนเกินกำลังที่เม็ดเลือดขาวจะกำจัดได้ หรือวินิจฉัยและกำจัดเชื้อช้าไป เชื้ออาจไหลไปตามหลอดเลือดอย่างรวดเร็ว ก่อภาวะติดเชื้อหรือการอักเสบไปยังอวัยวะต่าง ๆ ซึ่งอาจทำให้ผู้ป่วยตกอยู่ในภาวะฉุกเฉินและอาจเสียชีวิตจากการทำงานในระบบต่าง ๆ ล้มเหลวในที่สุด
ติดเชื้อในกระแสโลหิต รักษาหายไหม
หากไม่ได้ติดเชื้อที่รุนแรงหรือเชื้อดื้อยา ภาวะดังกล่าวก็สามารถรักษาได้ โดยหลักการสำคัญในการรักษาภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด คือ การรักษาการติดเชื้อและการประคับประคองสภาพการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกายให้กลับเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็วที่สุด โดยวิธีรักษาอาการติดเชื้อในกระแสโลหิตมีดังนี้
- Source Control
การควบคุมหรือกำจัดเชื้อออกจากตำแหน่งที่มีการติดเชื้อด้วยการระบายหนองหรือผ่าตัด เป็นการกำจัดเชื้อออกไปเป็นจำนวนมาก และยังเป็นการกำจัดแหล่งของเชื้อโรค หรือการอุดตันของเชื้อที่เป็นสาเหตุของการติดเชื้อ โดยสามารถระบายหนองได้หลายวิธี ทั้งการผ่าตัด การใส่สายระบายโดยการใช้อัลตราซาวด์ หรือ computerized tomographic scanning ช่วยในการใส่สายระบาย ทำให้ลดความจำเป็นในการผ่าตัดลงไปได้มาก
ทว่าหากเป็นการติดเชื้อจากอวัยวะเทียมหรืออุปกรณ์ทางการแพทย์ที่อยู่ในร่างกาย ควรถอดอุปกรณ์เหล่านั้นออกจากตัวผู้ป่วยโดยด่วน
- การให้ยาปฏิชีวนะ
การรักษาภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดด้วยยาปฏิชีวนะควรคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้
* เลือกยาปฏิชีวนะที่ครอบคลุมเชื้อที่เป็นสาเหตุ
* โอกาสดื้อยาระหว่างการรักษา
* ยาในกลุ่ม aminoglycosides ควรให้วันละครั้ง
- ประคับประคองอาการ
การประคับประคองอาการไตวายด้วยการทำ dialysis การดูแลรักษาภาวะเลือดออกผิดปกติ การป้องกันเลือดออกจากทางเดินอาหาร ตลอดจนการดูแลภาวะโภชนาการด้วย
นอกจากนี้ควรควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ไม่สูงเกิน 110 มก./ดล. และควรตรวจหาคอร์ติซอลในเลือดด้วย
วิธีป้องกันตัวเองจากภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด ควรดูแลตัวเองอย่างไรดี
ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะผู้ที่มีภูมิต้านทานต่ำ และอย่างที่บอกว่าในชีวิตประจำวันเราก็ต้องเจอกับเชื้อโรคและแบคทีเรียอยู่แล้ว ดังนั้นเราจึงควรเสริมภูมิคุ้มกันให้กับเม็ดเลือดขาว และเพิ่มขีดความสามารถให้กับระบบภูมิต้านทานในร่างกายด้วยการดูแลตัวเองดังนี้
- หมั่นออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง
- รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่
- พักผ่อนให้เพียงพอ
- ฉีดวัคซีนป้องกันโรคที่สามารถลดความเสี่ยงด้วยการฉีดวัคซีนคุ้มกันได้
- หมั่นสังเกตสุขภาพร่างกายของตัวเองอยู่เสมอ เมื่อเกิดความผิดปกติควรรีบพบแพทย์ทันที
ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดรักษาให้หายได้ เพียงแต่ผู้ป่วยควรได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที รวมทั้งแพทย์เองก็ควรวินิจฉัยอาการและชนิดของเชื้อที่ผู้ป่วยติดให้ถูกต้องด้วย
ขอบคุณข้อมูลจาก
หมอชาวบ้าน
สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข