x close

พลุระเบิด – หูอื้อ หูดับ เสียงดังแค่ไหนเรียกว่าดัง


หนวกหู


พลุระเบิด – หูอื้อ หูดับ เสียงดังแค่ไหนเรียกว่าดัง (ไทยโพสต์)

          จากอุบัติเหตุพลุระเบิดในคืนงานฉลองเทศกาลตรุษจีนที่จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นเหตุให้มีผู้บาดเจ็บสาหัสจำนวนหนึ่ง และมีผู้ที่หูดับจากเสียงดังของพลุที่ระเบิด

          ศูนย์วิจัยสุขภาพกรุงเทพ เครือโรงพยาบาลกรุงเทพ จึงได้เผยแพร่ข้อเขียนเกี่ยวกับ "พลุระเบิด – หูอื้อ หูดับ เสียงดังแค่ไหนเรียกว่าดัง" เพื่อเตือนและให้ทุกคนได้ป้องกันไว้ล่วงหน้า ว่า เสียงที่ดังมากไม่ว่าจะเป็นเสียงจากพลุ ประทัด ปืน เสียงปิดประตูแรง ๆ เสียงที่ดังเกินไปในสถานท่องเที่ยวยามราตรี ในโรงภาพยนตร์ หรือแม้เสียงที่ตะโกนใส่หู ล้วนแล้วแต่ทำให้เกิดแรงอัดอากาศกระแทกเยื่อแก้วหูได้ทั้งสิ้น

          ทางการแพทย์เรียกการบาดเจ็บจากเสียงดังนี้ว่า noise trauma และเมื่อต้นเดือนเดียวกันนี้ก็เพิ่งมีข่าวครึกโครม กรณีที่เจ้าหน้าที่ที่สนามบินสุวรรณภูมิได้รับบาดเจ็บจากการถูกตบบ้องหูสองข้าง ทำให้หูอื้อและแก้วหูอักเสบ กรณีหลังแตกต่างจากกรณีพลุระเบิดตรงที่ไม่ได้เกิดจากเสียงดังกระแทกแก้วหู แต่เกิดจากแรงอัดอากาศกระแทกแก้วหูอย่างรวดเร็วและรุนแรง ซึ่งจะเรียกการบาดเจ็บจากแรงอัดอากาศนี้ว่า barotraumas (บา-โร-ทรอ-มา) คำว่า "baro" หมายถึง ความดัน ส่วนคำว่า "trauma" ก็คือการบาดเจ็บ

เสียงดังแค่ไหนเรียกว่าดังมาก และควรหลีกเลี่ยง

          ..หูคนเราไม่ควรรับเสียงดังเกิน 85 เดซิเบล (เสียง 85 เดซิเบล คือเสียงที่ดังจนพูดกันไม่รู้เรื่องในระยะห่าง 1 เมตร) ถ้าท่านทำงานในโรงงานที่เสียงดัง 85 เดซิเบล ท่านไม่ควรทำงานเกิน 8 ชั่วโมง และควรหยุดพักอยู่ในที่เงียบทุก ๆ 5 วันทำงาน และควรใช้เครื่องป้องกันเสียง

          เสียงดังเกิน 90 เดซิเบล ควรหลีกเลี่ยงเป็นอย่างยิ่ง หรือไม่ควรสัมผัสเลย ส่วนเสียงระเบิด เสียงปืน เสียงในสถานบันเทิงเริงรมย์ เสียงเครื่องบินขณะเครื่องออก ดังได้ถึง 120 เดซิเบล หรือมากกว่านั้น คนเราไม่ควรสัมผัสเสียงดัง 120 เดซิเบลโดยเด็ดขาด

          วิธีสังเกตง่าย ๆ ว่าเราฟังเสียงดังเกินไปแล้ว นั่นคือ หูอื้อ หรือหูมีเสียงดังรบกวนหลังรับเสียง แม้อาจเป็นเพียงชั่วคราว ใจเต้นแรงขณะรับเสียง ในระยะ 1 เมตร คุยกันด้วยเสียงดังก็ยังฟังไม่รู้เรื่อง เริ่มมีประสาทหูเสื่อม ต้องพูดหรือฟังเสียงดังมากกว่าเดิมจึงได้ยิน อารมณ์แปรปรวน ถ้าเป็นเด็กอาจมีพฤติกรรมก้าวร้าว

          ส่วนอาการที่ทำให้สงสัยว่าแก้วหูทะลุจากแรงอัดอากาศ หรือได้ยินเสียงระเบิด หรือประทัดนั้น ให้สังเกตดังต่อไปนี้

          1.หูอื้อและปวดในหู โดยทันทีที่ได้รับแรงกระแทกหรือเสียงดังมาก อาจรู้สึกว่าหูชาไปเลย ก่อนจะรู้สึกปวดหรืออื้อ และเวลาผ่านไป 1 ชม.ก็ยังไม่หายอื้อ ควรรีบไปพบแพทย์

          2.หูอาจมีเสียงดังวิ้ง หรือวี้ และได้ยินไม่ชัด ไม่ยอมหายใน 2-3 ชม. หรือมีอาการเวียนศีรษะบ้านหมุน มึนงง แสดงว่าแรงกระเทือนไปถึงหูชั้นใน อาจมีเยื่อของหูชั้นในฉีกขาดด้วย ต้องรักษาด่วน

          3.บางรายอาจ "มีเลือดออกมาจากช่องหู" บางรายรู้สึกว่า "หูดับ" ไปทันที ควรพบแพทย์ด่วน อาจมีเลือดออกในหูชั้นในก็ได้ อาจทำให้หูตึงถาวรได้

          4.สำหรับกรณีที่ถูกตบบ้องหู หรือ กกหูอย่างรุนแรง นอกจากจะทำให้ใบหูและเยื่อแก้วหูฉีกขาดแล้ว ถ้าแรงตบหรือแรงกระแทกมากพอ อาจทำให้สะเทือนถึงกะโหลกศีรษะทำให้กะโหลกร้าว หรือสะเทือนถึงสมองทำให้เกิดอาการ "มึนงง", "เวียนศีรษะบ้านหมุน", "เดินเซ", "ซึมลง ตอบสนองช้า" หรือถึงขึ้น "หมดสติ" ได้ จากเลือดตกในสมอง


เสียงดัง


          เมื่อมีอาการดังกล่าวไม่ว่าจะมากหรือน้อย ควรพบแพทย์เพื่อรับการตรวจให้แน่ชัดว่าเยื่อแก้วหูผิดปกติหรือไม่ จะได้รีบรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ ถ้าได้รับการกระทบกระเทือนจนคิดว่าแก้วหูทะลุ หูอื้อปวด ควรรีบไปพบแพทย์หู ไม่ควรไปซื้อยาหยอดหูมาหยอด เพราะจะทำให้แผลทะลุเปียกชื้นและปิดได้ยาก ถ้าเป็นมากแพทย์อาจตรวจการได้ยินเพื่อให้รู้ว่ากระทบกระเทือนถึงกระดูกในหูชั้นกลาง หรือประสาทรับเสียงหรือไม่ แพทย์อาจให้ยากิน แต่ไม่ใช่ยาหยอด

          ที่สำคัญคือ การป้องกันไม่ให้แก้วหูบาดเจ็บจากเสียงดัง โดยหลีกเลี่ยงไม่ไปอยู่ในบริเวณที่มีเสียงดังนานจนเกินไป หรือใช้นิ้วมืออุดหู หรือใช้อุปกรณ์ป้องกันเสียงส่วนบุคคล เช่น สำลีอุดหู แท่งอุดหู (ear plug) ที่ครอบหูป้องกันเสียง (ear muff)

          กรณีบ้านพักที่เพื่อนบ้านข้างเคียงเป็นสาเหตุของเสียงที่ดังเกินไป ก็ควรขอร้องหรือขอความร่วมมือให้เพื่อนบ้านหรี่เสียงให้อยู่ในระดับที่ไม่ทำให้เกิดอันตรายต่อการได้ยิน และเกิดเหตุรำคาญเกินสมควร หรือแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ทำการควบคุม และจัดการให้แหล่งกำเนิดเสียงต่าง ๆ มีระดับเสียงเบาลงจนถึงระดับที่เราสามารถอาศัยอยู่ได้ โดยไม่ได้รับอันตรายและรำคาญ


          "หูและการได้ยินเป็นสิ่งมีค่า" เป็นอวัยวะละเอียดอ่อนที่ธรรมชาติให้มาเพื่อการมีคุณภาพชีวิตที่ดี สามารถได้ยินเสียงกระซิบบอกรักเบา ๆ หรือฟังเสียงนกเล็ก ๆ ร้องจิ๊บ ๆ ได้ ไม่ใช่แค่เพียงได้ยินเสียงตะโกนดัง ๆ ก็พอใจแล้ว

คำแนะนำจากองค์การอนามัยโลก เรื่องเสียงดังและเวลาสัมผัสเสียงที่เหมาะสม เพื่อการได้ยินที่ดี


เสียงที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ    
ความดัง (เดซิเบล)
เวลา (ชั่วโมง)
 เสียงนอกบ้าน เดือดร้อนรำคาญ
 50-55  16
 เสียงในบ้านเพื่อการได้ยินที่ดี 
 35  16
 เสียงในห้องนอนไม่ให้รบกวนการหลับ  30  8
 เสียงในห้องเรียน
 35   เวลาเรียน
 เสียงในโรงงาน-การจราจร
 70  24
 เสียงดนตรีผ่านหูฟัง หูจะเสีย  85  8
 เสียงในพิธีการ งานวัด สถานบันเทิง 
 100  4
 MP3 
 105  1



  เคล็ดลับสุขภาพ สุขภาพใกล้ตัว โรคและการป้องกัน คลิกเลย 

คลิกอ่านความคิดเห็นของเพื่อนๆ ได้ที่นี่ค่ะ



ขอขอบคุณข้อมูลจาก





เรื่องที่คุณอาจสนใจ
พลุระเบิด – หูอื้อ หูดับ เสียงดังแค่ไหนเรียกว่าดัง อัปเดตล่าสุด 3 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา 11:54:43 19,817 อ่าน
TOP