x close

14 มิถุนายน วันผู้บริจาคโลหิตโลก...ขอบคุณผู้ต่อชีวิตให้เพื่อนมนุษย์

          World Blood Donor Day หรือวันผู้บริจาคโลหิตโลก ตรงกับวันที่ 14 มิถุนายน ของทุกปี ร่วมตระหนักถึงความสำคัญของการบริจาคโลหิต

บริจาคเลือด

          การให้ หรือการบริจาค ไม่ว่าจะเป็นวัตถุหรือสิ่งใดก็ตาม ล้วนแต่ได้บุญกุศลและความสุขใจจากการได้เป็นผู้ให้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การบริจาคโลหิต นับได้ว่าเป็นบุญกุศลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่ง เพราะโลหิตเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับชีวิตของมนุษย์และสัตว์โลกทั่ว ๆ ไป ดังนั้น การบริจาคโลหิตเป็นสิ่งที่มีส่วนในการช่วยเหลือชีวิตผู้อื่นให้อยู่รอดปลอดภัย และเพื่อให้ผู้คนเห็นความสำคัญของการบริจาคโลหิต จึงมีการกำหนดให้มีวันผู้บริจาคโลหิตโลก ซึ่งตรงกับวันที่ 14 มิถุนายน และวันนี้กระปุกดอทคอมก็มีเกร็ดความรู้เกี่ยวกับเรื่องราว วันผู้บริจาคโลหิตโลก มาฝากกัน

ประวัติความเป็นมาของวันผู้บริจาคโลหิตโลก

          วันผู้บริจาคโลหิตโลก (World Blood Donor Day) ตรงกับวันที่ 14 มิถุนายน ของทุกปี เป็นวันคล้ายวันเกิดของ ดร.คาร์ล ลันด์สไตเนอร์ (Karl Landsteiner) แพทย์ชาวออสเตรีย-อเมริกัน ที่มีชีวิตอยู่ในช่วงปี ค.ศ. 1868-1943 ในจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี

บริจาคเลือด
ภาพจาก nobelprize.org

          ท่านเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จในการจำแนกหมู่โลหิต A, B และ O ซึ่งถือว่าเป็นการค้นพบที่มีความสำคัญยิ่งต่องานบริการโลหิตทั่วโลก จนได้รับรางวัลโนเบล สาขาสรีรวิทยา หรือแพทยศาสตร์ ในปี ค.ศ. 1930 อีกทั้งยังพบว่าการถ่ายเลือดให้กับผู้ที่มีหมู่เลือดเดียวกันไม่ทำให้เซลล์เม็ดเลือดถูกทำลาย การค้นพบเหล่านี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดการต่อยอดในวงการแพทย์มาจนถึงทุกวันนี้ ขณะเดียวกันก็ยังสามารถช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ได้อีกเป็นจำนวนมาก

          ดังนั้นเพื่อให้ชาวโลกตระหนักและเห็นความสำคัญของการบริจาคโลหิต พร้อมกับเพื่อแสดงความขอบคุณต่อผู้บริจาคโลหิต องค์การอนามัยโลก สหพันธ์สภากาชาด และสภาเสี้ยววงเดือนแดงระหว่างประเทศ จึงได้ขอความร่วมมือให้สภากาชาดทั่วโลก จัดกิจกรรมเพื่อเป็นการขอบคุณผู้บริจาคโลหิตทั่วโลก และส่งเสริมงานบริการโลหิตให้เป็นที่แพร่หลายในวันผู้บริจาคโลหิตโลก 14 มิถุนายน ของทุกปี โดยเริ่มครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 2004 และจัดกิจกรรมเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน

บริจาคเลือด

คำขวัญและธีมรณรงค์วันผู้บริจาคโลหิตโลกในแต่ละปี

          ในแต่ละปี องค์การอนามัยโลกจะกำหนดแคมเปญหรือคำขวัญเพื่อให้กาชาดทั่วโลกได้ใช้ในการรณรงค์ให้ผู้คนร่วมบริจาคโลหิตเนื่องในวันผู้บริจาคโลหิตโลกในแต่ละปี โดยเริ่มกำหนดแคมเปญมาตั้งแต่ปี 2012 คือ

ปี 2012

          "Every blood donor is a hero." หรือภาษาไทยว่า "ทุกคนเป็นฮีโร่ได้ด้วยการบริจาคโลหิต" เพื่อยกย่องเชิดชูผู้บริจาคโลหิตทุกคนทั่วโลก ที่ทำหน้าที่เสมือนเป็นฮีโร่แบบไม่แสดงตัว ช่วยชีวิตผู้อื่นด้วยโลหิตของตนเอง

ปี 2013

          "Give the gift of life. : มอบโลหิต เป็นของขวัญต่อชีวิตเพื่อนมนุษย์"

ปี 2014

          "Safe blood for saving mothers. : บริจาคโลหิต พลิกวิกฤต ช่วยชีวิตแม่และลูก" เพื่อสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของการบริจาคโลหิตอย่างเพียงพอและปลอดภัย เพื่อช่วยชีวิตแม่ที่อาจเสียชีวิตจากการคลอดบุตร

ปี 2015

          "Thank you for saving my life."

ปี 2016

          "Blood connects us all. : โลหิต...เชื่อมโยงเราไว้ด้วยกัน"

ปี 2017

          "What can you do ? Give blood. Give now. Give often. : ให้โลหิต ให้ประจำทุก 3 เดือน ... คุณทำได้ !"

ปี 2018

          "Be there for someone else. Give blood. Share life : ทุกชีวิตมีความหมาย ให้โลหิต ให้ชีวิต"

ปี 2019

          "Safe blood for all : โลหิตปลอดภัย ทั้งผู้ให้และผู้รับ"

ปี 2020

          "Give blood and make the world a healthier place : ให้เลือด สุขภาพดี โลกน่าอยู่"

ปี 2021

          "Give blood and Keep the World Beating - ให้โลหิต ช่วยโลก พ้นวิกฤต"

ปี 2022

          "Donating blood is an act of solidarity. Join the effort and save lives - สามัคคี คือพลัง ให้ชีวิตเพื่อนมนุษย์ ด้วยการบริจาคโลหิต"

กิจกรรมในวันผู้บริจาคโลหิตโลก

          ทุกปี องค์การอนามัยโลก และกาชาดทั่วโลก จะจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองเพื่อขอบคุณผู้บริจาคโลหิต พร้อมกับประชาสัมพันธ์ให้ทุกคนเห็นความสำคัญของการบริจาคโลหิต เพื่อเตรียมพร้อมไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน

          เช่นเดียวกับที่ประเทศไทย สภากาชาดไทยได้รณรงค์ให้ประชาชนมาร่วมบริจาคเลือดอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มีปริมาณโลหิตสำรองเพียงพอสำหรับผู้ป่วยในโรงพยาบาลทั่วประเทศ ทั้งในภาวะปกติและภาวะวิกฤต เพราะปัจจุบันประชาชนยังมาบริจาคโลหิตอย่างไม่สม่ำเสมอ การจัดกิจกรรมวันผู้บริจาคโลหิตจึงเป็นกุญแจสำคัญในการกระตุ้นเตือนให้ประชาชนมาร่วมกันบริจาคโลหิตเป็นประจำทุก 3 เดือน เนื่องจากโลหิตที่มาบริจาคนั้นไม่สามารถเก็บไว้ได้นาน ดังนั้นการที่มีผู้หมุนเวียนมาบริจาคอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นเรื่องสำคัญ 

บริจาคเลือด

ข้อดีของการบริจาคเลือด

          ทราบหรือไม่ว่า การบริจาคโลหิตนอกจากจะได้บุญจากการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันแล้ว ยังมีผลดีสำหรับร่างกายของเราเองอีกมากมายด้วยนะ...

          โดยการบริจาคโลหิตจะช่วยกระตุ้นให้ไขกระดูกทำงานดีขึ้น และร่างกายได้ผลิตเม็ดโลหิตใหม่ ซึ่งมีความแข็งแรงและทำงานได้มีประสิทธิภาพกว่า เช่น ลำเลียงออกซิเจนได้เต็มที่ มีเม็ดโลหิตขาวที่ทำลายสิ่งแปลกปลอมได้ดีขึ้น ขณะที่เกล็ดโลหิตก็จะช่วยซ่อมแซมรอยฉีกขาดในร่างกายอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

          นอกจากนี้ การบริจาคโลหิตยังเป็นการลดความเสี่ยงในการเกิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน โดยผลการวิจัยจากฟินแลนด์ ระบุว่า โรคนี้มีความสัมพันธ์กับปริมาณธาตุเหล็กที่สะสมในร่างกาย เนื่องจากธาตุเหล็กจะส่งผลให้ไขมันทำปฏิกิริยากับออกซิเจน จนหลอดเลือดตีบและมีอาการกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน การบริจาคโลหิตจึงช่วยลดการสะสมธาตุเหล็ก ซึ่งเท่ากับลดความเสี่ยงโรคหัวใจลงด้วย ดังนั้นในฟินแลนด์ การบริจาคโลหิตช่วยลดความเสี่ยงโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันในเพศชายได้ถึงร้อยละ 88 เลยทีเดียว

          ทั้งนี้ คนที่สามารถบริจาคโลหิตได้ต้องมีคุณสมบัติอย่างไร และต้องเตรียมตัวอย่างไร ลองมาดูข้อมูลจากสภากาชาดไทย

บริจาคเลือด
ภาพจาก netsuthep / Shutterstock.com

คุณสมบัติของผู้ที่สามารถบริจาคโลหิตได้

          1. อายุระหว่าง 17 ปี ถึง 70 ปีบริบูรณ์ ผู้ที่มีอายุ 17 ปี ไม่ถึง 18 ปี ต้องมีหนังสือยินยอมจากผู้ปกครอง 

          2. ผู้บริจาคโลหิตเป็นครั้งแรก ถ้าอายุเกิน 55-60 ปี ให้อยู่ในดุลพินิจของแพทย์และพยาบาล 

          3. ผู้บริจาคโลหิตอายุมากกว่า 60-70 ปี แบ่งเกณฑ์การคัดเลือกตามอายุ 2 ช่วง ดังนี้  

              3.1 การคัดเลือกผู้บริจาคโลหิตอายุมากกว่า 60 ปี จนถึง 65 ปี

                    1) เป็นผู้บริจาคโลหิตประจำมาโดยตลอดจนกระทั่งอายุ 60 ปี

                    2)  บริจาคโลหิตได้ไม่เกินปีละ 3 ครั้ง คือ ทุก 4 เดือน

                    3) ตรวจ Complete Blood Count (CBC), Serum Ferritin (SF) ปีละ 1 ครั้ง เพื่อประกอบการให้คำปรึกษาด้านสุขภาพทั่วไป และสำหรับแพทย์ใช้ผลการตรวจ SF ในการติดตามและปรับการให้ธาตุเหล็กทดแทน

               3.2 ผู้บริจาคโลหิตอายุมากกว่า 65 ปี จนถึง 70 ปี 

                     1) เป็นผู้บริจาคโลหิตต่อเนื่องสม่ำเสมอในช่วงอายุมากกว่า 60 ปี จนถึง 65 ปี

                     2) บริจาคโลหิตได้ไม่เกินปีละ 2 ครั้ง คือ ทุก 6 เดือน

                     3) ต้องได้รับการตรวจคัดกรองสุขภาพโดยแพทย์หรือพยาบาลของธนาคารเลือดหรือหน่วยงานรับบริจาคโลหิต ซึ่งมีหน้าที่ในการตรวจคัดกรองสุขภาพผู้บริจาคโลหิต

                     4) ตรวจ CBC และ SF ปีละ 1 ครั้ง

          4.  นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอในเวลาปกติของตนเอง ในคืนก่อนวันที่มาบริจาคโลหิต

          5. ไม่มีอาการท้องเสีย ท้องร่วง ใน 7 วันที่ผ่านมา 

          6. ไม่อยู่ในช่วงน้ำหนักลดอย่างรวดเร็วในระยะ 3 เดือนที่ผ่านมา โดยไม่ทราบสาเหตุ 

          7. สตรีไม่อยู่ในระหว่างตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร และไม่มีการคลอดบุตรหรือแท้งบุตรภายใน 6 เดือนที่ผ่านมา

          8. น้ำหนักต้องไม่ลดผิดปกติในระยะ 3 เดือนที่ผ่านมา โดยไม่ทราบสาเหตุ

          9. หากรับประทานยาแอสไพริน, ยาคลายกล้ามเนื้อหรือยาแก้ปวดอื่น ๆ ต้องหยุดยามาแล้ว 3 วัน ถ้าเป็นยาแก้อักเสบหรือยาอื่น ๆ ต้องหยุดยามาแล้ว 7 วัน

          10. ไม่เป็นโรคหอบหืด, ผิวหนังเรื้อรัง, วัณโรค หรือภูมิแพ้อื่น ๆ

          11. ไม่เป็นโรคความดันโลหิตสูง, เบาหวาน, หัวใจ, ตับ, ไต, มะเร็ง, ไทรอยด์, โลหิตออกง่าย-หยุดยาก หรือโรคประจำตัวอื่น ๆ

          12. หากถอนฟัน อุดฟัน ขูดหินปูน หรือรักษารากฟัน ต้องทิ้งระยะอย่างน้อย 3 วัน

          13. หากเคยได้รับการผ่าตัดใหญ่ ต้องเกิน 6 เดือน, ผ่าตัดเล็ก ต้องเกิน 1 เดือน

          14. ท่านหรือคู่ครองของท่านต้องไม่มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศสัมพันธ์ 

          15. ต้องไม่มีประวัติยาเสพติด หรือเพิ่งพ้นโทษ ต้องเกิน 3 ปี และมีสุขภาพดี

          16. หากเจาะหู, สัก, ลบรอยสัก หรือฝังเข็มในการรักษา ต้องเกิน 1 ปี

          17. หากมีประวัติเจ็บป่วยและได้รับโลหิตของผู้อื่น ต้องเกิน 1 ปี

          18. หากมีประวัติเป็นมาลาเรีย ถ้าเคยเป็น ต้องหายมาแล้วเกิน 3 ปี หากเคยเข้าไปในพื้นที่ที่มีเชื้อมาลาเรียชุกชุม ต้องทิ้งระยะอย่างน้อยเกิน 1 ปี จึงบริจาคโลหิตได้

          19. ต้องไม่ได้รับวัคซีนในระยะ 14 วัน หรือเซรุ่มในระยะ 1 ปีที่ผ่านมา

          20. ต้องมีน้ำหนัก 45 กิโลกรัมขึ้นไป

บริจาคเลือด

การเตรียมตัวก่อนมาบริจาคโลหิต

          1. ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อย 6 ชั่วโมง (นอนก่อนเที่ยงคืน) ในคืนก่อนวันที่จะมาบริจาคโลหิต

          2. ควรมีสุขภาพสมบูรณ์ทุกประการ ไม่เป็นไข้หวัด หรืออยู่ระหว่างรับประทานยาแก้อักเสบใด ๆ

          3. รับประทานอาหารมื้อหลักก่อนมาบริจาคโลหิต หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง เช่น ข้าวขาหมู ข้าวมันไก่ อาหารที่ประกอบด้วยกะทิ แกงต่าง ๆ ของทอด ของหวาน ฯลฯ เนื่องจากจะทำให้สีพลาสมาผิดปกติ เป็นสีขาวขุ่น ไม่สามารถนำไปใช้ได้

          4. ดื่มน้ำ 3-4 แก้ว และเครื่องดื่มเหลวเพิ่ม เช่น น้ำผลไม้ นม น้ำหวาน เพื่อเพิ่มปริมาณโลหิตในร่างกาย จะช่วยป้องกันอาการแทรกซ้อน เช่น มึนงง อ่อนเพลีย หรือวิงเวียนศีรษะ ภายหลังบริจาคโลหิต

          5. งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ก่อนมาบริจาคโลหิต 24 ชั่วโมง
 
          6. งดสูบบุหรี่ก่อนและหลังบริจาคโลหิต 1 ชั่วโมง เพื่อให้ปอดฟอกโลหิตได้ดี

          7. ควรเลือกสวมใส่เสื้อผ้าที่แขนเสื้อไม่คับเกินไป สามารถดึงขึ้นเหนือข้อศอกได้อย่างน้อย 3 นิ้ว

บริจาคเลือด

สิ่งที่ควรทราบ ขณะบริจาคโลหิต

          - เลือกแขนข้างที่เส้นโลหิตดำใหญ่ชัดเจน ที่สามารถให้โลหิตไหลลงถุงได้ดี

          - ผิวหนังบริเวณที่จะให้เจาะไม่มีผื่นคันหรือรอยเขียวช้ำ

          - ถ้าแพ้ยาทาฆ่าเชื้อ เช่น แอลกอฮอล์ ให้แจ้งเจ้าหน้าที่ทราบล่วงหน้า

          - ทำตัวตามสบาย อย่ากลัว หรือวิตกกังวล

          - ไม่ควรเคี้ยวหมากฝรั่ง หรืออมลูกอม ขณะบริจาคโลหิต

          - ขณะบริจาคควรบีบลูกยางอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้โลหิตไหลได้สะดวก

          - หากมีอาการผิดปกติ เช่น ใจสั่น วิงเวียน มีอาการคล้ายจะเป็นลม อาการชา อาการเจ็บที่ผิดปกติ ต้องรีบแจ้งให้พยาบาลหรือเจ้าหน้าที่ในบริเวณนั้นทราบทันที

          - หลังบริจาคโลหิตเสร็จเรียบร้อย ห้ามลุกทันที ให้นอนพักสักครู่จนกระทั่งรู้สึกสบายดี จึงลุกไปดื่มน้ำและรับประทานอาหารว่างที่จัดไว้รับรอง

          - ถ้ามีอาการเวียนศีรษะคล้ายจะเป็นลม หรือรู้สึกผิดปกติ ให้รีบนั่งก้มศีรษะต่ำระหว่างเข่า หรือนอนราบยกเท้าสูง จนกระทั่งมีอาการปกติจึงลุกขึ้นและเดินทางกลับ ป้องกันอุบัติเหตุจากการล้ม

ข้อปฏิบัติหลังการบริจาคโลหิต

          - ดื่มน้ำมากกว่าปกติ เป็นเวลา 1-2 วัน

          - งดใช้กำลังแขนข้างที่เจาะ รวมถึงการหิ้วของหนัก ๆ เป็นเวลา 24 ชั่วโมง ภายหลังการบริจาคโลหิต เพื่อป้องกันอาการบวมช้ำ

          - งดกิจกรรมที่ใช้กำลังและเสียเหงื่อที่ทำให้อ่อนเพลีย

          - หลีกเลี่ยงการทำซาวน่าหรือออกกำลังกายที่ต้องเสียเหงื่อมาก ๆ

          - ถ้ามีโลหิตซึมออกมาจากรอยผ้าปิดแผล อย่าตกใจ ให้ใช้นิ้วมืออีกด้านหนึ่งกดลงบนผ้าก๊อซ กดให้แน่นและยกแขนสูงไว้ประมาณ 3-5 นาที หากยังไม่หยุดซึมให้กลับมายังสถานที่บริจาคโลหิต เพื่อพบแพทย์หรือพยาบาล

          - รับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง และยาธาตุเหล็กที่ได้รับวันละอย่างน้อย 1 เม็ด จนหมด เพื่อป้องกันการขาดธาตุเหล็ก

          - การบริจาคโลหิตครั้งต่อไปเว้นระยะ 3 เดือน ยกเว้นการบริจาคพลาสมาหรือเกล็ดโลหิต


บริจาคเลือด
ภาพจาก Twinsterphoto / Shutterstock.com

บริจาคโลหิตได้ที่ไหนบ้าง

          - ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ถนนอังรีดูนังต์ โทร. 0-2263-9600-99
          - หน่วยเคลื่อนที่รับบริจาคโลหิตตามพื้นที่ต่าง ๆ ตรวจสอบได้ที่ ปฏิทินเวลารับบริจาคโลหิต สภากาชาดไทย 
          - สาขาบริการโลหิต โรงพยาบาลประจำจังหวัดทั่วประเทศ
 
ขอบคุณข้อมูลจาก
ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ 
สภากาชาดไทย
องค์การอนามัยโลก

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
14 มิถุนายน วันผู้บริจาคโลหิตโลก...ขอบคุณผู้ต่อชีวิตให้เพื่อนมนุษย์ อัปเดตล่าสุด 13 มิถุนายน 2565 เวลา 23:13:13 14,710 อ่าน
TOP