x close

อกหักรักคุดไม่ได้เจ็บแค่ใจ ร่างกายก็ป่วยได้นะเออ !

          เคยสังเกตกันไหมคะว่าในตอนที่ความสัมพันธ์กับคนรักดำเนินไปอย่างราบรื่น หวานแหววกระดี๊กระด๊ากันดี เราจะมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงกระปรี้กระเปร่า แต่ถ้าเกิดปัญหาในความสัมพันธ์ หรือถึงขั้นแตกหักต้องเลิกราขึ้นมาละก็ จิตใจจะห่อเหี่ยว อารมณ์ก็เซื่องซึม จนพาให้ร่างกายอ่อนแอลงไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้
อกหัก
 
          และหลายคนอาจจะคิดไม่ถึงว่า แค่อารมณ์เศร้าจากการอกหัก จะสามารถทำให้ร่างกายเราได้รับผลกระทบถึง 12 อาการผิดปกติกันเลยทีเดียว โดยเรื่องนี้ได้รับการยืนยันจากนักจิตวิทยาจากสถาบัน Spontaneous Optimism ที่เขียนไว้ในเว็บไซต์ Health ตามนี้เลยค่ะ

น้ำหนักขึ้น

1. น้ำหนักเพิ่มขึ้น

          ในอดีตได้มีผลสำรวจออกมาเผยว่า คนที่อกหัก หรือเพิ่งเลิกรากับแฟนจะกินไม่ได้นอนไม่หลับ ทำให้ร่างกายทรุดโทรม และน้ำหนักลดลงเรื่อย ๆ แต่ล่าสุดนักจิตวิทยาได้ค้นพบความจริงใหม่ที่ว่า คู่รักที่รักกันดี จะพากันดูแลสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ เพราะมีสุขภาพจิตที่ดี และมีความกระตือรือร้นในการดำเนินชีวิตมากกว่าคนที่อกหัก ทำให้อยากออกไปทำกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกันมากมาย

          แต่คนที่ซึมเศร้าเพราะเลิกกับแฟน จะเลือกจมตัวเองอยู่กับความโศกตรม ไม่มีอารมณ์จะทำอะไร กินไม่ได้ก็จริง แต่ก็นอนไม่หลับด้วย และการนอนไม่หลับนี่ล่ะค่ะ ที่เป็นต้นเหตุทำให้ร่างกายมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น เนื่องจากระบบเมตาบอลิซึมในร่างกายปรวนแปร บวกกับยิ่งเศร้าก็ยิ่งเครียด จนร่างกายจะยิ่งโหยหาของหวาน ๆ มากินมากขึ้นด้วย

ปวดหัว

 2. โรคเครียด

          คู่รักที่มีความสัมพันธ์แบบลุ่ม ๆ ดอน ๆ 3 วันดี 4 วันทะเลาะ จะทำให้ร่างกายเกิดความเครียดเพิ่มมากขึ้นอีกหลายเท่า โดยผลวิจัยจาก Sexual Medicine ที่ตีพิมพ์ออกมาเมื่อปี 2009 ก็ได้เปิดเผยว่า คู่รักที่ความสัมพันธ์ราบรื่นหวานฉ่ำ จะช่วยกระดับความสุขของกันและกัน และลดความเครียดที่มีในแต่ละวันได้มาก

ยิ่งถ้าเป็นคู่สามี-ภรรยาที่มีความสุขในเรื่องบนเตียง ก็จะยิ่งมีอารมณ์และสุขภาพจิตที่ดีขึ้นเท่านั้น แต่ถ้าคู่สามี-ภรรยาคู่ไหนระหองระแหง จนเกิดปัญหาจุกจิกในบ้าน เช่น ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งขอหย่า หรือแย่งกันเป็นผู้ดูแลลูก หรือแม้กระทั่งเรื่องเล็ก ๆ ในบ้านอย่างเกี่ยงกันดูแลบ้าน เท่านี้ก็สามารถเพิ่มความเครียดในแต่ละวันได้มากมาย จนนานวันเข้าอาจจะพัฒนาเป็นอาการเครียดเรื้อรังเลยก็ได้ค่ะ

3. ฮอร์โมนแห่งความรู้สึกดีหยุดชะงัก

          จากการทดลองของ University of North Carolina ในปี 2004 ที่ได้คัดเลือกคู่รัก 38 คู่ เพื่อเข้าทดสอบระดับฮอร์โมนกับการสัมผัสจับต้องของคู่รัก พบว่า การมีเพศสัมพันธ์ การกอดกันด้วยความรัก การจูบอย่างดูดดื่ม หรือแม้แต่การจับมือ โอบไหล่กันธรรมดา สามารถกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนอ็อกซิโตซิน (oxytocin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยให้ร่างกายรู้สึกดี และช่วยขับไล่ความกังวลและความเครียดออกไป

          โดยผู้ทดลองที่เป็นผู้หญิง จะมีระดับความดันเลือดต่ำลงหลังจากได้กอดกับคู่รัก อีกทั้งร่างกายก็จะชะลอการหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (cortisol) ที่เป็นฮอร์โมนแห่งความเครียดอีกด้วยค่ะ แต่ถ้าอยู่ในช่วงอกหักรักคุด ฮอร์โมนที่ทำให้คุณรู้สึกดีก็จะชะงักไปด้วย

4. นอนไม่หลับ

          นักจิตวิทยากล่าวว่า การนอนข้าง ๆ คนที่เรารักและไว้ใจ จะช่วยให้เรารู้สึกผ่อนคลาย ทำให้หลับสนิท และนอนได้อย่างเต็มอิ่มมากขึ้น แต่จากผลสำรวจในปี 2005 กลับพบว่า คู่รักที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งนอนกรน หรือเกิดความเคลือบแคลงใจซึ่งกันและกัน จะมีอาการนอนไม่หลับ จนทำให้เกิดอารมณ์ปรวนแปรในช่วงกลางวัน และหากนอนไม่หลับหลายคืนติด ๆ กัน จะทำให้ระบบต่าง ๆ ในร่างกายปรวนแปร และติดนิสัยนอนไม่หลับไปในระยะยาว ส่งผลเสียต่อสุขภาพอีกมากมายเลยทีเดียว

อกหัก

5. วิตกกังวล

          แน่นอนว่าหากความสัมพันธ์เดินมาถึงจุดที่ต้องตัดสินใจ ก็ย่อมต้องเกิดความกังวลในจิตใจของแต่ละคน และจากผลวิจัยเกี่ยวกับจิตวิทยาหลาย ๆ ชิ้นในหลายปีที่ผ่านมาก็เผยย้ำว่า สถานะความสัมพันธ์ที่สั่นคลอน มีความเกี่ยวข้องกับโรคประสาทกังวล และอาการวิตกกังวลทางสังคมกับร่างกายของเราด้วย

          ด้วยเหตุนี้องค์การอนามัยโลก (World Health Organization) จึงได้ทำการวิจัยเมื่อปี 2010 และพบว่าคู่รักที่ตัดสินใจแต่งงาน หรือคู่แต่งงานใหม่กว่า 35,000 คู่ใน 15 ประเทศ มีความสุขมากขึ้นกว่าตอนที่เขาคบกันเป็นแฟน และการแต่งงานสามารถลดอาการวิตกกังวลหรืออาการผิดปกติทางจิตได้อีกด้วยล่ะ


โรคซึมเศร้า

6. โรคซึมเศร้า

          โรคซึมเศร้ามักจะมาพร้อม ๆ กับอาการวิตกกังวลทางจิต โดยผลการศึกษาของสถาบันจิตวิทยาเผยว่า คู่แต่งงานที่อยู่กินกันมายาวนาน จะมีภาวะโรคซึมเศร้าน้อยกว่าคู่แต่งงานที่เลิกรากันไป และคู่รักที่ระหองระแหงกันบ่อย ๆ โดยเฉพาะคู่ที่มีปัญหาเรื่องการนอกใจ จะมีภาวะซึมเศร้ามากกว่าปกติ จนอาจจะถึงขั้นมีภาวะซึมเศร้ารุนแรง นอกจากนี้ผลการศึกษายังบอกอีกด้วยว่า ฝ่ายหญิงจะมีความเสี่ยงเป็นภาวะซึมเศร้ามากกว่าฝ่ายชายถึง 6 เท่าอีกด้วยนะ

7. เสี่ยงติดเหล้า

          จริง ๆ แล้วเหตุผลที่คนเลือกที่จะดื่มแอลกอฮอล์ก็มีอยู่ไม่กี่ข้อ ไม่ดีใจจนต้องฉลอง ก็อกหักจนต้องนั่งดื่มเพื่อลืมเธอ แต่ล่าสุดก็ได้มีผลวิจัยที่ติดตามคู่แต่งงานกว่า 600 คู่ ซึ่งแต่งงานงานกันมาไม่เกิน 4 ปี พบว่า คู่แต่งงานที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นนักดื่ม จะทำให้อีกฝ่ายหนึ่งจำเป็นต้องดื่มจนติดนิสัยดื่มเก่งตามไปด้วย ซึ่งผลที่ตามมาก็คือสุขภาพแย่ ๆ และร่างกายที่ทรุดโทรมเกินจะกู่กลับ ดังนั้นไม่ว่าคุณจะมีรักที่แฮปปี้ดี หรือกำลังอกหัก ก็อย่าปล่อยตัวเองให้จมอยู่กับขวดเหล้าขวดเบียร์เลยดีกว่า

8. ความดันโลหิตสูง

          โดยปกติแล้วคนที่กำลังอยู่ในช่วงไดเอต คนที่ออกกำลังกายอย่างหักโหม และผู้ที่เป็นโรคเครียดอาจจะมีระดับความดันโลหิตสูงอยู่แล้ว แต่นอกจากกลุ่มคนเหล่านี้แล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างคู่รักก็สามารถส่งผลกระทบต่อระดับความดันโลหิตในร่างกายของเราได้เช่นกัน

          โดยข้อเท็จจริงนี้ได้รับการยืนยันจากผลการศึกษาของ Brigham Young University ที่พบว่า กลุ่มคนที่มีชีวิตสมรสที่เป็นสุข จะมีระดับความดันโลหิตต่ำกว่าคนโสดที่อยู่เหงา ๆ ตัวคนเดียว และคนโสด ก็จะมีระดับความดันโลหิตต่ำกว่าคนที่มีปัญหาในชีวิตแต่งงานด้วยค่ะ

          สรุปก็คือคนที่ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตสมรส จะมีสิทธิ์ป่วยด้วยโรคความดันโลหิตสูงมากที่สุดนั่นเอง เนื่องจากสถานะภาพความสัมพันธ์ที่ไม่มั่นคง จะทำให้ร่างกายรู้สึกกังวล และหลั่งฮอร์โมนแห่งความเครียดออกมา ทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น ความดันโลหิตก็เลยเพิ่มสูงขึ้นกว่าปกติ


อกหัก

9. ปัญหาสุขภาพหัวใจ

          อกหักก็เจ็บจี๊ด ๆ ที่หัวใจอยู่แล้ว แต่ผลการวิจัยจากสถาบันนักจิตวิทยายังตอกย้ำให้เจ็บกันไปใหญ่ ด้วยผลการศึกษาที่พบว่า สถานะความสัมพันธ์ของคู่รัก มีผลกระทบต่อสุขภาพหัวใจได้อย่างไม่น่าเชื่อ อีกทั้งยังเผยว่าการแต่งงานจะช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจได้ด้วย โดยเฉพาะในผู้ชาย

          คำอธิบายก็คือ เวลาที่เรามีสัมพันธ์ที่ดี มีความอบอุ่น และมีการแสดงความรักกันอยู่เสมอ ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนแห่งความสุข ซึ่งสามารถช่วยกำจัดความเครียด ความวิตกกังวล ลดความดันโลหิต และรักษาอัตราการเต้นของหัวใจให้อยู่ในระดับปกติ จึงห่างไกลจากโรคหัวใจนั่นเองค่ะ

10. โรคมะเร็ง

          หลากหลายผลวิจัยเกี่ยวกับสุขภาพได้เผยว่า ผู้ป่วยโรคมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งปอด และมะเร็งลำไส้ใหญ่ ที่แต่งงานและมีชีวิตสมรสที่เป็นสุข จะมีอัตราการรอดชีวิต หรือต่อสู้กับโรคร้ายได้นานกว่าคนโสด หรือคู่รักที่ชีวิตสมรสเต็มไปด้วยปัญหา

          ยืนยันด้วยผลการศึกษาจากผู้ป่วยโรคมะเร็งกว่า 3.8 ล้านคนในปี 2009 ที่พบว่า 58% ของผู้ป่วยที่มีความสุขในชีวิตรัก สามารถยืนหยัดต่อสู้โรคร้ายได้นานถึง 10 ปี ในขณะที่กลุ่มผู้ป่วยที่โสดจะอยู่รอดต่อไปได้แค่ 52% ส่วนผู้ป่วยที่มีสถานะเป็นแม่ม่ายจะมีกำลังใจต่อสู้โรคร้าย และอยู่รอดเพียงแค่ 46% และผู้ป่วยที่มีสถานะเป็นพ่อม่ายจะรอดชีวิตจากโรคมะเร็งได้เพียง 41%

          และกลุ่มผู้ป่วยสุดท้าย ที่มีสถานะหย่าร้าง แยกกันอยู่ หรือมีสถานะความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างเจ็บปวด จะต่อสู้โรคมะเร็งและมีชีวิตอยู่ต่อไปอีก 10 ปี เพียงแค่ 31% เท่านั้น โดยผู้เชี่ยวชาญก็ได้อธิบายความเกี่ยวข้องเรื่องอัตราการมีชีวิตรอดจากโรคมะเร็งกับสถานะความสัมพันธ์เอาไว้ว่า ผู้ที่มีชีวิตอย่างโดดเดี่ยว หรือมีความเศร้าซึมเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จะส่งผลกระทบด้านลบกับสุขภาพ ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันน้อยลงกว่าผู้ที่มีสุขภาพจิตดี ร่างกายก็เลยถูกเซลล์มะเร็งทำร้ายได้มากกว่า จนพ่ายแพ้ต่อโรคร้ายในที่สุด

11. ขาดคนดูแลเอาใจใส่สุขภาพ

          ผลการศึกษาจากประเทศแคนาดาเมื่อปี 2011 พบว่า ผู้ชายที่มีความสุขในชีวิตรักจะดูแลตัวเองได้ดีกว่าคนโสด และเมื่อเจ็บป่วยก็จะรีบมาพบแพทย์มากกว่าคนโสดอีกด้วย ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะว่า คู่รักจะคอยดูแลซึ่งกันและกัน เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่สบาย อีกฝ่ายก็จะคอยดูแลและให้กำลังใจอยู่ข้าง ๆ อย่างใกล้ชิด และจะใส่ใจเรื่องความเป็นอยู่และสุขภาพของทั้งตัวเองและคนรักอยู่เสมอ แต่หากอยู่ในช่วงอกหัก หรือเลิกรากับแฟนแล้วล่ะก็ ก็เหมือนกับขาดคนคอยดูแลเอาใจใส่ และให้กำลังใจนั่นไงล่ะ

อกหัก

12. โรคอกหัก

          เมื่อปี 2011 มหาวิทยาลัยโคลัมเบียได้ทำการศึกษาเรื่องความสัมพันธ์ครั้งเก่าที่มีผลต่อสุขภาพร่างกายและพบว่า ไม่ใช่แค่เพียงสถานะความสัมพันธ์ในปัจจุบันของคุณเท่านั้น ที่สามารถส่งผลกระทบกับสุขภาพร่างกายได้ แต่การเฝ้าคิดถึงความรักครั้งเก่า โดยเฉพาะความสัมพันธ์ที่จบกันไม่สวยเท่าไร ก็สามารถทำให้เกิดความเศร้าซึม จนส่งผลกระทบกับสมอง ฮอร์โมน และสุขภาพร่างกายได้ในที่สุด

          นอกจากนี้ ผลการศึกษายังพบว่า อาการอกหัก จะส่งผลให้เรารู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรง รู้สึกคล้าย ๆ หัวใจแตกสลาย ซึ่งแพทย์ก็เปรียบเทียบว่าเป็นอาการจำลองของโรคหัวใจ และร่างกายก็จะหลั่งฮอร์โมนแห่งความเครียดออกมาทำร้ายสุขภาพเราได้อีกมากมาย อาการแบบนี้มักจะพบในกลุ่มผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน แต่ผลการวิจัยก็เผยว่า ในกลุ่มผู้ชาย และคนอายุน้อยกว่าก็อาจจะเกิดอาการนี้ได้เช่นกัน

          ในเมื่อความผิดหวังกับเรื่องรัก ๆ เป็นสิ่งที่เราไม่สามารถควบคุมได้ และเป็นสิ่งที่ทุกคนบนโลกนี้มีสิทธิ์จะเจอ ถ้าอย่างนั้นคงดีกว่าถ้าเราจะรู้จักทำใจและปล่อยวางให้ได้ คิดซะว่าอะไรที่ไม่ใช่ของเราก็ไม่ใช่อยู่วันยังค่ำ รักตัวเองให้มากที่สุดเสียก่อน แล้วค่อยรักคนอื่นนะคะ



เรื่องที่คุณอาจสนใจ
อกหักรักคุดไม่ได้เจ็บแค่ใจ ร่างกายก็ป่วยได้นะเออ ! อัปเดตล่าสุด 14 กุมภาพันธ์ 2562 เวลา 13:30:37 5,396 อ่าน
TOP