x close

แฉน้ำฝนหลายจังหวัด ปนเปื้อนมลพิษ ดื่มกินอันตราย




แฉน้ำฝนหลายจังหวัด ปนเปื้อนมลพิษ ดื่มกินอันตราย (ไทยรัฐ)

         นักวิจัยแฉน้ำฝนในหลายพื้นที่ของประเทศ ทั้งเหนือใต้ออกตกปนเปื้อนมลพิษ ไม่สามารถนำมาดื่มกินได้แล้ว เหมือนในอดีต สาเหตุเกิดจากการขยายตัวของอุตสาหกรรมและเมือง รวมทั้งฝุ่นควันจากยานยนต์จนทำให้น้ำฝนกลายเป็นน้ำปนยาพิษ ระบุ 5 ปีที่ผ่านมาพื้นที่อุตสาหกรรมในภาคตะวันออกมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูงขึ้นต่อเนื่อง

         เมื่อวันที่ 10 พ.ย. น.ส.สุนทรี ขุนทอง คณะทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา จ.ชลบุรี หัวหน้าโครงการศึกษาการเก็บวิเคราะห์ ตัวอย่าง การตกสะสมของกรดในพื้นที่ภาคตะวันออก ซึ่งได้รับมอบหมายจากกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้ทำการศึกษาวิจัย เปิดเผยว่า จากการเก็บตัวอย่างน้ำฝนตลอดระยะเวลา 1 ปี ในเขตพื้นที่ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ครอบคลุมพื้นที่แหลมฉบัง พบว่าน้ำฝนที่เก็บได้มีค่าความเป็นกรดเพิ่มขึ้น เฉลี่ย 4 กว่าๆ จากค่าความเป็นกรดด่างของน้ำฝนที่มีค่าเฉลี่ยที่ 5.6 ทั้งนี้ ค่าความเป็นกรดของน้ำฝนที่สูงขึ้นอาจมีสาเหตุจากพื้นที่นี้ล้อมรอบด้วยอุตสาหกรรมปิโตรเคมี อาทิ นิคมแหลมฉบัง โรงกลั่นน้ำมันบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) โรงกลั่นน้ำมันบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) โรงกลั่นน้ำมันเอสโซ นิคมอุตสาหกรรมสหพัฒน์ นิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง เป็นต้น ประกอบกับแถวถนนสุขุมวิทที่มีการจราจรคับคั่งในช่วงเช้าและเย็นด้วย จึงมีส่วนที่น้ำฝนจะเป็นกรดสูงก็ได้

         น.ส.สุนทรี กล่าวว่า นอกจากนี้ ยังพบด้วยว่าในพื้นที่ภาคตะวันออก มีการเปลี่ยนแปลงลักษณะการตกของฝน กล่าวคือมีจำนวนวันที่ฝนตกสูงถึง 108 วัน ขณะที่การตกจะหนักและแรง ในบางช่วงที่ควรมีฝนตกชุกก็ไม่มีฝน เป็นข้อสังเกตที่พบว่า การตกของฝนในพื้นที่นี้เริ่มขยับไปขยับมาแล้ว อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่สามารถบ่งชี้ว่าเป็นผลมาจากโรงงานอุตสาหกรรมหรือไม่ เพราะหากในทุกพื้นที่มีการเปลี่ยนแปลงก็ไม่น่าจะเป็นผลจากโรงงานอย่างเดียว ทั้งนี้ยังมีการตั้งข้อสังเกตว่าอาจจะมีจากการสัมพันธ์กับการเพิ่มขึ้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์หรือไม่ เพราะมวลอากาศที่อยู่น้ำและดินมีความแตกต่างกัน และสอดคล้องว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา พื้นที่อุตสาหกรรมในภาคตะวันออกมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

         เมื่อถามว่า ขณะนี้น้ำฝนยังสามารถนำไปบริโภคได้ตามปกติหรือไม่ น.ส.สุนทรียอมรับว่า ขณะนี้หลายพื้นที่ทั่วประเทศของไทย คาดว่าน้ำฝนไม่เหมาะสมกับการนำมาใช้ดื่มกินได้อย่างบริสุทธิ์เหมือนในอดีตแล้ว เนื่องจากมีการขยายตัวของอุตสาหกรรม และความเจริญเติบโตของเมืองที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้น้ำฝนทั่วประเทศไม่เพียงแต่แนวโน้มที่มีค่าความเป็นกรดสูงเท่านั้น แต่ยังรวมเอามลพิษอื่นๆ อยู่ในน้ำ เช่น จ.พระนครศรีอยุธยา น้ำฝนมีค่าความเป็นด่างมากผิดปกติ เพราะอยู่ใกล้โรงปูน ส่วน จ.เชียงใหม่ มีปริมาณฝุ่นละอองสูงเพราะต้องเจอกับปัญหาหมอกควันอย่างต่อเนื่อง ขณะที่พื้นที่เกษตรกรรมน้ำฝนจะมีการตรวจพบสารฟอสเฟต แอมโมเนียสูง เช่น กรณี จ.สงขลา จะมีการปนเปื้อนของแอมโมเนียสูง เพราะมีอุตสาหกรรมน้ำยางพารา เป็นต้น ส่วนตัวเชื่อว่าอนาคตสังคมชนบทที่เคยรองน้ำฝนไว้บริโภคเก็บในโอ่ง คงจะต้องเลิกไปในที่สุด

         "กรณีพื้นที่ จ.ชลบุรี และระยอง จะมีความชัดเจนมากว่าน้ำฝนที่มีค่าความเป็นกรด อาจจะเป็นผลจากการอยู่ใกล้กับแหล่งอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ซึ่งขณะนี้ทราบว่ากรมควบคุมมลพิษได้เริ่มไปเก็บตัวอย่างน้ำฝนเพื่อนำมาวิเคราะห์ หาตัวอย่างของสารที่ปนเปื้อนในน้ำฝนพื้นที่มาบตาพุดแล้ว หลังจากที่ผ่านมามีการร้องเรียนจากชาวบ้านว่าไม่สามารถบริโภคน้ำฝนได้ หรือน้ำฝนที่ตกมาแล้วส่งผลให้พืชผลการเกษตรเสียหาย โดยการเก็บน้ำฝนต้องใช้ระยะเวลา 1 ปี จึงจะวิเคราะห์และประมวลผลได้ โดยผลที่ออกมาจะใช้เป็นข้อมูลเฝ้าระวังเพื่อใช้ในการควบคุม และการวางแผนขยายโรงงานในพื้นที่ต่อไป อย่างไรก็ตาม สำหรับน้ำฝนในเขตพื้นที่ กทม. เอง ก็มีค่าความเป็นกรดสูง เนื่องจากมีปัญหาการจราจรหนาแน่นมาก" น.ส.สุนทรีระบุ



ขอขอบคุณข้อมูลจาก



เรื่องที่คุณอาจสนใจ
แฉน้ำฝนหลายจังหวัด ปนเปื้อนมลพิษ ดื่มกินอันตราย อัปเดตล่าสุด 11 พฤศจิกายน 2552 เวลา 15:52:24 4,550 อ่าน
TOP