จับกระแสโรค"เอดส์" รู้เท่าทันวันเอดส์โลกปี52 (มติชน)
วันเอดส์โลก ปีนี้ตรงกับวันที่ 1 ธันวาคม 2552 โครงการ โรคเอดส์ แห่งสหประชาชาติได้กำหนดกรอบการรณรงค์ วันเอดส์โลก ไว้ในหัว ข้อ "Universal Access and Human rights" หรือ "การเข้าถึงและสิทธิมนุษยชน" ซึ่งทางศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทยได้นำหัวข้อการเข้าถึงและสิทธิมนุษยชนมาขยายความในการรณรงค์ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน คือ "เข้าถึงยา เข้าถึงสิทธิ พิชิตเอดส์"
การเข้าถึง ดังกล่าวหมายถึง ถ้าผู้ติดเชื้อมีสิทธิในการเข้าถึงยา เข้าถึงบริการได้ง่ายขึ้นแล้วก็จะทำให้ผู้ติดเชื้อสามารถพิชิตเอดส์ได้ ส่วน พิชิต นั้นหมายถึง การได้รับสิทธิจากบัตรทอง 30 บาท หรือสิทธิประกันสังคมในการดูแลรักษา และได้รับยาอย่างทันท่วงที ซึ่งจะทำให้ผู้ติดเชื้อมีสุขภาพที่ดี มีชีวิตที่ยืนยาวไม่เป็นภาระของครอบครัวหรือของภาครัฐ
หากดูจากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขในปีที่ผ่านมา จะพบว่าประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อเอชไอวี กว่า 4.4 แสนคน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 20,000 คน โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นอายุระหว่าง 18-35 ปี ซึ่งถือเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศในอนาคต มีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวีมากขึ้น และนับวันอายุเฉลี่ยของการมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกก็มีแนวโน้มลดลงเรื่อย ๆ
สถานการณ์โรคเอดส์ในประเทศไทยจึงถือว่าน่าเป็นห่วง เพราะขณะนี้มีสัญญาณเตือนให้เห็นว่า การแพร่ระบาดในระดับรุนแรง ทำให้สัดส่วนผู้ป่วยโรคเอดส์รวมทั่วประเทศพุ่งสูงขึ้น รวมตัวเลขผู้ป่วยในปัจจุบันมีประมาณกว่า 1 ล้านคน
ประชากรที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวีใหม่ ๆ ยังหนีไม่พ้นกลุ่มชาวประมง และกลุ่มแรงงานต่างชาติ ส่วนกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง เป็นกลุ่มแม่บ้านที่ติดจากสามีเที่ยวผู้หญิง ซึ่งในขณะนี้ผู้ชายมักจะไปรับเชื้อเอดส์จากกลุ่มนักเรียน-นักศึกษาที่คิดว่าปลอดภัย แต่จริง ๆ แล้วระบาดโยงกันไปมาเหมือนใยแมงมุม
จากผลสำรวจร่างกายนักเรียนหญิงในโรงเรียนหลายแห่ง พบว่ามีเด็กเป็นกามโรคถึง 30% โดยที่ตัวเองไม่รู้ตัว ขณะที่ชายรักชายก็เป็นกลุ่มแพร่เชื้อสูงเช่นเดียวกัน
ด้วยเหตุนี้ ทุกคนจึงต้องตระหนักและให้ความสำคัญต่อการ "ป้องกัน" เพราะหากไม่กล้ามาตรวจเลือด และไม่รู้ว่าตนเองเป็นผู้ติดเชื้อและรีบดูแลรักษา ก็จะยิ่งทำให้สถานการณ์โรคเอดส์แพร่ระบาดมากขึ้นไปอีก หรือหากไปติดเชื้อเอชไอวีสายพันธุ์ใหม่ ซึ่ง "ติดเชื้อง่าย ระบาดเร็ว ดื้อยา" กว่าสายพันธุ์อื่น ๆ ที่มีกว่า 20 สายพันธุ์ทั่วโลก เมื่อไปกินยาต้านไวรัสจะเกิดอาการดื้อยาและไม่ได้ผล ทำให้สุขภาพทรุดและเสี่ยงต่อเชื้อฉวยโอกาสอย่างมาก
สำหรับการป้องการอัตราการติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่นั้น ควรหันมาใช้ถุงยางอนามัยก่อนที่จะมีเพศสัมพันธ์ทุกรูปแบบ เพราะจากการสำรวจพบว่า การแพร่ระบาดของเชื้อเอชไอวีนั้นส่วนใหญ่มาจากการมีเพศสัมพันธ์ที่ขาดการป้องกัน
ส่วนผู้ติดเชื้อ สิ่งที่ต้องทำเป็นอันดับแรกหลังตรวจพบว่าติดเชื้อเอชไอวี คือการตรวจวัดระดับภูมิคุ้มกันของตัวเอง หรือการตรวจระดับซีดี-4 ในเลือด ควบคู่ไปกับการไปปรึกษาแพทย์ ซีดี-4 เป็นเม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่ง ซึ่งจะค่อย ๆ ลดต่ำลงเรื่อย ๆ ภายหลังการติดเชื้อ เพราะถูกเชื้อเอชไอวีทำลาย
ในคนธรรมดาจะมีเซลล์ซีดี-4 ประมาณ 700-800 เซลล์ต่อมิลลิลิตร ซีดี-4 ในผู้ติดเชื้อจะลดลงประมาณ 25-50 เซลล์ต่อปี ถ้าซีดี-4 ลดลงจนต่ำกว่า 200 ผู้ติดเชื้อก็จะเริ่มมีอาการเจ็บป่วยจากการติดเชื้อฉกฉวยโอกาส เพราะไม่มีเซลล์ซีดี-4 มาคอยคุ้มครอง ดังนั้น ถ้ามีการติดตามเป็นระยะ ทุก 4-6 เดือน ถ้าเห็นว่าเข้าใกล้ระดับ 200 เซลล์ ก็จะได้เริ่มยาต้านไวรัสเอดส์ เพื่อให้ซีดี-4 กลับสูงขึ้น หลังจากปริมาณไวรัสเอดส์ลดลงและหลังจากเริ่มยาต้านฯ ก็จะต้องตรวจติดตามระดับ ซีดี-4 เป็นระยะ ๆ เพื่อติดตามผลการรักษา
อย่างไรก็ตาม ยังมีผู้ติดเชื้ออีกจำนวนมากที่ยังไม่เคยไปพบแพทย์หรือยังไม่เคยตรวจวัดซี ดี-4 เลย ซึ่งอาจเป็นเพราะไม่ทราบ หรือไม่เคยได้รับคำแนะนำจากแพทย์หรือพยาบาลมาก่อน หรืออาจเป็นเพราะไม่สนใจ ดูแลรักษาตัว คิดว่าเอดส์เป็นแล้วคงรักษาไม่ได้ หรือตัวเองไม่มีสตางค์จะรักษา เพราะค่ายาแพง บางคนก็ไม่รู้ว่าจะตรวจได้ที่ใดก็เลยปล่อยเลยตามเลยจนป่วยขึ้นมา
จริง ๆ แล้วผู้ติดเชื้อที่มีบัตรทองทุกราย สามารถตรวจ ซีดี-4 ได้ฟรีปีละ 2 ครั้ง โดยสามารถใช้สิทธิบัตรทองในโรงพยาบาลที่เรามีสิทธิอยู่ เมื่อ ซีดี-4 ต่ำถึงระดับที่ต้องกินยาต้านฯ โรงพยาบาลก็จะมียาต้านฯ ให้กินฟรีตลอดชีวิตตามสิทธิบัตรทอง
ซึ่งเรื่องนี้ ทุกคนต้องให้ความสำคัญ โดยเฉพาะผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง
เคล็ดลับสุขภาพ สุขภาพใกล้ตัว โรคและการป้องกัน คลิกเลย
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอจาก
