เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก Jin HHz
แบคทีเรียกินเนื้อคน ล่าสุด มีคนเตือนให้ระวังเชื้อแบคทีเรียกินเนื้อคน Vibrio parahaemolyticus พบมากในหอยหรือสัตว์ทะเล ชี้ควรปรุงให้สุกก่อนรับประทาน
ก่อนหน้านี้เคยมีกระแสข่าวที่สร้างความฮือฮาเป็นอย่างมากในประเทศไทย จากกรณีที่มีชายคนหนึ่งเสียชีวิตจากการถูกเงี่ยงปลาตำ ขณะเลือกซื้อปลาทับทิมในตลาด ต่อมามีอาการบวมจนต้องเข้ารักษาที่โรงพยาบาล ภายหลังพบว่าติดเชื้อแบคทีเรียกินเนื้อคนในกระแสเลือดจนเสียชีวิต เมื่อช่วงเดือนกรกฎาคม 2557 ที่ผ่านมา
ล่าสุด (18 กันยายน 2557) ใครที่ชื่นชอบการรับประทานอาหารสุก ๆ ดิบ ๆ คงต้องระวังมากขึ้นแล้วล่ะ เพราะ คุณ hot-holic สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ได้ตั้งกระทู้เกี่ยวกับเชื้อแบคทีเรียกินเนื้อคน โดยใช้ชื่อกระทู้ว่า "ระวัง!!! แบคทีเรียจากอาหารปรุงไม่สุกอาจทำให้ต้องตัดขา แขน หรือตายได้ (อยากเตือนทุก ๆ ท่านให้รู้ก่อนจะสาย)" ซึ่งผู้โพสต์ระบุว่า ภาพผู้ติดเชื้อจากแบคทีเรียนี้ คือ มารดาของตนเองที่ได้รับประทานหอยแครงซึ่งคาดว่าอาจมีเชื้อแบคทีเรียตัวนี้อยู่ จากนั้นก็มีอาการไข้สูง อาเจียน ท้องเสีย ต่อมามีอาการเจ็บปวดเท้า เท้ามีสีม่วงคล้ำและยังลามไปเรื่อย ๆ ซึ่งภายหลังทราบว่าเกิดจากเชื้อแบคทีเรียกินเนื้อคนชนิดหนึ่ง ที่มันได้กินเนื้อจนเนื้อตาย คุณหมอที่รักษาจึงตัดสินใจผ่าเอาเนื้อที่ตายออก เนื่องจากถ้าไม่ผ่าออก เชื้อจะลามไปเรื่อย ๆ จนอาจจะต้องตัดขาทิ้งได้
สำหรับเรื่องราวทั้งหมด มีดังนี้
"อยากขอเตือนเพื่อน ๆ ที่ชอบทานหอย อาหารทะเลสุก ๆ ดิบ ๆ ให้ระวังตัวกันหน่อยนะคะ
หลาย ๆ คนคงอยากรู้อาการและสาเหตุว่าทำไมถึงมีอาการอย่างที่เห็นในภาพ และอยากบอกอยากเตือนให้ทุกคนระวังตัวด้วยค่ะ รู้และระวังตัวไว้ก่อนดีกว่าสายไปนะคะ เรื่องนี้เกิดกับคุณแม่ของเราเองและไม่อยากให้ใครต้องเป็นเหมือนคุณแม่จึงอยากบอกต่อค่ะ
ก่อนหน้านี้ก็มีเหตุการณ์คล้าย ๆ กันคือแม่ค้าขายปลาทับทิมโดนครีบแทงเสียชีวิต คาดว่าเป็นเชื้อตัวเดียวกันนะคะ
เชื้อตัวนี้ชื่อ วิบริโอ้ พาราฮิโมโลติคัส (Vibrio parahaemolyticus) อาศัยอยู่ในน้ำทะเล และน้ำจืดที่มีอุณหภูมิอุ่น (ประเทศเรา) ชอบอาศัยในสัตว์น้ำเช่น กุ้ง หอย ปู ปลา ปลาหมึก (โดยเฉพาะหอยเพราะหอยเป็นสัตว์กินซาก และไม่มีใครทานหอยแบบสุก ๆ ) ถ้าหากทานอาหารที่มีเชื้อนี้เข้าไปก็จะเกิดอาการมีไข้ หนาวสั่น อาเจียน ท้องเสีย แล้วถ้าเข้ากระแสเลือดก็อยู่ที่อาการของแต่ละคนค่ะว่าจะเป็นอย่างไร แต่แผลจะคล้ายกัน ส่วนใหญ่จะใช้เวลาประมาน 4-96 ชั่วโมงในการออกอาการค่ะ (หากคนภูมิน้อย เช่นเป็นโรคเอดส์ โรคตับ จะเสี่ยงเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะคนที่เป็นโรคตับเสี่ยงกว่าคนปกติ 200 เท่า โอกาสเสียชีวิตก็มีสูง)หากใครเป็นเบาหวานโอกาสตัดขาสูงมากค่ะ
เพราะแบคทีเรียชนิดนี้เป็นแบคที่เรียที่กินเนื้อคนค่ะ จะค่อย ๆ กัดกินลามไปเรื่อย ๆ ทำให้เนื้อตาย (สีม่วง ๆ คือเนื้อของเราตายแล้ว ไม่มีความรู้สึกแล้วนะคะ)
หากเก็บอาหารในตู้เย็นที่รักษาอุณหภูมิได้ไม่ดีพอก็จะทำให้เชื้อขยายตัวอย่างรวดเร็ว ถ้านำไปปรุงอาหารในระดับอุณหภูมิที่ไม่เพียงพอก็ทำให้เชื้อแพร่กระจายเพิ่มขึ้น (โดยติดจากชิ้นหนึ่งไปสู่อีกชิ้น)
** คนปกติก็สามารถเป็นได้นะคะ ส่วนใหญ่จะเป็นเริ่มแรก คือมีไข้ อาเจียน ท้องเสียนี่แหละค่ะ แต่ถ้าหากร่างกายกำลังป่วย มีภูมิคุ้มกันต่ำ ก็มีสิทธิเป็นได้เหมือนกันค่ะ (ง่าย ๆ เลยคือเชื้อนี้ทุกคนสามารถเจอได้ตลอดด้วยภูมิอากาศบ้านเรา ไม่รู้วันไหนใครจะแจ็กพ็อตโดนแบบแม่เรา)
ต้องบอกก่อนเลยว่าแม่มีโรคประจำตัวอยู่แล้วคือ ตับแข็ง ม้ามโต ทำให้ทำลายเกร็ดเลือดและเลือด ทำให้ในร่างกายมีเกร็ดเลือดอย่างมากก็แค่เกือบ ๆ 20,000 (คนปกติจะมี 120,000-150,000 ขึ้นไป) ซึ่งน้อยมากอยู่แล้ว หากเป็นแผลเลือดก็จะไม่ยอมหยุดไหล จึงห้ามมีแผลอย่างเด็ดขาด
เหตุเกิดวันเสาร์ที่ 6 กันยายน 2557 แม่ไปทานหอยแครงเข้า ซึ่งในตัวหอยแครงนั้นอาจมีเชื้อแบคทีเรียตัวนี้อยู่ เมื่อผ่านผนังลำไส้ทำให้เกิดการดูดซึมพิษและแบคทีเรียเนื่องจากในร่างกายตับไม่ดีทำให้ภูมิคุ้มกันต่ำ จึงทำให้เชื้อเข้าสู่กระแสเลือด
ในวันอาทิตย์ที่ 7 กันยายน 2557 หลังจากทาน 1 วันแม่มีไข้สูงหนาวสั่น (เนื่องจากแม่มีโรคเกี่ยวกับเลือด หากพักผ่อนไม่เพียงพอจะทำให้เป็นไข้ในบางครั้งจึงไม่มีใครคาดว่าจะเป็นอะไร คาดเพียงพักผ่อนน้อย) และมีไข้ในวันต่อ ๆ มา
ในวันอังคารที่ 9 กันยายน 2557 มีอาการเจ็บปวดเท้า เท้าบวมเล็กน้อย ที่บ้านเข้าใจว่าเป็น โรคเกาต์ เพราะอาการคล้าย ๆ กัน
ในวันพฤหัสที่ 11 กันยายน 2557 พบว่าที่เท้ามีตุ่มน้ำขึ้นมา หมอจึงจับย้ายเข้าตรวจสอบอาการที่ CCU
ในวันศุกร์ที่ 12 กันยายน 2557 ตุ่มใสค่อย ๆ ใหญ่ขึ้น และขยายกว้างขึ้น ส่วนสีม่วงก็คล้ำขึ้นมากและยังลามไปเรื่อย ๆ
ในวันเสาร์ที่ 13 กันยายน 2557 ในที่สุดหมอจึงตัดสินใจผ่าเอาเนื้อที่ตายออก เนื่องจากมันลามไปเรื่อย ๆ จึงเป็นเหตุที่ต้องใช้เลือดและเกร็ดเลือดเยอะ หากเกิดเหตุไม่คาดคิดคือ เลือดออกมากเลือดจะไม่เพียงพอ (และในเวลานั้น เกร็ดเลือดแม่ที่เหลือแค่ 10,000-20,000 ลดลงเหลือเพียง 5000 เท่านั้น จึงเสี่ยงมากหากมีเลือดไม่เพียงพอหลังผ่าตัด) ถ้าไม่รีบทำการผ่าตัด เชื้อจะลามไปเรื่อย ๆ ก็อาจจะต้องตัดขา
โชคดีที่ไม่เกิดเหตุการณ์ร้าย เพราะหมอเก่งมากผ่าตัดได้ดีเลือดไม่ไหลเยอะเท่าที่คาด และโชคดีที่เชื้อลงไปไม่ลึกมาก (เพราะหมอตัดสินใจรีบผ่าทำให้แบคทีเรียกินไม่ลึกมาก)
วันนี้วันพุธที่ 17 กันยายน 2557 ขณะนี้ผ่าตัดเสร็จด้วยดี แต่ยังต้องรอดูอาการอย่างใกล้ชิดในห้องปลอดเชื้อ เพราะอาจเกิดการติดเชื้อซ้ำอีกครั้งจากเชื้อตัวเก่า และคนภายนอกที่เข้าเยี่ยม จึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ และต้องทำการผ่าตัดซ้ำอีกเพื่อเอาเนื้อตายออก และอาจต้องผ่าอีกหลายครั้ง ทั้งเพื่อตัดเนื้อตายออกและตกแต่งแผล และสำคัญที่สุดคือต้องนำเนื้อส่วนอื่นมาปิดไว้ เพราะที่ผ่าลงไปหลังเท้ามีเพียงเส้นประสาทและเส้นเลือดหากใช้ชีวิตแบบปกติเกิดบาดแผลอาจทำให้เสี่ยงเป็นแผลเลือดอาจไหลไม่หยุดในอนาคตค่ะ
นี่คือเหตุการณ์คร่าว ๆ ที่อธิบายให้ทราบเพื่อเป็นอุทาหรณ์สำหรับคนชอบทานอาหารทะเล หรืออาหารทั่วไปแบบไม่เคยรู้ไม่เคยระวังตัวค่ะ
ทางเลี่ยงที่ดีที่สุดคือเลิกทานหอย และปลาหมึก (เพราะในการประกอบอาหารมักลวกเฉย ๆ กึ่งสุกกึ่งดิบ เชื้อมันไม่ตายค่ะ) ส่วนสัตว์ทะเลอย่างอื่นควรทานหลังปรุงสุกเกิน 15 นาทีขึ้นไปค่ะ"
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
- pantip.com
- foodnetwork
- เฟซบุ๊ก Jin HHz