ปรสิตตัวจิ๋วแทบมองไม่เห็น แต่แฝงอันตรายไว้มากมาย พร้อมเป็นพาหะนำโรคภัยมาสู่มนุษย์อย่างเราได้ ตั้งแต่ท้องเสียยันสมองอักเสบถึงตายได้เลย โรคที่เกิดจากปรสิต จริง ๆ แล้วมีอยู่หลายโรคด้วยกัน รวมไปถึงหลากอาการผิดปกติที่อาจเกิดจากการมีปรสิตอยู่ในร่างกาย ซึ่งหลายคนอาจยังไม่รู้ว่าปรสิตคืออะไร ติดได้จากไหน และเป็นพาหะนำโรคอะไรได้บ้าง งั้นตามมาอ่านเป็นความรู้กันเลย ปรสิต ภาษาอังกฤษคือ Parasite เป็นสิ่งมีชีวิตสปีชีส์หนึ่งบนโลกใบนี้ แต่อยู่ลำพังไม่ได้ ต้องอาศัยอยู่ในร่างกายของสิ่งมีชีวิตอื่น (Host) เพื่อดำรงชีวิต โดยปรสิตจะแบ่งออกได้เป็นประเภทใหญ่ ๆ ดังนี้ เช่น คริปโตสปอริเดียม (Cryptosporidium), ไกอาเดีย (Giardia), เชื้อบิดชนิดมีตัว (Entamoeba), ไมโครสปอริเดีย (Microsporidia), ไอโซสปอรา (Isospora) และปรสิตจำพวกหนอนพยาธิ อย่างพยาธิตืดหมู, พยาธิไส้เดือน, พยาธิตัวกลม, พยาธิใบไม้ เป็นต้น โดยปรสิตกลุ่มนี้จะปนเปื้อนมากับอุจจาระของคนและสัตว์ ซึ่งอาจจะแพร่กระจายไปตามดิน แหล่งน้ำ หากคนรับประทานผักสดที่ล้างไม่สะอาด หรือดื่มน้ำที่กรองไม่สะอาด ปรสิตเหล่านี้ก็จะเข้าสู่ร่างกาย และก่อให้เกิดโรคต่าง ๆ แก่โฮสต์ได้ ปรสิตประเภทที่อยู่ภายนอกร่างกาย (Ectoparasite) เช่น เห็บ เหา หมัด ไรฝุ่น และหิด มักจะอยู่บนผิวหนัง เส้นผมของคน เส้นขนของสัตว์อย่างสุนัข แมว กระต่าย เป็นต้น และติดมาสู่คนจากการจับ อุ้ม กอด สัมผัสกับสัตว์ที่มีเชื้อ ซึ่งก่อให้เกิดอาการคันในบริเวณที่ปรสิตไปเกาะอยู่ หรือหากเป็นเห็บจะพบเป็นรอยบวมแดง มีผื่นเป็นวงกลมขนาดใหญ่ อย่างไรก็ตาม ปรสิตกลุ่มนี้ก็มีเชื้อโรคอยู่ในตัวเอง ซึ่งอาจก่ออาการอักเสบและเป็นชนวนของโรคแทรกซ้อนอื่น ๆ ได้เช่นกัน เช่น นีเกลอเรีย (Naegleria) และอะแคนทามีบา (Acanthamoeba) ซึ่งเป็นอะมีบาดำรงชีพอิสระ คือมีชีวิตอยู่ได้ด้วยตัวเองตามแหล่งธรรมชาติ เช่น แอ่งน้ำ ลำคลอง แต่หากเข้าสู่ร่างกายคนแล้วก็จะอาศัยคนเป็นโฮสต์และก่อโรคให้กับเราได้ ทั้งนี้ โรคที่เกิดจากปรสิตจะขึ้นอยู่กับชนิดของปรสิต แหล่งที่เชื้ออาศัยอยู่ และช่องทางที่เชื้อเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งก็จะมีความรุนแรงของอาการแตกต่างกันไป โรคที่เกิดจากปรสิตสามารถติดต่อได้หลายทาง โดยที่พบได้บ่อย คือ การรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่มีเชื้อปนเปื้อน โดยเฉพาะอาหารสด ผักสด ผลไม้สดที่ล้างไม่สะอาด การดื่มน้ำจากแหล่งธรรมชาติที่ไม่ผ่านการกรอง รวมไปถึงอาหารสุก ๆ ดิบ ๆ ติดเชื้อทางผิวหนัง จากการสัมผัสดินหรือน้ำที่ปนเปื้อน เช่น การเดินเท้าเปล่าบนดิน หรือพื้นที่มีปรสิต การลงเล่นน้ำในแหล่งน้ำธรรมชาติที่ไม่สะอาด การสัมผัสน้ำที่ไม่สะอาดสาดขณะเล่นสงกรานต์ เป็นต้น การถูกกัดโดยยุง เห็บ หมัด เหา ที่แฝงอยู่ในสัตว์ เช่น สุนัข แมว กระต่าย หมู วัว เป็นต้น การสัมผัสสัตว์หรือคนที่มีปรสิตเกาะอยู่ เช่น เห็บ เหา หมัด เรือด ซึ่งสามารถกระโดดเข้ามาอาศัยในร่างกายมนุษย์ได้ การพลัดตกลงไปในแอ่งน้ำ โคลน บ่อ ที่มีน้ำไม่สะอาด และสำลักน้ำทางจมูก อาการที่พบบ่อยของโรคที่เกิดจากปรสิต เช่น หิวบ่อย ท้องอืด ท้องเฟ้อ ท้องเสียบ่อย กินเยอะแต่น้ำหนักไม่ขึ้น หรือมีอาการทางผิวหนัง เป็นตุ่มนูน บวมแดง มีผื่นคันบริเวณที่โดนปรสิตกัด เช่น เห็บ ไรฝุ่น เหา อย่างไรก็ตาม อาการของโรคปรสิตขึ้นอยู่กับชนิดของปรสิต แหล่งที่มา และวิธีการติดเชื้อ อย่างเชื้ออะมีบาก็ทำให้เกิดการอักเสบที่เยื่อหุ้มสมองได้ รวมไปถึงเชื้อโปรโตซัวบางชนิดที่เป็นพาหะของโรคมาลาเรีย เป็นต้น โรคที่เกิดจากปรสิตมีอยู่หลายโรค แต่ที่พบได้บ่อย เช่น เกิดจากเชื้ออะมีบาชนิดเชื้อบิดมีตัว (Entamoeba) ซึ่งเมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วจะอาศัยอยู่ในลำไส้ใหญ่ ก่อให้เกิดโรคท้องร่วง ทำให้เกิดแผลในลำไส้ใหญ่ อีกทั้งยังอาจแทรกซึมเข้าไปในกระแสเลือด ก่อเป็นโรคฝีบิดในตับ ในปอด หรือสมองได้ด้วย เชื้อจะเข้าไปอยู่ในลำไส้เล็ก ก่อให้เกิดอาการท้องอืด แน่นท้อง เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ถ่ายเหลวเป็นน้ำ หรือมีไขมันปน หากท้องร่วงเรื้อรังจะเสี่ยงต่อภาวะขาดสารอาหารได้ เป็นพยาธิที่พบมากในทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมักจะได้รับปรสิตเข้าร่างกายผ่านการรับประทานอาหารสุก ๆ ดิบ ๆ โดยเฉพาะเนื้อปลาน้ำจืด ตระกูลปลาตะเพียน ปลาซิว ปลาสร้อย เป็นต้น เมื่อปรสิตเข้าสู่ร่างกาย จะเจริญเติบโตเป็นตัวเต็มวัยในท่อน้ำดีในตับ ส่วนอาการของโรคนี้จะขึ้นอยู่กับจำนวนพยาธิที่มีอยู่ในร่างกาย ถ้ามีพยาธิไม่มาก อาการก็จะไม่แสดงเด่นชัด แต่หากมีจำนวนพยาธิใบไม้ตับมาก จะมีอาการตัวเหลือง อาหารไม่ย่อย ตับโต เป็นต้น อีกหนึ่งโรคที่พบได้บ่อยในประเทศไทย เพราะปรสิตชนิดนี้มักแฝงอยู่ในดิน แหล่งน้ำ ในพื้นที่ชื้นแฉะ และจะเข้าสู่ร่างกายคนผ่านการบริโภคอาหารและน้ำที่ปนเปื้อน ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่มีอาการแสดงให้เห็นชัด แต่อาจพบอาการไข้ ท้องเสีย หรือมีอาการแทรกซ้อนหากตัวอ่อนของพยาธิไชไปตามอวัยวะต่าง ๆ เช่น ปอด ลำไส้ หรือตับ เป็นต้น โรคพยาธิใบไม้ปอด หรือ พารากอนิโมซิส เกิดจากการติดเชื้อพยาธิจากการกินปูน้ำจืดแบบสุก ๆ ดิบ ๆ เช่น ปูนา ปูน้ำตก ปูภูเขาที่มีตัวพยาธิระยะติดต่อ ตัวพยาธิจะเข้ามาโตเต็มวัยและอาศัยในปอดของมนุษย์ อาการของโรคพยาธิใบไม้ปอดจึงคล้ายคลึงกับวัณโรค โดยจะไอแห้ง ๆ เจ็บหน้าอก มีเสมหะปนเลือด และหลอดลมอักเสบ เป็นต้น คนมักจะได้รับปรสิตชนิดนี้จากการรับประทานปลาน้ำจืด กุ้งไร โดยเฉพาะปลาไหลที่รับประทานแบบสุก ๆ ดิบ ๆ โดยตัวอ่อนของพยาธิตัวจี๊ดจะชอนไชไปตามเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง ซึ่งจะเห็นเป็นรอยนูน ๆ เคลื่อนที่ไปตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย และมักจะเดินทางไปยังบริเวณประสาทส่วนกลางและดวงตา ส่งผลต่อสมองหรืออาจทำให้ตาบอดได้ พยาธิตัวตืดที่พบได้บ่อยในประเทศไทย คือ พยาธิตัวตืดวัวและพยาธิตัวตืดหมู ซึ่งได้มาจากการกินเนื้อสัตว์ที่มีตัวอ่อนของพยาธิ (ลักษณะคล้ายเม็ดสาคู) แบบปรุงไม่สุก โดยเฉพาะเมนูลาบหมู ลาบวัว ก้อย แหนม ส้าเนื้อ และเมื่อพยาธิเข้าสู่ร่างกาย ตัวอ่อนจะเจริญเติบโตเป็นตัวเต็มวัยในลำไส้เล็กของมนุษย์ ก่อให้เกิดอาการหิวบ่อย อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน เป็นต้น สาเหตุของโรคนี้ คือ พยาธิตัวกลมทริคิเนลล่า สไปราลิส (Trichinella spiralis) ซึ่งพบได้บ่อยในสัตว์กินเนื้อที่เป็นสัตว์ป่า เช่น หมูป่า และสัตว์ที่ใช้ฟันแทะ เช่น หนู กระรอก โดยคนจะติดเชื้อจากการกินเนื้อสัตว์ที่มีตัวอ่อนพยาธิแบบดิบ ๆ หรือปรุงไม่สุกเต็มที่ ซึ่งพยาธิตัวอ่อนจะเข้าไปอยู่ในลำไส้ ก่อให้เกิดอาการท้องร่วง ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน จากนั้นตัวอ่อนจะค่อย ๆ ไชเข้าไปฝังตัวอยู่ตามกล้ามเนื้อต่าง ๆ ก่อให้เกิดอาการปวดกล้ามเนื้อ มีไข้ กลืนลำบาก พูดลำบาก หายใจลำบาก และอาจมีอาการแทรกซ้อนที่รุนแรงถึงแก่ชีวิตได้ในบางคน เกิดจากการที่ดวงตาไปสัมผัสน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อไมโครสปอริเดีย (Microsporidial Keratitis) เช่น ใช้น้ำจากแท็งก์หรือน้ำประปาที่มีเชื้อโรคล้างหน้า หรือสัมผัสน้ำฝน น้ำโคลนที่มีเชื้อ ส่งผลให้เกิดอาการติดเชื้อที่กระจกตาหรือเยื่อบุของตา ทำให้รู้สึกปวดตา ตาแดง แพ้แสง น้ำตาไหล หากเป็นคนที่ใส่คอนแทคเลนส์หรือมีแผลที่ตามาก่อนก็อาจทำให้อาการรุนแรงมากขึ้น คนที่ชอบกินปลาดิบชนิดต่าง ๆ มีความเสี่ยงต่อโรคนี้ เพราะพยาธิอะนิซาคิเอซิสพบได้ในตัวปลาทะเล เช่น ปลาคอด ปลาแซลมอน ปลาเฮอริ่ง ปลาดาบเงิน ปลาทูแขก เป็นต้น หากกินปลาดิบที่มีตัวอ่อนของพยาธิเข้าไปจะมีอาการปวดท้องบริเวณลิ้นปี่ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย รวมถึงมีเลือดออกในกระเพาะอาหารหรือถ่ายเป็นเลือดร่วมด้วย บางครั้งอาจเข้าใจผิดว่าเป็นโรคแผลในกระเพาะอาหาร ดังนั้น ต้องส่องกล้องตรวจดูถึงจะพบตัวอ่อนของพยาธิในกระเพาะอาหาร วิธีรักษาโรคที่เกิดจากปรสิตโดยส่วนใหญ่จะรักษาตามชนิดของปรสิตที่ได้รับมา และรักษาตามอาการของแต่ละบุคคล ซึ่งอาจจะได้รับยากำจัดพยาธิ หรือวิธีอื่น ๆ ตามที่แพทย์เห็นสมควร เราสามารถป้องกันตัวเองจากโรคที่มีปรสิตเป็นพาหะได้ง่าย ๆ ดังนี้ รับประทานอาหารปรุงสุกด้วยความร้อนทั้งเนื้อสัตว์และผักต่าง ๆ ดื่มน้ำที่สะอาด หากไม่แน่ใจกับการกรองน้ำ ควรดื่มน้ำต้มสุก หมั่นล้างมือให้สะอาด โดยเฉพาะก่อนรับประทานอาหาร ขับถ่ายในห้องน้ำที่ถูกสุขลักษณะ หลีกเลี่ยงการเดินเท้าเปล่าบนพื้นหญ้าหรือพื้นดินต่าง ๆ หากมีแผลบนร่างกาย ควรงดสัมผัสแหล่งน้ำธรรมชาติ หรือแอ่งดินโคลนต่าง ๆ หลีกเลี่ยงการสัมผัสคนหรือสัตว์ที่เป็นโรค รวมทั้งสัตว์ป่า ไม่ใช้สิ่งของส่วนตัวร่วมกัน เช่น ผ้าเช็ดตัว ผ้าห่ม แก้วน้ำ และหมั่นทำความสะอาดของใช้ส่วนตัวอยู่เสมอ รักษาสุขอนามัยของตัวเองและรอบ ๆ ที่อยู่อาศัย ปรสิตแม้จะตัวเล็ก แต่ก็ก่อโรคให้เราได้มากมาย ดังนั้น หากเป็นคนที่ชอบกินอาหารสุก ๆ ดิบ ๆ เป็นประจำ หรือชอบเดินเท้าเปล่า และมีอาการต้องสงสัยว่าอาจติดเชื้อปรสิต แนะนำให้ไปพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกายสักครั้ง เผื่อว่าติดเชื้อปรสิตขึ้นมาจริง ๆ จะได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ล้างตาด้วยน้ำประปา อันตรายไหม เสี่ยงเชื้อปรสิตขึ้นตา จริงหรือ ? รู้จักไวรัสเห็บ (SFTS) โรคที่ติดต่อจากคนสู่คนได้ ! เปิดเหตุผลที่คนไทยไม่ควรบี้เห็บหมา ไม่ใช่เพราะยิ่งบี้ยิ่งแพร่พันธุ์ เข้าใจผิดมาตลอด รู้เรื่องพยาธิ อาการแบบไหนต้องสงสัยว่ามีพยาธิ ใช้ยาถ่ายพยาธิดีไหม ? พยาธิปอดหนู กินเมนูไหนเสี่ยงพลาดท่าพยาธิไชตา ทำตาบอดได้ ! ขอบคุณข้อมูลจาก : กรมควบคุมโรค, โรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน, คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, มหาวิทยาลัยบูรพา, โรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน, กองสุขศึกษา กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ, สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข, วงการแพทย์
แสดงความคิดเห็น