น้ำมันปลากับน้ำมันตับปลา ความแตกต่างนี้ไม่ได้มีแค่ชื่อที่ฟังดูคล้ายกันเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงแหล่งที่มา สารอาหาร และประโยชน์ที่ได้รับอีกด้วย น้ำมันปลา ยี่ห้อไหนดี ปี 2568 ใครกำลังอยากได้ประโยชน์ของน้ำมันปลามาช่วยดูแลสุขภาพ อยากชวนมาทำความเข้าใจให้เคลียร์ก่อนไปหาซื้อ เพราะหลายคนมักสับสนระหว่าง น้ำมันปลา และ น้ำมันตับปลา คิดว่าเป็นสิ่งเดียวกัน แต่จริง ๆ เป็นสารอาหารคนละส่วน และให้ประโยชน์แตกต่างกันอย่างชัดเจน ส่วนรายละเอียดจะเป็นยังไง มาเริ่มอ่านกันเลย น้ำมันปลา (Fish oil) คือ น้ำมันที่สกัดจากส่วนต่าง ๆ เช่น เนื้อปลา หนังปลา หางของปลาทะเลน้ำลึก เช่น ปลาทูน่า ปลาแมคเคอเรล ปลาแซลมอน ปลาแอนโชวี่ จึงอุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 ได้แก่ EPA และ DHA ซึ่งดีต่อสุขภาพสมอง หัวใจ และมีส่วนช่วยลดการอักเสบ ในขณะที่น้ำมันตับปลา (Cod Liver oil) คือ น้ำมันที่ได้จากการสกัดไขมันจากตับของปลาทะเลน้ำลึกเพียงส่วนเดียว มักนิยมใช้ปลาค็อด ซึ่งจะให้ไขมันโอเมก้า 3 เช่นกัน แต่จะน้อยกว่าในน้ำมันปลา ทว่าสิ่งที่จะได้เพิ่มจากน้ำมันตับปลาไปด้วยก็คือ วิตามินเอและวิตามินดีในปริมาณค่อนข้างสูง ซึ่งช่วยดูแลสุขภาพดวงตา กระดูก และระบบภูมิคุ้มกันของเราได้ จะเห็นได้ว่าน้ำมันปลา สรรพคุณหลัก ๆ คือ มีกรดไขมันโอเมก้า 3 สูง ช่วยส่งเสริมการทำงานของสมอง ซึ่งเป็นสารอาหารที่หลายคนให้ความสำคัญในยุคปัจจุบัน เราจึงจะมาเจาะลึกกันถึงประโยชน์ของน้ำมันปลา รวมถึงวิธีการเลือกซื้อและยี่ห้อที่น่าสนใจในปี 2568 กันต่อ ประโยชน์ของน้ำมันปลา มาจากกรดไขมันโอเมก้า 3 ดีต่อสุขภาพหลายประการ เช่น เสริมสร้างการทำงานของสมองและระบบประสาท ช่วยเรื่องการจดจำ จึงมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของโรคอัลไซเมอร์และภาวะสมองเสื่อม มีส่วนช่วยลดการอักเสบในร่างกาย ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคต่าง ๆ เช่น โรคข้ออักเสบ โรคภูมิแพ้ตัวเอง (SLE) มีส่วนช่วยลดระดับไตรกลีเซอไรด์ หรือไขมันตัวร้าย จึงลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด กรดไขมันโอเมก้า 3 เป็นส่วนประกอบของเรตินาและจอประสาท การได้รับโอเมก้า 3 อย่างเพียงพอมีส่วนช่วยในเรื่องการมองเห็น ลดอาการตาแห้งและลดความเสี่ยงของโรคจอประสาทตาเสื่อม ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและลดการอักเสบของผิวหนัง อย่างไรก็ตาม ร่างกายเราไม่สามารถผลิตกรดไขมันโอเมก้า 3 ขึ้นมาเองได้ จึงต้องรับประทานอาหารที่มีโอเมก้า 3 เช่น ปลาทะเล หอยนางรม เมล็ดเจีย เมล็ดแฟลกซ์ หรือผลิตภัณฑ์อาหารเสริมน้ำมันปลา เพื่อให้ได้รับโอเมก้า 3 อย่างน้อย 250-500 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งเป็นปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการในแต่ละวัน มาติวกันก่อนว่า ถ้าจะซื้อน้ำมันปลามารับประทาน ควรพิจารณาอะไรบ้าง เช่น ควรเลือกซื้อน้ำมันปลาที่มาจากปลาทะเลน้ำลึก เช่น ปลาแมคเคอเรล ปลาทูน่า ปลาแซลมอน จากแหล่งธรรมชาติ ควรเลือกซื้อน้ำมันปลาที่มีปริมาณโอเมก้า 3 สูง โดยเฉพาะ EPA และ DHA ที่ควรมีมากกว่า 250 มิลลิกรัมขึ้นไป ซึ่งเป็นปริมาณที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน ควรเลือกน้ำมันปลาที่ผ่านการกลั่นโมเลกุลเพื่อลดสารพิษ เช่น ปรอทและโลหะหนัก หรือผ่านการทดสอบและรับรองว่าปราศจากสารปนเปื้อน น้ำมันปลามีหลายรูปแบบ เช่น ซอฟต์เจล แคปซูล และแบบน้ำ ควรเลือกรูปแบบที่เหมาะสมกับความต้องการ คือ แบบซอฟต์เจล : เป็นที่นิยมมากที่สุด เพราะกลืนง่าย ลื่นคอ ไม่ค่อยมีกลิ่นคาว และบางยี่ห้ออาจเคลือบสารพิเศษที่ช่วยให้ซอฟต์เจลแตกตัวในลำไส้เล็ก ทำให้ได้ประโยชน์จากน้ำมันปลาเต็มที่ แต่ข้อเสียคือมีราคาสูงกว่าแบบอื่น แบบแคปซูล : เม็ดมีขนาดเล็กกว่าซอฟต์เจล ราคาถูกกว่า แต่อาจมีกลิ่นคาวมากกว่าซอฟต์เจล และแคปซูลอาจแตกตัวในกระเพาะอาหาร ทำให้มีอาการคลื่นไส้ เรอ แน่นท้องได้ แบบน้ำ : เหมาะสำหรับคนที่ไม่ชอบกลืนยาเม็ด สามารถปรับปริมาณการรับประทานได้ตามต้องการ แต่มีรสชาติคาวกว่าแบบอื่น และไม่สะดวกต่อการพกพา อีกทั้งอาจสูญเสียคุณค่าทางอาหารไปบ้าง เพราะตัวน้ำมันปลาสัมผัสกับอากาศโดยตรง ถ้าไม่ชอบกลิ่นคาวของน้ำมันปลา ลองมองหาน้ำมันปลาสูตรไร้กลิ่น เลือกซื้อน้ำมันปลาที่ไม่ใช้วัตถุกันเสีย ไม่มีสารเติมแต่งต่าง ๆ ไม่มีสีสังเคราะห์ เพื่อลดความเสี่ยงต่อการแพ้สารเคมี พิจารณาส่วนประกอบอื่น ๆ ที่ผสมมาในน้ำมันปลาว่าเป็นสารอาหารที่เราต้องการ หรือมีอาการแพ้อาหารเหล่านี้หรือไม่ เนื่องจากบางยี่ห้ออาจเติมวิตามินอี กรดไขมันโอเมก้า 9 หรือมีส่วนผสมของน้ำมันถั่วเหลือง กลูเตน เป็นต้น ตรวจสอบสินค้าว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมาตรฐาน มีเลข อย. หรือได้มาตรฐาน GMP, HACCP หรือผ่านการรับรองจากองค์กรสากล สภาพผลิตภัณฑ์ต้องสมบูรณ์ ฝาปิดสนิท บรรจุภัณฑ์ไม่ฉีกขาดหรือชำรุด ระบุวันผลิตและวันหมดอายุชัดเจน ลองเลือกพิจารณาน้ำมันปลาตามข้อมูลคร่าว ๆ ข้างต้นเสร็จแล้ว เรามาต่อกันที่น้ำมันปลายี่ห้อมาแรงในปี 2568 เลยดีกว่า น้ำมันปลายี่ห้อต่อไปนี้ กำลังได้รับความนิยมในตลาด ลองมาดูรีวิวกันเลย น้ำมันปลาชนิดไร้กลิ่นจากสวิสเซ แบรนด์อาหารเสริมจากออสเตรเลีย ตัวนี้เป็นแคปซูลแบบนิ่ม รับประทานง่าย และไม่มีกลิ่นคาวปลาให้ต้องกังวล ใน 1 แคปซูล อัดน้ำมันปลามาให้ 1,000 มิลลิกรัม ประกอบด้วย EPA 180 มิลลิกรัม และ DHA 120 มิลลิกรัม จัดว่าเป็นน้ำมันปลาที่ให้กรดไขมันโอเมก้า 3 สูงตามมาตรฐาน วิธีรับประทาน : วันละ 1-3 แคปซูล หลังอาหารและดื่มน้ำตามมาก ๆ ราคาปกติ : 1,200 บาท (บรรจุ 200 แคปซูล) น้ำมันปลาขนาด 500 มิลลิกรัม ยี่ห้อ Amsel จุดเด่นคือบรรจุมาในแคปซูลแบบนิ่ม เม็ดเล็ก ง่ายต่อการรับประทาน ใน 1 แคปซูลจะให้ EPA 180 มิลลิกรัม และ DHA 120 มิลลิกรัม และแม้จะไม่ใช่สูตรไร้กลิ่นคาวปลา แต่ก็ถือว่ามีกลิ่นคาวปลาน้อยมาก กลืนไม่ยากจนเกินไป วิธีรับประทาน : วันละ 1 แคปซูล พร้อมมื้ออาหาร ราคาปกติ : 400 บาท (บรรจุ 75 แคปซูล) น้ำมันปลาขวดใหญ่บึ้ม ยี่ห้อ Kirkland Signature จากสหรัฐอเมริกา มาในรูปแคปซูลซอฟต์เจลที่อัดน้ำมันปลาจากปลาทะเลน้ำในลึกแหล่งธรรมชาติมาแน่น ๆ 1,000 มิลลิกรัม ให้ EPA 180 มิลลิกรัม และ DHA 120 มิลลิกรัม ขวดนี้เป็นสูตรไร้กลูเตน ไม่แต่งสี ไม่ปรุงแต่งรสชาติเทียม จึงไม่มีรสชาติ และกลิ่นคาวปลาก็ค่อนข้างน้อย แถมบรรจุมาให้ถึง 400 แคปซูล กินยาว ๆ ได้เลย วิธีรับประทาน : รับประทานครั้งละ 1 ซอฟต์เจล วันละ 2 ครั้ง พร้อมมื้ออาหาร ราคาประมาณ : 960 บาท (บรรจุ 400 ซอฟต์เจล) น้ำมันปลาจากแบรนด์ CEO Factory ยี่ห้อนี้ผลิตที่ประเทศเกาหลี และเป็นน้ำมันปลาที่ให้กรดไขมันโอเมก้า 3 ค่อนข้างสูงเลยทีเดียว โดยใน 1 แคปซูลจะได้น้ำมันปลาในรูปเอทิลเอสเตอร์เข้มข้น 1,400 มิลลิกรัม มี EPA 540 มิลลิกรัม DHA 360 มิลลิกรัม และ DL-Alpha-Tocopherol 6 มิลลิกรัม และเขายังแต่งกลิ่นเลมอนมาช่วยให้รับประทานง่ายขึ้นด้วย วิธีรับประทาน : วันละ 1 แคปซูล พร้อมมื้ออาหาร ราคาปกติ : 1,190 บาท (บรรจุ 60 แคปซูล) อีกหนึ่งยี่ห้อน้ำมันปลาที่ให้กรดไขมันโอเมก้า 3 สูง เพราะสกัดมาจากเนื้อปลาทะเลหลายชนิด โดยใน 1 แคปซูล มีน้ำมันปลา 1,333.333 มิลลิกรัม ให้กรดไขมันโอเมก้า 3 ในปริมาณ 1,000 มิลลิกรัม แบ่งเป็น EPA ตามเลขบนผลิตภัณฑ์ คือ 734 มิลลิกรัม และ DHA 266 มิลลิกรัม นอกจากนี้ยังเป็นสูตรปราศจากคาวปลา และเป็นแคปซูลนิ่มชนิดเคลือบฟิล์มแบบเอนเทอริกที่ไม่ระคายเคืองกระเพาะอาหารอีกด้วย วิธีรับประทาน : วันละ 1 แคปซูล ราคาปกติ : 2,500 บาท (บรรจุ 60 แคปซูล) น้ำมันปลายี่ห้อเฮอร์บาไลฟ์ ที่มาในรูปแบบแคปซูลซอฟต์เจล ประกอบด้วยน้ำมันปลา 758 มิลลิกรัม ให้กรดไขมัน EPA 185 มิลลิกรัม และ DHA 128 มิลลิกรัม ซึ่งก็ถือว่าให้โอเมก้า 3 สูงกว่าทั่วไปเล็กน้อย และยังมีวิตามินอีเสริมมาด้วย เวลารับประทานจะได้กลิ่นสมุนไพรบนแคปซูลอย่างน้ำมันไทม์ น้ำมันกานพลู และน้ำมันเปปเปอร์มินต์ ช่วยกลบกลิ่นคาวปลาให้รับประทานง่ายขึ้น วิธีรับประทาน : วันละ 1 แคปซูล พร้อมอาหาร ราคาปกติ : 2,500 บาท (บรรจุ 60 แคปซูล) ถ้าใครต้องการกรดไขมัน DHA มากเป็นพิเศษ ลองหยิบน้ำมันปลากิฟฟารีนขวดนี้ที่มี DHA 500 มิลลิกรัม EPA 100 มิลลิกรัม โดยใน 1 แคปซูลจะได้น้ำมันปลาขนาด 1,000 มิลลิกรัม มาพิจารณาก็ได้ ส่วนกลิ่นและรสชาติเท่าที่มีรีวิวก็จัดว่ากินไม่ยาก มีกลิ่นคาวปลาค่อนข้างน้อย วิธีรับประทาน : วันละ 1 แคปซูล หลังอาหาร ราคาปกติ : 620 บาท (บรรจุ 30 แคปซูล) แบรนด์อาหารเสริมที่กำลังมาแรงอย่าง Dr. Pong ก็มีน้ำมันปลาเช่นกัน เป็นสูตรที่ปราศจากกลิ่นคาวและผสมกลิ่นมินต์ให้รับประทานง่าย อีกทั้งยังเพิ่มวิตามินอีมาให้ด้วย โดยใน 1 แคปซูลจะประกอบไปด้วยน้ำมันปลา 1,000 มิลลิกรัม ซึ่งให้ EPA 180 มิลลิกรัม และ DHA 120 มิลลิกรัม พร้อมด้วยวิตามินอีอีก 15 หน่วยสากล และเป็นอีกแบรนด์ที่ชอบจัดโปรฯ บ่อย ๆ ด้วยนะ วิธีรับประทาน : วันละ 1 แคปซูล พร้อมอาหาร ราคาปกติ : 1,000 บาท (บรรจุ 75 แคปซูล) ส่วนใหญ่จะแนะนำให้รับประทานน้ำมันปลาพร้อมอาหารหรือหลังอาหาร เพื่อให้ร่างกายดูดซึมได้ดีขึ้น แต่ทั้งนี้ก็ควรอ่านวิธีรับประทานบนฉลากผลิตภัณฑ์แต่ละยี่ห้อแล้วกินตามนั้น เพื่อให้น้ำมันปลาปล่อยประสิทธิภาพออกมาได้เต็มที่ ที่สำคัญอย่าลืมอ่านข้อควรระวังก่อนรับประทานน้ำมันปลาด้วย น้ำมันปลาอาจไม่ได้เหมาะสำหรับทุกคน หรือในบางคนก็ควรต้องระวัง เช่น ผู้ที่แพ้ปลาทะเล ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานน้ำมันปลา ผู้ที่แพ้อาหารบางชนิด เช่น ถั่วเหลือง กลูเตน เจลาติน ควรระวังการรับประทานน้ำมันปลา เพราะบางยี่ห้อมีส่วนผสมของอาหารเหล่านี้ ผู้ที่มีความดันโลหิตต่ำไม่ควรรับประทานน้ำมันปลา เพราะอาจทำให้ระดับความดันโลหิตลดลง ควรระวังในการใช้ในผู้ป่วยที่มีประวัติเกี่ยวกับความผิดปกติในการแข็งตัวของเลือดและผู้ที่มีประวัติการชัก ไม่ควรใช้ร่วมกับยาต้านการแข็งตัวของเลือดทุกชนิด เช่น Warfarin หรือแอสไพริน น้ำมันปลาอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ท้องเสีย คลื่นไส้ หรือเรอมีกลิ่นคาวปลา จึงควรเริ่มกินในปริมาณน้อยก่อน แล้วค่อยเพิ่มปริมาณเมื่อไม่มีอาการผิดปกติ ควรเก็บน้ำมันปลาในที่ที่อุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียส และหลีกเลี่ยงการโดนแสงแดดหรือความชื้น เพื่อป้องกันน้ำมันปลาเสื่อมประสิทธิภาพ ในรายที่รับประทานน้ำมันปลาติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน หากต้องได้รับการผ่าตัด ควรหยุดรับประทานก่อนรับการผ่าตัดอย่างน้อย 15 วัน เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะเลือดแข็งตัวช้า เด็ก สตรีมีครรภ์ สตรีให้นมบุตร หรือมีโรคประจำตัว ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานน้ำมันปลา ไม่ควรรับประทานน้ำมันปลาเพื่อหวังผลในการป้องกันและรักษาโรค อาหารเสริมน้ำมันปลามีวางจำหน่ายหลากหลายยี่ห้อ ดังนั้น ลองพิจารณาจากรีวิวข้างต้นไปคร่าว ๆ ก็ได้ หากสนใจยี่ห้อไหนเป็นพิเศษ สามารถไปเลือกหาหรือปรึกษาเภสัชกรให้ช่วยแนะนำอีกทางก็จะยิ่งดี น้ำมันปลาไม่ควรกินคู่กับอะไร กินคู่กับวิตามินซีได้ไหม ควรกินตอนไหนให้ได้ประโยชน์ Fish oil น้ำมันปลา ประโยชน์ดียังไง บํารุงสมองได้จริงไหม กินยี่ห้อไหนดี น้ำมันปลา อาหารเสริมสุดฮิต ที่ช่วยสร้างกล้ามเนื้อและลดไขมันสะสมได้ น้ำมันปลาสำหรับคนท้อง ยี่ห้อไหนดี ? แนะนำ 10 น้ำมันปลาบำรุงครรภ์ ที่คุณแม่ห้ามพลาด ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก : Swisse Thailand, amselnutraceutical.com, shopee, CEO Factory, GNC, herbalife.com, giffarine.com, drpong.store
แสดงความคิดเห็น