แคลเซียม ยี่ห้อไหนดี ปี 2025 ใครอยากดูแลกระดูกและฟันให้แข็งแรง มาลองดูคู่หูแคลเซียม-วิตามินดี พร้อมไขข้อสงสัยว่าแคลเซียมช่วยอะไร เลือกซื้อแบบไหนเหมาะกับตัวเอง และควรกินตอนไหนดีที่สุด เรารู้กันดีว่า "แคลเซียม" (Calcium) คือแร่ธาตุสำคัญที่ช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง แต่สิ่งที่หลายคนอาจไม่รู้คือ ร่างกายของเราสูญเสียแคลเซียมไปทุกวันจากพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น ไม่ค่อยออกกำลังกาย ไม่โดนแสงแดด รับประทานอาหารรสเค็มจัด หรือดื่มกาแฟ ชาเย็น น้ำอัดลม และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ ซึ่งล้วนส่งผลให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้น้อยลง ซ้ำยังขับแคลเซียมออกมากกว่าปกติ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่ออายุมากขึ้น ระดับแคลเซียมในร่างกายก็จะค่อย ๆ ลดลงตามวัยไปด้วย แม้จะพยายามรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง แต่ก็อาจยังไม่เพียงพอในแต่ละวัน หลายคนจึงมองหาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแคลเซียมมาเป็นตัวช่วยเติมแคลเซียมให้กับร่างกาย แล้วควรเลือกแบบไหนถึงเหมาะกับตัวเอง หรือเลือกแคลเซียม ยี่ห้อไหนดี กินตอนไหนดีที่สุด ชวนทุกคนตามมาศึกษาข้อมูลต่อด้านล่างนี้กันเลยค่ะ เนื่องจากแคลเซียมเป็นแร่ธาตุที่พบมากที่สุดในร่างกาย จึงมีบทบาทสำคัญที่ทำให้ทุกระบบในร่างกายทำงานได้อย่างสมดุล เช่น กระดูก : แคลเซียมช่วยเพิ่มความหนาแน่นของมวลกระดูก ทำให้กระดูกแข็งแรง หากได้รับไม่เพียงพอ ร่างกายจะดึงแคลเซียมจากกระดูกมาใช้ จนอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะกระดูกพรุน เหงือกและฟัน : ช่วยให้โครงสร้างของฟันแข็งแรง และคงสภาพของเนื้อเยื่อรอบฟัน เช่น เหงือก ให้ทำงานได้ตามปกติ ลดความเสี่ยงต่อโรคเหงือก ฟันผุ หรือโรคปริทันต์ กล้ามเนื้อ : ช่วยให้กล้ามเนื้อสามารถหดตัวและคลายตัวได้ตามปกติ ลดโอกาสเกิดอาการกล้ามเนื้อเกร็ง กระตุก หรือตะคริว หัวใจและหลอดเลือด : มีบทบาทในการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ ช่วยควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติ ระบบประสาท : ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการส่งสัญญาณประสาท ช่วยให้สมองและเซลล์ประสาทสื่อสารกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ระบบเลือด : แคลเซียมเป็นส่วนสำคัญในกระบวนการแข็งตัวของเลือด ช่วยให้เกล็ดเลือดเกาะกลุ่มกัน ทำให้แผลสมานตัวตามธรรมชาติ และควบคุมความเป็นกรด-ด่างภายในเลือด ระบบเอนไซม์ : แคลเซียมทำหน้าที่เป็นโคแฟกเตอร์ที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์หลายชนิด เมื่อร่างกายขาดแคลเซียม เอนไซม์บางชนิดจะทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ซึ่งอาจส่งผลต่อระบบการทำงานต่าง ๆ เช่น การแข็งตัวของเลือด การย่อยอาหาร หรือการส่งสัญญาณภายในเซลล์ เป็นต้น ระบบภูมิคุ้มกัน : แคลเซียมมีส่วนช่วยให้เซลล์ภูมิคุ้มกัน เช่น เม็ดเลือดขาว ทำงานได้ตามปกติ ส่งผลให้ร่างกายตอบสนองต่อสิ่งแปลกปลอมได้อย่างเหมาะสม ดังจะเห็นได้ว่า แคลเซียมไม่เพียงเป็นส่วนประกอบหลักของกระดูกและฟันเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับการทำงานของกล้ามเนื้อ หัวใจ ระบบประสาท การแข็งตัวของเลือด และการทำงานของเอนไซม์ต่าง ๆ ในร่างกาย จึงถือเป็นแร่ธาตุที่สำคัญต่อทุกช่วงวัย ร่างกายของคนแต่ละช่วงวัยย่อมมีความต้องการแคลเซียมไม่เท่ากันค่ะ โดยกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ได้แนะนำปริมาณแคลเซียมที่ควรได้รับจำแนกตามอายุและเพศไว้ ดังนี้ เด็กเล็ก (อายุ 1-3 ขวบ) ควรได้รับแคลเซียมประมาณ 500 มิลลิกรัม/วัน เด็ก (อายุ 4-8 ขวบ) ควรได้รับแคลเซียมประมาณ 800 มิลลิกรัม/วัน วัยรุ่น (อายุ 9-18 ปี) ควรได้รับแคลเซียมประมาณ 1,000 มิลลิกรัม/วัน ผู้ใหญ่ (อายุ 19-50 ปี) ควรได้รับแคลเซียมประมาณ 800 มิลลิกรัม/วัน ผู้สงอายุ (อายุ 51 ปีขึ้นไป) ควรได้รับแคลเซียมประมาณ 1,000 มิลลิกรัม/วัน หญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตร ควรได้รับแคลเซียมประมาณ 1,200 มิลลิกรัม/วัน หรือมากกว่า ทั้งนี้ ร่างกายควรได้รับแคลเซียมให้เพียงพอตามความต้องการ แต่ไม่ควรเกิน 1,500 มิลลิกรัม/วัน โดยเราสามารถเพิ่มแคลเซียมได้จากการรับประทานอาหารในชีวิตประจำวัน เช่น นมวัว ปลาเล็กปลาน้อย กุ้งแห้ง ชีส เต้าหู้ งาดำ ผักคะน้า ตำลึง และใบชะพลู เป็นต้น ทว่าในความเป็นจริงแล้วร่างกายสามารถดูดซึมแคลเซียมจากอาหารได้เพียงประมาณ 20-30% เท่านั้น โดยอัตราการดูดซึมนี้อาจแตกต่างกันไปตามหลายปัจจัย เช่น ชนิดและปริมาณของอาหาร อายุ รวมถึงระดับวิตามินดีในร่างกาย ซึ่งหากได้รับแคลเซียมจากอาหารไม่เพียงพอในระยะยาวอาจทำให้ร่างกายขาดแคลเซียมโดยไม่รู้ตัว เมื่อแคลเซียมในเลือดต่ำกว่าปกติ ร่างกายมักจะแสดงอาการเตือนเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่พอให้เราสังเกตเห็นได้ เช่น เป็นตะคริวบ่อยหรือรู้สึกกล้ามเนื้อกระตุก : เมื่อระดับแคลเซียมในเลือดลดลง กล้ามเนื้อจะหดตัวผิดปกติ ทำให้เกิดอาการตะคริว เกร็ง หรือกระตุกโดยไม่ทราบสาเหตุ โดยเฉพาะบริเวณขาและน่อง ชาปลายมือ ปลายเท้า : แคลเซียมมีบทบาทในการส่งสัญญาณประสาท หากมีน้อยเกินไป เส้นประสาทจะทำงานได้ไม่เต็มที่ จึงเกิดอาการชาหรือรู้สึกซ่าตามนิ้วมือ นิ้วเท้า อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย สมองล้า : ภาวะแคลเซียมต่ำอาจทำให้ระดับพลังงานในร่างกายลดลง ส่งผลให้รู้สึกอ่อนแรง เหนื่อยง่าย ปวดเมื่อย หรือเวียนศีรษะบ่อย ผมร่วง เล็บเปราะ ฟันโยก : เมื่อร่างกายขาดแคลเซียมก็จะดึงแคลเซียมจากกระดูกมาใช้ ทำให้ผมร่วงเยอะ เล็บเปราะ อ่อนแอ หรือมีฟันผุบ่อย กระดูกบางและหักง่าย : การขาดแคลเซียมต่อเนื่องเป็นเวลานานส่งผลให้มวลกระดูกลดลง ทำให้กระดูกบาง เปราะ และเสี่ยงต่อการหักง่ายขึ้น นอนไม่หลับ : แคลเซียมช่วยให้สมองเปลี่ยนกรดอะมิโนทริปโตเฟน (Tryptophan) ให้เป็นเมลาโทนิน (Melatonin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนควบคุมการนอนหลับ หากขาดแคลเซียมอาจทำให้นอนหลับยากหรือหลับไม่สนิท หัวใจเต้นผิดปกติ : แคลเซียมมีส่วนสำคัญในการควบคุมการทำงานของหัวใจ หากขาดอาจทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะหรือเต้นไม่สม่ำเสมอ อาการเหล่านี้เป็นสัญญาณเตือนสำคัญที่ไม่ควรละเลย แม้เราจะพยายามรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง แต่ถ้าร่างกายดูดซึมได้ไม่ดีก็อาจได้รับแคลเซียมไม่เพียงพออยู่ดีค่ะ ซึ่งหนึ่งตัวช่วยสำคัญในการดูดซึมแคลเซียมก็คือ วิตามินดี นั่นเอง รู้ไหมว่า..ต่อให้เรารับประทานแคลเซียมมากแค่ไหน แต่ถ้าร่างกายขาดวิตามินดีก็อาจดูดซึมแคลเซียมได้ไม่เต็มที่ เพราะวิตามินดีมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ลำไส้เล็กดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้นถึง 30-40% ส่งผลให้ร่างกายสามารถนำแคลเซียมไปใช้ในการสร้างและคงสภาพของกระดูกได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งนี้ โดยทั่วไปร่างกายควรได้รับวิตามินดีวันละประมาณ 400-600 หน่วยสากล (IU) ซึ่งสามารถได้รับจากการสัมผัสแสงแดดอ่อน ๆ ในตอนเช้า รวมถึงรับประทานอาหารที่เป็นแหล่งของวิตามินดี เช่น ไข่แดง นม ตับ เนย ชีส ปลาคอด ปลาแซลมอน ปลาทู ปลาทูน่า เห็ดหอม และเห็ดนางฟ้า อย่างไรก็ตาม คนไทยจำนวนไม่น้อยมีภาวะขาดวิตามินดีโดยไม่รู้ตัว เนื่องจากหลีกเลี่ยงการออกแดด ทาครีมกันแดดก่อนออกนอกบ้าน หรือทำงานอยู่ในที่ร่มเป็นส่วนใหญ่ จึงทำให้ร่างกายได้รับวิตามินดีไม่เพียงพอในแต่ละวัน ดังนั้น หากต้องเลือกซื้อผลิตภัณฑ์เสริมแคลเซียม ควรพิจารณาเลือกสูตรที่มีวิตามินดีเสริมมาพร้อมกันด้วย เพื่อช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้ดียิ่งขึ้น เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับความต้องการของแต่ละคน มาดูกันว่าถ้าจะเลือกซื้อแคลเซียมควรพิจารณาจากอะไรบ้าง แคลเซียมที่ใช้ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมีหลายชนิด ซึ่งแต่ละแบบจะมีความเหมาะสมแตกต่างกันไป เช่น แคลเซียมคาร์บอเนต : เป็นชนิดที่พบได้บ่อยที่สุด ให้แคลเซียมสุทธิสูงในราคาย่อมเยา โดยร่างกายต้องอาศัยกรดในกระเพาะช่วยย่อย จึงควรรับประทานพร้อมอาหารเพื่อให้ดูดซึมได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม อาจทำให้บางคนมีอาการท้องผูกได้ แคลเซียมซิเตรต : ดูดซึมได้ดีแม้ในขณะท้องว่าง สามารถรับประทานเวลาใดก็ได้ เหมาะกับผู้ที่มีกรดในกระเพาะต่ำหรือมีปัญหาเรื่องการย่อยอาหาร แต่ราคาจะสูงกว่าแบบคาร์บอเนตเล็กน้อย แคลเซียม อะมิโน แอซิด คีเลต : เป็นแคลเซียมที่อยู่ในรูปที่จับกับกรดอะมิโน ทำให้ละลายน้ำได้ดีและดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายโดยไม่ต้องอาศัยวิตามินดี เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาการดูดซึมหรือผู้สูงอายุ แคลเซียม แอล-ทรีโอเนต : แคลเซียมรูปแบบใหม่ที่ดูดซึมได้สูงถึง 90-95% ช่วยลดผลข้างเคียงในระบบทางเดินอาหารและลดอาการท้องผูก เหมาะกับกลุ่มเสี่ยงภาวะกระดูกพรุน เช่น หญิงวัยหมดประจำเดือนหรือผู้สูงอายุ แต่มีราคาสูงกว่าแคลเซียมชนิดอื่น แคลเซียมจากปะการัง : ได้จากปะการังธรรมชาติ ซึ่งมีแร่ธาตุอื่น ๆ เช่น แมกนีเซียม และสังกะสีร่วมอยู่ด้วย ช่วยเสริมสมดุลแร่ธาตุในร่างกาย อย่างไรก็ตาม ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ผ่านกระบวนการตรวจสอบความปลอดภัยและไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม วิตามินดีช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมจากลำไส้เข้าสู่กระแสเลือดได้ดียิ่งขึ้น จึงควรเลือกแคลเซียมที่มีวิตามินดี โดยเฉพาะวิตามินดี 3 หรือ Cholecalciferol เสริมมาให้ครบในเม็ดเดียว เพื่อความสะดวกในการรับประทาน บนฉลากผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมักระบุชื่อของสารประกอบแคลเซียม เช่น แคลเซียมคาร์บอเนต 1,500 มิลลิกรัม แต่ไม่ได้หมายความว่าร่างกายจะได้รับแคลเซียมทั้งหมด 1,500 มิลลิกรัมนะคะ เพราะแคลเซียมที่ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้จริง เรียกว่า "แคลเซียมสุทธิ" (Elemental Calcium) มีเพียงประมาณ 40% ของน้ำหนักเท่านั้น เช่น แคลเซียมคาร์บอเนต 1,500 มิลลิกรัม จะให้แคลเซียมสุทธิประมาณ 600 มิลลิกรัม ดังนั้น เวลาซื้อควรอ่านฉลากให้ชัดเจน เพื่อจะได้ทราบปริมาณที่รับประทานว่าตรงกับความต้องการของร่างกายในแต่ละวันหรือไม่ เช่น แคลเซียมที่บรรจุภายในแคปซูลนิ่มหรือแบบเม็ดฟู่จะละลายและดูดซึมได้รวดเร็วกว่าแคลเซียมแบบเม็ดแข็ง ส่งผลให้สารภายในถูกปลดปล่อยได้เร็วกว่า และยังกลืนง่าย ช่วยให้คนที่กลืนยาหรือวิตามินลำบาก รับประทานได้สะดวกขึ้น นอกจากวิตามินดีแล้ว ผลิตภัณฑ์แคลเซียมบางสูตรยังเติมแมกนีเซียม สังกะสี หรือวิตามินเค ซึ่งมีส่วนช่วยให้ร่างกายนำแคลเซียมไปใช้ได้ดียิ่งขึ้น จึงควรพิจารณาว่าต้องการสารอาหารเหล่านี้ด้วยหรือไม่ เพราะราคาอาจจะแพงกว่าแบรนด์ที่มีเฉพาะแคลเซียมกับวิตามินดี ควรอ่านฉลากให้ละเอียดว่าผลิตภัณฑ์มีส่วนประกอบใดบ้าง โดยเฉพาะคนที่มีอาการแพ้แล็กโทส เจลาติน หรือ อาหารทะเล ควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมเหล่านี้ เช่น คอลลาเจนจากปลา รวมถึงตรวจสอบว่าไม่มีสารแต่งสี แต่งกลิ่น หรือสารกันเสีย ที่อาจก่อให้เกิดอาการแพ้ ควรเลือกแบรนด์ที่มีมาตรฐานการผลิตที่เชื่อถือได้ ผ่านการตรวจสอบคุณภาพ ปราศจากสารปนเปื้อน และมีเลขทะเบียน อย. ระบุบนฉลากอย่างชัดเจน เพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ แคลเซียมเสริมจำเป็นต้องรับประทานอย่างต่อเนื่อง จึงควรเลือกสูตรที่รับประทานง่าย ไม่ระคายเคืองกระเพาะอาหาร และมีราคาที่เหมาะสมกับการรับประทานในระยะยาว มาถึงตรงนี้ถ้าใครอยากเสริมแคลเซียมและวิตามินดีให้กับร่างกาย แต่เลือกไม่ถูกว่าจะซื้อแบรนด์ไหนดี ลองพิจารณาจากข้อมูลด้านล่างนี้ดูก่อนเลย MEGA We care CALCIUM-D เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแคลเซียมที่ได้รับความนิยมติดอันดับต้น ๆ เลยค่ะ โดยแต่ละแคปซูลมีส่วนประกอบของแคลเซียมคาร์บอเนต 1,500 มิลลิกรัม เทียบเท่ากับแคลเซียมสุทธิ 600 มิลลิกรัม มาในรูปแบบแคลเซียมเหลว บรรจุภายในแคปซูลนิ่ม กลืนง่าย ร่างกายสามารถดูดซึมได้ทันที อีกทั้งยังเสริมด้วยวิตามินดี 3 ปริมาณ 200 หน่วยสากล (IU) ที่มีส่วนช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซึมแคลเซียมให้เข้าสู่ร่างกายได้ดียิ่งขึ้นด้วย MEGA We care CALCIUM-D จึงเหมาะสำหรับคนที่ต้องการดูแลสุขภาพของกระดูกและฟันให้แข็งแรงตามปกติ รวมถึงคนที่ได้รับแคลเซียมจากอาหารไม่เพียงพอ หรืออยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อภาวะกระดูกพรุน รับประทานวันละ 1-2 แคปซูล ก็ช่วยให้ร่างกายได้รับแคลเซียมเพียงพอต่อความต้องการในแต่ละวันแล้ว วิธีรับประทาน : วันละ 1-2 แคปซูล หลังอาหาร ราคาปกติ : 240 บาท (60 แคปซูล) เอดับเบิ้ลยูแอล ลิควิด แคลเซียม (Auswelllife AWL Liquid Calcium) นำเข้าจากประเทศออสเตรเลีย เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่ใช้แคลเซียมชนิดเหลว ช่วยให้ร่างกายดูดซึมไปใช้ได้เร็วขึ้น โดยใน 1 แคปซูล ประกอบด้วยแคลเซียมคาร์บอเนต 875 มิลลิกรัม ซึ่งให้แคลเซียมสุทธิ 350 มิลลิกรัม และยังมีวิตามินดี 3 อีก 0.0025 มิลลิกรัม เพื่อช่วยเสริมการดูดซึมแคลเซียม เหมาะกับทุกวัยที่ได้รับแคลเซียมในแต่ละวันไม่เพียงพอ วิธีรับประทาน : วันละ 1 แคปซูล ราคาปกติ : 1,990 บาท (60 แคปซูล) วัตสัน (Watsons) ก็มีผลิตภัณฑ์เสริมอาหารภายใต้แบรนด์ของตัวเองเช่นกัน อย่างแคลเซียมสูตรนี้ที่มีส่วนประกอบของแคลเซียมคาร์บอเนต 1,326.32 มิลลิกรัม ให้แคลเซียมสุทธิ 500 มิลลิกรัมต่อเม็ด พร้อมเสริมด้วยวิตามินดี 3 ปริมาณ 2 มิลลิกรัม ซึ่งมีส่วนช่วยในการดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่ร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ บรรจุกระปุกละ 60 แคปซูล สามารถเก็บรักษาได้นาน 2 ปี นับจากวันผลิต วิธีรับประทาน : วันละ 1 เม็ด หลังมื้ออาหาร ราคาปกติ : 295 บาท (60 แคปซูล) แบลคมอร์ส ไบโอ แคลเซียม+ดี3 (Blackmores Bio Calcium+D3) อีกหนึ่งผลิตภัณฑ์คุณภาพจากประเทศออสเตรเลีย มาพร้อมแคลเซียมคาร์บอเนต 500 มิลลิกรัม และวิตามินดี 3 ปริมาณ 200 หน่วยสากล (IU) ที่มีส่วนช่วยในการคงสภาพปกติของกระดูกและฟัน เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปที่ได้รับแคลเซียมจากอาหารไม่เพียงพอ แต่เม็ดยาของแบรนด์นี้จะมีขนาดค่อนข้างใหญ่หน่อย อาจไม่ถูกใจคนที่กลืนยาได้ยากค่ะ วิธีรับประทาน : วันละ 1 เม็ด พร้อมอาหาร ราคาปกติ : 400 บาท (60 แคปซูล) / 690 บาท (120 แคปซูล) โคลเวอร์ พลัส แคลแคท (Clover Plus CALCAD) ขวดนี้ผสานแคลเซียม 2 ชนิด ได้แก่ แคลเซียมคาร์บอเนต 500 มิลลิกรัม และแคลเซียม อะมิโน แอซิด คีเลต 250 มิลลิกรัม พร้อมด้วยวิตามินดี 3 ปริมาณ 1 มิลลิกรัม ที่มีส่วนช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังเสริมด้วยวิตามินและแร่ธาตุอื่น ๆ เช่น แมกนีเซียม อะมิโน แอซิด คีเลต, ไอรอน อะมิโน แอซิด คีเลต, วิตามินซี, วิตามินเอ, วิตามินบี 2 และวิตามินบี 12 ที่ช่วยสนับสนุนการทำงานของร่างกายในหลายระบบ วิธีรับประทาน : วันละ 2 แคปซูล พร้อมมื้ออาหารหรือหลังมื้ออาหาร ราคาปกติ : 900 บาท (30 แคปซูล) เนเจอร์ เวย์ (Nature's Way) แคลเซียม + วิตามินดี 3 แบบเม็ด มีส่วนประกอบของแคลเซียมคาร์บอเนต 1,667 มิลลิกรัม โดยให้แคลเซียมสุทธิ 600 มิลลิกรัมต่อแคปซูล ในขณะเดียวกันก็ยังให้วิตามินดี 3 มาด้วยอีก 5 มิลลิกรัม เพื่อสนับสนุนการทำงานของแคลเซียมในด้านการดูแลสุขภาพกระดูกและฟันค่ะ วิธีรับประทาน : วันละ 1 เม็ด พร้อมมื้ออาหารหรือตามแพทย์สั่ง ราคาปกติ : 349 บาท (50 แคปซูล) ใครไม่สะดวกกินแคลเซียมแบบเม็ด ลองพิจารณาแคลเซียมชนิดเม็ดฟู่อย่าง ไวบูสต้า (Viboosta) สูตร Colla Cal D ที่ให้แคลเซียม 150 มิลลิกรัมต่อเม็ด ในรูปของแคลเซียมคาร์บอเนต และแคลเซียม แอล-ทรีโอเนต พร้อมเสริมด้วยคอลลาเจนไทป์ทู, วิตามินดี 3 และวิตามินซี ในเม็ดเดียว โดยทางแบรนด์ก็ให้ข้อมูลมาด้วยว่า แค่กินวันละ 1 เม็ด จะให้ปริมาณแคลเซียมใกล้เคียงกับการดื่มนมสดประมาณ 1 แก้วเลยทีเดียว วิธีรับประทาน : ใส่เม็ดวิตามิน 1 เม็ดลงในน้ำอุณหภูมิห้อง ประมาณ 200 มิลลิลิตร รอจนวิตามินละลายในน้ำ ใช้ช้อนคนให้ละลายและรับประทาน ราคาปกติ : 159 บาท (20 เม็ดฟู่) แคลเซียมกินตอนไหนดีที่สุด ? คำตอบขึ้นอยู่กับชนิดของแคลเซียมที่เลือกค่ะ หากเป็นแคลเซียมคาร์บอเนต ควรรับประทานพร้อมอาหารมื้อหลัก เช่น มื้อเช้าหรือมื้อกลางวัน เพราะต้องอาศัยกรดในกระเพาะอาหารช่วยย่อยและดูดซึมให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่วนแคลเซียมซิเตรต หรือแคลเซียม แอล-ทรีโอเนต สามารถดูดซึมได้โดยไม่ต้องอาศัยกรดในกระเพาะอาหาร จึงรับประทานได้ทุกเวลา ไม่ว่าจะขณะท้องว่าง หลังอาหาร หรือก่อนนอน ขึ้นอยู่กับความสะดวกของแต่ละคน ก่อนรับประทานแคลเซียมเสริม เราต้องทราบข้อควรระวังเหล่านี้ไว้ก่อนเพื่อความปลอดภัย ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้ดีที่สุดครั้งละประมาณ 500-600 มิลลิกรัม ดังนั้น หากรับประทานครั้งเดียวในปริมาณมากเกินไป ร่างกายจะดูดซึมได้ไม่หมด และส่วนเกินอาจทำให้เกิดอาการท้องอืด แน่นท้อง หรือท้องผูกได้ โดยเฉพาะในผู้ที่กินแคลเซียมคาร์บอเนต ควรรับประทานพร้อมอาหารมื้อหลักและดื่มน้ำตามมาก ๆ เพื่อช่วยให้ย่อยง่าย ลดโอกาสเกิดแก๊สในกระเพาะอาหารและอาการท้องผูก หากมีปัญหาท้องผูกบ่อย ๆ ควรเลือกสูตรที่มีปริมาณแคลเซียมต่อเม็ดน้อย แต่รับประทานวันละ 2 ครั้ง เช่น สูตรที่ให้แคลเซียมสุทธิ 500-600 มิลลิกรัมต่อเม็ด จะช่วยให้ร่างกายดูดซึมได้ดีขึ้น และลดอาการข้างเคียง ไม่ควรรับประทานแคลเซียมพร้อมกาแฟ ชา น้ำอัดลม หรืออาหารที่มีโซเดียมสูง เพราะอาจลดการดูดซึมแคลเซียม หลีกเลี่ยงการรับประทานแคลเซียมคู่กับยาปฏิชีวนะในกลุ่มฟลูออโรควิโนโลน เตตราไซคลิน ยาลดความดันโลหิตบางกลุ่ม รวมทั้งยาในกลุ่มบิสฟอสโฟเนต และธาตุเหล็กหรือสังกะสี เพราะแคลเซียมอาจรบกวนการดูดซึมของยาเหล่านี้ หากจำเป็นต้องรับประทานควรเว้นระยะห่างกันประมาณ 2 ชั่วโมง ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคไต หรือต้องกินยาเป็นประจำ เช่น ยาละลายลิ่มเลือด ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานแคลเซียมเสริม เด็กและสตรีมีครรภ์ไม่ควรรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารใด ๆ โดยไม่ได้ปรึกษาแพทย์ ไม่ควรรับประทานแคลเซียมเสริมเกินวันละ 1,500 มิลลิกรัม เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดนิ่วในไต และอาจรบกวนการดูดซึมธาตุเหล็กและสังกะสีในร่างกาย ควรรับประทานอาหารให้หลากหลายครบ 5 หมู่ ในสัดส่วนที่เหมาะสมเป็นประจำ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแคลเซียมไม่มีผลในการป้องกันหรือรักษาโรค การดูแลสุขภาพกระดูกและฟันไม่ใช่สิ่งที่ควรเริ่มตั้งแต่วันนี้ เพราะร่างกายสูญเสียแคลเซียมไปทีละน้อยทุก ๆ วัน แต่ถ้าใครไม่สามารถรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมจากธรรมชาติ เช่น นม ถั่ว ปลาเล็กปลาน้อย และผักใบเขียว ได้เป็นประจำ การเลือกผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแคลเซียมที่มีวิตามินดีมาช่วยเพิ่มการดูดซึม ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยให้ร่างกายได้รับแคลเซียมอย่างเพียงพอและต่อเนื่องค่ะ อย่างไรก็ตาม ย้ำอีกทีว่าผลิตภัณฑ์เสริมอาหารใด ๆ ไม่ได้มีผลในการป้องกันหรือรักษาโรค แต่เป็นเพียงส่วนเสริมจากอาหารหลักเท่านั้น เราจึงควรรับประทานอาหารให้หลากหลายครบ 5 หมู่ ในสัดส่วนที่เหมาะสมเป็นประจำ เพื่อให้ได้รับสารอาหารจากธรรมชาติอย่างสมดุล และอย่าลืมออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อเสริมความแข็งแรงของกระดูกไปพร้อมกันด้วยนะ วิตามิน D3 ช่วยอะไร ยี่ห้อไหนดี เติมวิตามินสำคัญให้ร่างกาย ช่วยดูดซึมแคลเซียม น้ำมันปลา ช่วยอะไร ต่างกับน้ำมันตับปลาอย่างไร เลือกซื้อยี่ห้อไหนดี ปี 2568 แอสตาแซนทิน ยี่ห้อไหนดี ปี 2025 ควรกินตอนไหน กินคู่กับอะไรถึงได้ประโยชน์จริง วิตามินซี 1,000 มิลลิกรัม ยี่ห้อไหนดี ปี 2025 พร้อมไขข้อสงสัย กินวิตามินซีทุกวันอันตรายไหม เปิดลิสต์ !! เสริมโพรไบโอติกและพรีไบโอติก ยี่ห้อไหนดี ปี 2025 สูตรลับช่วยปรับสมดุลลำไส้ ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก : MEGA We care, Auswelllife Official, Watsons, Blackmores, cloverplusthailand, Pharmacare Lab Official, Viboosta Thailand, กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข, สสส., มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล, คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี, health.clevelandclinic.org