เรารู้กันดีว่า "แคลเซียม" (Calcium) คือแร่ธาตุสำคัญที่ช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง แต่สิ่งที่หลายคนอาจไม่รู้คือ ร่างกายของเราสูญเสียแคลเซียมไปทุกวันจากพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น ไม่ค่อยออกกำลังกาย ไม่โดนแสงแดด รับประทานอาหารรสเค็มจัด หรือดื่มกาแฟ ชาเย็น น้ำอัดลม และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ ซึ่งล้วนส่งผลให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้น้อยลง ซ้ำยังขับแคลเซียมออกมากกว่าปกติ
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่ออายุมากขึ้น ระดับแคลเซียมในร่างกายก็จะค่อย ๆ ลดลงตามวัยไปด้วย แม้จะพยายามรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง แต่ก็อาจยังไม่เพียงพอในแต่ละวัน หลายคนจึงมองหาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแคลเซียมมาเป็นตัวช่วยเติมแคลเซียมให้กับร่างกาย แล้วควรเลือกแบบไหนถึงเหมาะกับตัวเอง หรือเลือกแคลเซียม ยี่ห้อไหนดี กินตอนไหนดีที่สุด ชวนทุกคนตามมาศึกษาข้อมูลต่อด้านล่างนี้กันเลยค่ะ
แคลเซียม มีประโยชน์กับร่างกายอย่างไรบ้าง
- กระดูก : แคลเซียมช่วยเพิ่มความหนาแน่นของมวลกระดูก ทำให้กระดูกแข็งแรง หากได้รับไม่เพียงพอ ร่างกายจะดึงแคลเซียมจากกระดูกมาใช้ จนอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะกระดูกพรุน
- เหงือกและฟัน : ช่วยให้โครงสร้างของฟันแข็งแรง และคงสภาพของเนื้อเยื่อรอบฟัน เช่น เหงือก ให้ทำงานได้ตามปกติ ลดความเสี่ยงต่อโรคเหงือก ฟันผุ หรือโรคปริทันต์
- กล้ามเนื้อ : ช่วยให้กล้ามเนื้อสามารถหดตัวและคลายตัวได้ตามปกติ ลดโอกาสเกิดอาการกล้ามเนื้อเกร็ง กระตุก หรือตะคริว
- หัวใจและหลอดเลือด : มีบทบาทในการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ ช่วยควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติ
- ระบบประสาท : ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการส่งสัญญาณประสาท ช่วยให้สมองและเซลล์ประสาทสื่อสารกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ระบบเลือด : แคลเซียมเป็นส่วนสำคัญในกระบวนการแข็งตัวของเลือด ช่วยให้เกล็ดเลือดเกาะกลุ่มกัน ทำให้แผลสมานตัวตามธรรมชาติ และควบคุมความเป็นกรด-ด่างภายในเลือด
- ระบบเอนไซม์ : แคลเซียมทำหน้าที่เป็นโคแฟกเตอร์ที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์หลายชนิด เมื่อร่างกายขาดแคลเซียม เอนไซม์บางชนิดจะทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ซึ่งอาจส่งผลต่อระบบการทำงานต่าง ๆ เช่น การแข็งตัวของเลือด การย่อยอาหาร หรือการส่งสัญญาณภายในเซลล์ เป็นต้น
- ระบบภูมิคุ้มกัน : แคลเซียมมีส่วนช่วยให้เซลล์ภูมิคุ้มกัน เช่น เม็ดเลือดขาว ทำงานได้ตามปกติ ส่งผลให้ร่างกายตอบสนองต่อสิ่งแปลกปลอมได้อย่างเหมาะสม
ร่างกายต้องการแคลเซียมต่อวันเท่าไหร่
- เด็กเล็ก (อายุ 1-3 ขวบ) ควรได้รับแคลเซียมประมาณ 500 มิลลิกรัม/วัน
- เด็ก (อายุ 4-8 ขวบ) ควรได้รับแคลเซียมประมาณ 800 มิลลิกรัม/วัน
- วัยรุ่น (อายุ 9-18 ปี) ควรได้รับแคลเซียมประมาณ 1,000 มิลลิกรัม/วัน
- ผู้ใหญ่ (อายุ 19-50 ปี) ควรได้รับแคลเซียมประมาณ 800 มิลลิกรัม/วัน
- ผู้สงอายุ (อายุ 51 ปีขึ้นไป) ควรได้รับแคลเซียมประมาณ 1,000 มิลลิกรัม/วัน
- หญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตร ควรได้รับแคลเซียมประมาณ 1,200 มิลลิกรัม/วัน หรือมากกว่า
ทว่าในความเป็นจริงแล้วร่างกายสามารถดูดซึมแคลเซียมจากอาหารได้เพียงประมาณ 20-30% เท่านั้น โดยอัตราการดูดซึมนี้อาจแตกต่างกันไปตามหลายปัจจัย เช่น ชนิดและปริมาณของอาหาร อายุ รวมถึงระดับวิตามินดีในร่างกาย ซึ่งหากได้รับแคลเซียมจากอาหารไม่เพียงพอในระยะยาวอาจทำให้ร่างกายขาดแคลเซียมโดยไม่รู้ตัว
สัญญาณที่บ่งบอกว่าร่างกายอาจขาดแคลเซียม
- เป็นตะคริวบ่อยหรือรู้สึกกล้ามเนื้อกระตุก : เมื่อระดับแคลเซียมในเลือดลดลง กล้ามเนื้อจะหดตัวผิดปกติ ทำให้เกิดอาการตะคริว เกร็ง หรือกระตุกโดยไม่ทราบสาเหตุ โดยเฉพาะบริเวณขาและน่อง
- ชาปลายมือ ปลายเท้า : แคลเซียมมีบทบาทในการส่งสัญญาณประสาท หากมีน้อยเกินไป เส้นประสาทจะทำงานได้ไม่เต็มที่ จึงเกิดอาการชาหรือรู้สึกซ่าตามนิ้วมือ นิ้วเท้า
- อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย สมองล้า : ภาวะแคลเซียมต่ำอาจทำให้ระดับพลังงานในร่างกายลดลง ส่งผลให้รู้สึกอ่อนแรง เหนื่อยง่าย ปวดเมื่อย หรือเวียนศีรษะบ่อย
- ผมร่วง เล็บเปราะ ฟันโยก : เมื่อร่างกายขาดแคลเซียมก็จะดึงแคลเซียมจากกระดูกมาใช้ ทำให้ผมร่วงเยอะ เล็บเปราะ อ่อนแอ หรือมีฟันผุบ่อย
- กระดูกบางและหักง่าย : การขาดแคลเซียมต่อเนื่องเป็นเวลานานส่งผลให้มวลกระดูกลดลง ทำให้กระดูกบาง เปราะ และเสี่ยงต่อการหักง่ายขึ้น
- นอนไม่หลับ : แคลเซียมช่วยให้สมองเปลี่ยนกรดอะมิโนทริปโตเฟน (Tryptophan) ให้เป็นเมลาโทนิน (Melatonin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนควบคุมการนอนหลับ หากขาดแคลเซียมอาจทำให้นอนหลับยากหรือหลับไม่สนิท
- หัวใจเต้นผิดปกติ : แคลเซียมมีส่วนสำคัญในการควบคุมการทำงานของหัวใจ หากขาดอาจทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะหรือเต้นไม่สม่ำเสมอ
วิตามินดีสำคัญกับแคลเซียมอย่างไร
รู้ไหมว่า..ต่อให้เรารับประทานแคลเซียมมากแค่ไหน แต่ถ้าร่างกายขาดวิตามินดีก็อาจดูดซึมแคลเซียมได้ไม่เต็มที่ เพราะวิตามินดีมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ลำไส้เล็กดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้นถึง 30-40% ส่งผลให้ร่างกายสามารถนำแคลเซียมไปใช้ในการสร้างและคงสภาพของกระดูกได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ทั้งนี้ โดยทั่วไปร่างกายควรได้รับวิตามินดีวันละประมาณ 400-600 หน่วยสากล (IU) ซึ่งสามารถได้รับจากการสัมผัสแสงแดดอ่อน ๆ ในตอนเช้า รวมถึงรับประทานอาหารที่เป็นแหล่งของวิตามินดี เช่น ไข่แดง นม ตับ เนย ชีส ปลาคอด ปลาแซลมอน ปลาทู ปลาทูน่า เห็ดหอม และเห็ดนางฟ้า
อย่างไรก็ตาม คนไทยจำนวนไม่น้อยมีภาวะขาดวิตามินดีโดยไม่รู้ตัว เนื่องจากหลีกเลี่ยงการออกแดด ทาครีมกันแดดก่อนออกนอกบ้าน หรือทำงานอยู่ในที่ร่มเป็นส่วนใหญ่ จึงทำให้ร่างกายได้รับวิตามินดีไม่เพียงพอในแต่ละวัน ดังนั้น หากต้องเลือกซื้อผลิตภัณฑ์เสริมแคลเซียม ควรพิจารณาเลือกสูตรที่มีวิตามินดีเสริมมาพร้อมกันด้วย เพื่อช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้ดียิ่งขึ้น
วิธีเลือกซื้อแคลเซียมเสริม
พิจารณาชนิดของแคลเซียม
แคลเซียมที่ใช้ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมีหลายชนิด ซึ่งแต่ละแบบจะมีความเหมาะสมแตกต่างกันไป เช่น
- แคลเซียมคาร์บอเนต : เป็นชนิดที่พบได้บ่อยที่สุด ให้แคลเซียมสุทธิสูงในราคาย่อมเยา โดยร่างกายต้องอาศัยกรดในกระเพาะช่วยย่อย จึงควรรับประทานพร้อมอาหารเพื่อให้ดูดซึมได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม อาจทำให้บางคนมีอาการท้องผูกได้
- แคลเซียมซิเตรต : ดูดซึมได้ดีแม้ในขณะท้องว่าง สามารถรับประทานเวลาใดก็ได้ เหมาะกับผู้ที่มีกรดในกระเพาะต่ำหรือมีปัญหาเรื่องการย่อยอาหาร แต่ราคาจะสูงกว่าแบบคาร์บอเนตเล็กน้อย
- แคลเซียม อะมิโน แอซิด คีเลต : เป็นแคลเซียมที่อยู่ในรูปที่จับกับกรดอะมิโน ทำให้ละลายน้ำได้ดีและดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายโดยไม่ต้องอาศัยวิตามินดี เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาการดูดซึมหรือผู้สูงอายุ
- แคลเซียม แอล-ทรีโอเนต : แคลเซียมรูปแบบใหม่ที่ดูดซึมได้สูงถึง 90-95% ช่วยลดผลข้างเคียงในระบบทางเดินอาหารและลดอาการท้องผูก เหมาะกับกลุ่มเสี่ยงภาวะกระดูกพรุน เช่น หญิงวัยหมดประจำเดือนหรือผู้สูงอายุ แต่มีราคาสูงกว่าแคลเซียมชนิดอื่น
- แคลเซียมจากปะการัง : ได้จากปะการังธรรมชาติ ซึ่งมีแร่ธาตุอื่น ๆ เช่น แมกนีเซียม และสังกะสีร่วมอยู่ด้วย ช่วยเสริมสมดุลแร่ธาตุในร่างกาย อย่างไรก็ตาม ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ผ่านกระบวนการตรวจสอบความปลอดภัยและไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม
เลือกแคลเซียมสูตรที่มีวิตามินดีเสริมมาพร้อมกัน
ดูปริมาณแคลเซียมสุทธิต่อเม็ด
เลือกรูปแบบผลิตภัณฑ์ที่ดูดซึมง่าย
พิจารณาสารอาหารอื่น ๆ ที่ช่วยเสริมการทำงานของแคลเซียม
ตรวจสอบส่วนผสมและอาการแพ้ที่อาจเกิดขึ้น
เลือกแบรนด์ที่ได้มาตรฐานและปลอดภัย
พิจารณาความคุ้มค่าและความต่อเนื่องในการรับประทาน
แคลเซียมเสริมวิตามินดี
ยี่ห้อไหนดี ปี 2025
1. MEGA We care CALCIUM-D
ภาพจาก : megawecare.co.th
MEGA We care CALCIUM-D จึงเหมาะสำหรับคนที่ต้องการดูแลสุขภาพของกระดูกและฟันให้แข็งแรงตามปกติ รวมถึงคนที่ได้รับแคลเซียมจากอาหารไม่เพียงพอ หรืออยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อภาวะกระดูกพรุน รับประทานวันละ 1-2 แคปซูล ก็ช่วยให้ร่างกายได้รับแคลเซียมเพียงพอต่อความต้องการในแต่ละวันแล้ว
- วิธีรับประทาน : วันละ 1-2 แคปซูล หลังอาหาร
- ราคาปกติ : 240 บาท (60 แคปซูล)
2. Auswelllife Liquid Calcium
ภาพจาก : Auswelllife Official
- วิธีรับประทาน : วันละ 1 แคปซูล
- ราคาปกติ : 1,990 บาท (60 แคปซูล)
3. Watsons วัตสันแคลเซียม 500 มก. ผสมวิตามินดี
ภาพจาก : Watsons
- วิธีรับประทาน : วันละ 1 เม็ด หลังมื้ออาหาร
- ราคาปกติ : 295 บาท (60 แคปซูล)
4. Blackmores Bio Calcium+D3
ภาพจาก : blackmores
- วิธีรับประทาน : วันละ 1 เม็ด พร้อมอาหาร
- ราคาปกติ : 400 บาท (60 แคปซูล) / 690 บาท (120 แคปซูล)
5. Clover Plus CALCAD
ภาพจาก : cloverplusthailand
- วิธีรับประทาน : วันละ 2 แคปซูล พร้อมมื้ออาหารหรือหลังมื้ออาหาร
- ราคาปกติ : 900 บาท (30 แคปซูล)
6. Nature's Way Calcium + Vitamin D3
ภาพจาก : Pharmacare Lab Official
- วิธีรับประทาน : วันละ 1 เม็ด พร้อมมื้ออาหารหรือตามแพทย์สั่ง
- ราคาปกติ : 349 บาท (50 แคปซูล)
7. Viboosta สูตร Colla Cal D
ภาพจาก : Viboosta Thailand
- วิธีรับประทาน : ใส่เม็ดวิตามิน 1 เม็ดลงในน้ำอุณหภูมิห้อง ประมาณ 200 มิลลิลิตร รอจนวิตามินละลายในน้ำ ใช้ช้อนคนให้ละลายและรับประทาน
- ราคาปกติ : 159 บาท (20 เม็ดฟู่)
แคลเซียมกินตอนไหนดีที่สุด
แคลเซียมกินตอนไหนดีที่สุด ? คำตอบขึ้นอยู่กับชนิดของแคลเซียมที่เลือกค่ะ หากเป็นแคลเซียมคาร์บอเนต ควรรับประทานพร้อมอาหารมื้อหลัก เช่น มื้อเช้าหรือมื้อกลางวัน เพราะต้องอาศัยกรดในกระเพาะอาหารช่วยย่อยและดูดซึมให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ส่วนแคลเซียมซิเตรต หรือแคลเซียม แอล-ทรีโอเนต สามารถดูดซึมได้โดยไม่ต้องอาศัยกรดในกระเพาะอาหาร จึงรับประทานได้ทุกเวลา ไม่ว่าจะขณะท้องว่าง หลังอาหาร หรือก่อนนอน ขึ้นอยู่กับความสะดวกของแต่ละคน
ข้อควรระวังในการรับประทานแคลเซียมเสริม
- ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้ดีที่สุดครั้งละประมาณ 500-600 มิลลิกรัม ดังนั้น หากรับประทานครั้งเดียวในปริมาณมากเกินไป ร่างกายจะดูดซึมได้ไม่หมด และส่วนเกินอาจทำให้เกิดอาการท้องอืด แน่นท้อง หรือท้องผูกได้ โดยเฉพาะในผู้ที่กินแคลเซียมคาร์บอเนต ควรรับประทานพร้อมอาหารมื้อหลักและดื่มน้ำตามมาก ๆ เพื่อช่วยให้ย่อยง่าย ลดโอกาสเกิดแก๊สในกระเพาะอาหารและอาการท้องผูก
- หากมีปัญหาท้องผูกบ่อย ๆ ควรเลือกสูตรที่มีปริมาณแคลเซียมต่อเม็ดน้อย แต่รับประทานวันละ 2 ครั้ง เช่น สูตรที่ให้แคลเซียมสุทธิ 500-600 มิลลิกรัมต่อเม็ด จะช่วยให้ร่างกายดูดซึมได้ดีขึ้น และลดอาการข้างเคียง
- ไม่ควรรับประทานแคลเซียมพร้อมกาแฟ ชา น้ำอัดลม หรืออาหารที่มีโซเดียมสูง เพราะอาจลดการดูดซึมแคลเซียม
- หลีกเลี่ยงการรับประทานแคลเซียมคู่กับยาปฏิชีวนะในกลุ่มฟลูออโรควิโนโลน เตตราไซคลิน ยาลดความดันโลหิตบางกลุ่ม รวมทั้งยาในกลุ่มบิสฟอสโฟเนต และธาตุเหล็กหรือสังกะสี เพราะแคลเซียมอาจรบกวนการดูดซึมของยาเหล่านี้ หากจำเป็นต้องรับประทานควรเว้นระยะห่างกันประมาณ 2 ชั่วโมง
- ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคไต หรือต้องกินยาเป็นประจำ เช่น ยาละลายลิ่มเลือด ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานแคลเซียมเสริม
- เด็กและสตรีมีครรภ์ไม่ควรรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารใด ๆ โดยไม่ได้ปรึกษาแพทย์
- ไม่ควรรับประทานแคลเซียมเสริมเกินวันละ 1,500 มิลลิกรัม เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดนิ่วในไต และอาจรบกวนการดูดซึมธาตุเหล็กและสังกะสีในร่างกาย
- ควรรับประทานอาหารให้หลากหลายครบ 5 หมู่ ในสัดส่วนที่เหมาะสมเป็นประจำ
- ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแคลเซียมไม่มีผลในการป้องกันหรือรักษาโรค
บทความที่เกี่ยวข้องกับวิตามินอาหารเสริม
-
วิตามิน D3 ช่วยอะไร ยี่ห้อไหนดี เติมวิตามินสำคัญให้ร่างกาย ช่วยดูดซึมแคลเซียม
-
น้ำมันปลา ช่วยอะไร ต่างกับน้ำมันตับปลาอย่างไร เลือกซื้อยี่ห้อไหนดี ปี 2568
-
แอสตาแซนทิน ยี่ห้อไหนดี ปี 2025 ควรกินตอนไหน กินคู่กับอะไรถึงได้ประโยชน์จริง
-
วิตามินซี 1,000 มิลลิกรัม ยี่ห้อไหนดี ปี 2025 พร้อมไขข้อสงสัย กินวิตามินซีทุกวันอันตรายไหม
-
เปิดลิสต์ !! เสริมโพรไบโอติกและพรีไบโอติก ยี่ห้อไหนดี ปี 2025 สูตรลับช่วยปรับสมดุลลำไส้






