แคลเซียม ยี่ห้อไหนดี ปี 2025 เสริมวิตามินดีมาด้วย ช่วยดูแลกระดูกและฟัน

          แคลเซียม ยี่ห้อไหนดี ปี 2025 ใครอยากดูแลกระดูกและฟันให้แข็งแรง มาลองดูคู่หูแคลเซียม-วิตามินดี พร้อมไขข้อสงสัยว่าแคลเซียมช่วยอะไร เลือกซื้อแบบไหนเหมาะกับตัวเอง และควรกินตอนไหนดีที่สุด
แคลเซียม

          เรารู้กันดีว่า "แคลเซียม" (Calcium) คือแร่ธาตุสำคัญที่ช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง แต่สิ่งที่หลายคนอาจไม่รู้คือ ร่างกายของเราสูญเสียแคลเซียมไปทุกวันจากพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น ไม่ค่อยออกกำลังกาย ไม่โดนแสงแดด รับประทานอาหารรสเค็มจัด หรือดื่มกาแฟ ชาเย็น น้ำอัดลม และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ ซึ่งล้วนส่งผลให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้น้อยลง ซ้ำยังขับแคลเซียมออกมากกว่าปกติ

          ยิ่งไปกว่านั้น เมื่ออายุมากขึ้น ระดับแคลเซียมในร่างกายก็จะค่อย ๆ ลดลงตามวัยไปด้วย แม้จะพยายามรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง แต่ก็อาจยังไม่เพียงพอในแต่ละวัน หลายคนจึงมองหาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแคลเซียมมาเป็นตัวช่วยเติมแคลเซียมให้กับร่างกาย แล้วควรเลือกแบบไหนถึงเหมาะกับตัวเอง หรือเลือกแคลเซียม ยี่ห้อไหนดี กินตอนไหนดีที่สุด ชวนทุกคนตามมาศึกษาข้อมูลต่อด้านล่างนี้กันเลยค่ะ

แคลเซียม มีประโยชน์กับร่างกายอย่างไรบ้าง

แคลเซียม ประโยชน์

          เนื่องจากแคลเซียมเป็นแร่ธาตุที่พบมากที่สุดในร่างกาย จึงมีบทบาทสำคัญที่ทำให้ทุกระบบในร่างกายทำงานได้อย่างสมดุล เช่น
 
  • กระดูก : แคลเซียมช่วยเพิ่มความหนาแน่นของมวลกระดูก ทำให้กระดูกแข็งแรง หากได้รับไม่เพียงพอ ร่างกายจะดึงแคลเซียมจากกระดูกมาใช้ จนอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะกระดูกพรุน 
  • เหงือกและฟัน : ช่วยให้โครงสร้างของฟันแข็งแรง และคงสภาพของเนื้อเยื่อรอบฟัน เช่น เหงือก ให้ทำงานได้ตามปกติ ลดความเสี่ยงต่อโรคเหงือก ฟันผุ หรือโรคปริทันต์
  • กล้ามเนื้อ : ช่วยให้กล้ามเนื้อสามารถหดตัวและคลายตัวได้ตามปกติ ลดโอกาสเกิดอาการกล้ามเนื้อเกร็ง กระตุก หรือตะคริว
  • หัวใจและหลอดเลือด : มีบทบาทในการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ ช่วยควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติ
  • ระบบประสาท : ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการส่งสัญญาณประสาท ช่วยให้สมองและเซลล์ประสาทสื่อสารกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ระบบเลือด : แคลเซียมเป็นส่วนสำคัญในกระบวนการแข็งตัวของเลือด ช่วยให้เกล็ดเลือดเกาะกลุ่มกัน ทำให้แผลสมานตัวตามธรรมชาติ และควบคุมความเป็นกรด-ด่างภายในเลือด
  • ระบบเอนไซม์ : แคลเซียมทำหน้าที่เป็นโคแฟกเตอร์ที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์หลายชนิด เมื่อร่างกายขาดแคลเซียม เอนไซม์บางชนิดจะทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ซึ่งอาจส่งผลต่อระบบการทำงานต่าง ๆ เช่น การแข็งตัวของเลือด การย่อยอาหาร หรือการส่งสัญญาณภายในเซลล์ เป็นต้น
  • ระบบภูมิคุ้มกัน : แคลเซียมมีส่วนช่วยให้เซลล์ภูมิคุ้มกัน เช่น เม็ดเลือดขาว ทำงานได้ตามปกติ ส่งผลให้ร่างกายตอบสนองต่อสิ่งแปลกปลอมได้อย่างเหมาะสม
     
          ดังจะเห็นได้ว่า แคลเซียมไม่เพียงเป็นส่วนประกอบหลักของกระดูกและฟันเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับการทำงานของกล้ามเนื้อ หัวใจ ระบบประสาท การแข็งตัวของเลือด และการทำงานของเอนไซม์ต่าง ๆ ในร่างกาย จึงถือเป็นแร่ธาตุที่สำคัญต่อทุกช่วงวัย

ร่างกายต้องการแคลเซียมต่อวันเท่าไหร่

แคลเซียม ที่ร่างกายต้องการ

          ร่างกายของคนแต่ละช่วงวัยย่อมมีความต้องการแคลเซียมไม่เท่ากันค่ะ โดยกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ได้แนะนำปริมาณแคลเซียมที่ควรได้รับจำแนกตามอายุและเพศไว้ ดังนี้ 
  • เด็กเล็ก (อายุ 1-3 ขวบ) ควรได้รับแคลเซียมประมาณ 500 มิลลิกรัม/วัน
  • เด็ก (อายุ 4-8 ขวบ) ควรได้รับแคลเซียมประมาณ 800 มิลลิกรัม/วัน
  • วัยรุ่น (อายุ 9-18 ปี) ควรได้รับแคลเซียมประมาณ 1,000 มิลลิกรัม/วัน
  • ผู้ใหญ่ (อายุ 19-50 ปี) ควรได้รับแคลเซียมประมาณ 800 มิลลิกรัม/วัน
  • ผู้สงอายุ (อายุ 51 ปีขึ้นไป) ควรได้รับแคลเซียมประมาณ 1,000 มิลลิกรัม/วัน
  • หญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตร ควรได้รับแคลเซียมประมาณ 1,200 มิลลิกรัม/วัน หรือมากกว่า 
          ทั้งนี้ ร่างกายควรได้รับแคลเซียมให้เพียงพอตามความต้องการ แต่ไม่ควรเกิน 1,500 มิลลิกรัม/วัน โดยเราสามารถเพิ่มแคลเซียมได้จากการรับประทานอาหารในชีวิตประจำวัน เช่น นมวัว ปลาเล็กปลาน้อย กุ้งแห้ง ชีส เต้าหู้ งาดำ ผักคะน้า ตำลึง และใบชะพลู เป็นต้น

          ทว่าในความเป็นจริงแล้วร่างกายสามารถดูดซึมแคลเซียมจากอาหารได้เพียงประมาณ 20-30% เท่านั้น โดยอัตราการดูดซึมนี้อาจแตกต่างกันไปตามหลายปัจจัย เช่น ชนิดและปริมาณของอาหาร อายุ รวมถึงระดับวิตามินดีในร่างกาย ซึ่งหากได้รับแคลเซียมจากอาหารไม่เพียงพอในระยะยาวอาจทำให้ร่างกายขาดแคลเซียมโดยไม่รู้ตัว

สัญญาณที่บ่งบอกว่าร่างกายอาจขาดแคลเซียม

ขาดแคลเซียม

          เมื่อแคลเซียมในเลือดต่ำกว่าปกติ ร่างกายมักจะแสดงอาการเตือนเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่พอให้เราสังเกตเห็นได้ เช่น
  • เป็นตะคริวบ่อยหรือรู้สึกกล้ามเนื้อกระตุก : เมื่อระดับแคลเซียมในเลือดลดลง กล้ามเนื้อจะหดตัวผิดปกติ ทำให้เกิดอาการตะคริว เกร็ง หรือกระตุกโดยไม่ทราบสาเหตุ โดยเฉพาะบริเวณขาและน่อง
  • ชาปลายมือ ปลายเท้า : แคลเซียมมีบทบาทในการส่งสัญญาณประสาท หากมีน้อยเกินไป เส้นประสาทจะทำงานได้ไม่เต็มที่ จึงเกิดอาการชาหรือรู้สึกซ่าตามนิ้วมือ นิ้วเท้า
  • อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย สมองล้า : ภาวะแคลเซียมต่ำอาจทำให้ระดับพลังงานในร่างกายลดลง ส่งผลให้รู้สึกอ่อนแรง เหนื่อยง่าย ปวดเมื่อย หรือเวียนศีรษะบ่อย
  • ผมร่วง เล็บเปราะ ฟันโยก : เมื่อร่างกายขาดแคลเซียมก็จะดึงแคลเซียมจากกระดูกมาใช้ ทำให้ผมร่วงเยอะ เล็บเปราะ อ่อนแอ หรือมีฟันผุบ่อย
  • กระดูกบางและหักง่าย : การขาดแคลเซียมต่อเนื่องเป็นเวลานานส่งผลให้มวลกระดูกลดลง ทำให้กระดูกบาง เปราะ และเสี่ยงต่อการหักง่ายขึ้น
  • นอนไม่หลับ : แคลเซียมช่วยให้สมองเปลี่ยนกรดอะมิโนทริปโตเฟน (Tryptophan) ให้เป็นเมลาโทนิน (Melatonin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนควบคุมการนอนหลับ หากขาดแคลเซียมอาจทำให้นอนหลับยากหรือหลับไม่สนิท
  • หัวใจเต้นผิดปกติ : แคลเซียมมีส่วนสำคัญในการควบคุมการทำงานของหัวใจ หากขาดอาจทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะหรือเต้นไม่สม่ำเสมอ
          อาการเหล่านี้เป็นสัญญาณเตือนสำคัญที่ไม่ควรละเลย แม้เราจะพยายามรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง แต่ถ้าร่างกายดูดซึมได้ไม่ดีก็อาจได้รับแคลเซียมไม่เพียงพออยู่ดีค่ะ ซึ่งหนึ่งตัวช่วยสำคัญในการดูดซึมแคลเซียมก็คือ วิตามินดี นั่นเอง

วิตามินดีสำคัญกับแคลเซียมอย่างไร

แคลเซียม วิตามินดี

          รู้ไหมว่า..ต่อให้เรารับประทานแคลเซียมมากแค่ไหน แต่ถ้าร่างกายขาดวิตามินดีก็อาจดูดซึมแคลเซียมได้ไม่เต็มที่ เพราะวิตามินดีมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ลำไส้เล็กดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้นถึง 30-40% ส่งผลให้ร่างกายสามารถนำแคลเซียมไปใช้ในการสร้างและคงสภาพของกระดูกได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

          ทั้งนี้ โดยทั่วไปร่างกายควรได้รับวิตามินดีวันละประมาณ 400-600 หน่วยสากล (IU) ซึ่งสามารถได้รับจากการสัมผัสแสงแดดอ่อน ๆ ในตอนเช้า รวมถึงรับประทานอาหารที่เป็นแหล่งของวิตามินดี เช่น ไข่แดง นม ตับ เนย ชีส ปลาคอด ปลาแซลมอน ปลาทู ปลาทูน่า เห็ดหอม และเห็ดนางฟ้า

          อย่างไรก็ตาม คนไทยจำนวนไม่น้อยมีภาวะขาดวิตามินดีโดยไม่รู้ตัว เนื่องจากหลีกเลี่ยงการออกแดด ทาครีมกันแดดก่อนออกนอกบ้าน หรือทำงานอยู่ในที่ร่มเป็นส่วนใหญ่ จึงทำให้ร่างกายได้รับวิตามินดีไม่เพียงพอในแต่ละวัน ดังนั้น หากต้องเลือกซื้อผลิตภัณฑ์เสริมแคลเซียม ควรพิจารณาเลือกสูตรที่มีวิตามินดีเสริมมาพร้อมกันด้วย เพื่อช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้ดียิ่งขึ้น 

วิธีเลือกซื้อแคลเซียมเสริม

แคลเซียม วิธีเลือกซื้อ

          เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับความต้องการของแต่ละคน มาดูกันว่าถ้าจะเลือกซื้อแคลเซียมควรพิจารณาจากอะไรบ้าง

พิจารณาชนิดของแคลเซียม

          แคลเซียมที่ใช้ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมีหลายชนิด ซึ่งแต่ละแบบจะมีความเหมาะสมแตกต่างกันไป เช่น

  • แคลเซียมคาร์บอเนต : เป็นชนิดที่พบได้บ่อยที่สุด ให้แคลเซียมสุทธิสูงในราคาย่อมเยา โดยร่างกายต้องอาศัยกรดในกระเพาะช่วยย่อย จึงควรรับประทานพร้อมอาหารเพื่อให้ดูดซึมได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม อาจทำให้บางคนมีอาการท้องผูกได้
  • แคลเซียมซิเตรต : ดูดซึมได้ดีแม้ในขณะท้องว่าง สามารถรับประทานเวลาใดก็ได้ เหมาะกับผู้ที่มีกรดในกระเพาะต่ำหรือมีปัญหาเรื่องการย่อยอาหาร แต่ราคาจะสูงกว่าแบบคาร์บอเนตเล็กน้อย
  • แคลเซียม อะมิโน แอซิด คีเลต : เป็นแคลเซียมที่อยู่ในรูปที่จับกับกรดอะมิโน ทำให้ละลายน้ำได้ดีและดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายโดยไม่ต้องอาศัยวิตามินดี เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาการดูดซึมหรือผู้สูงอายุ
  • แคลเซียม แอล-ทรีโอเนต : แคลเซียมรูปแบบใหม่ที่ดูดซึมได้สูงถึง 90-95% ช่วยลดผลข้างเคียงในระบบทางเดินอาหารและลดอาการท้องผูก เหมาะกับกลุ่มเสี่ยงภาวะกระดูกพรุน เช่น หญิงวัยหมดประจำเดือนหรือผู้สูงอายุ แต่มีราคาสูงกว่าแคลเซียมชนิดอื่น
  • แคลเซียมจากปะการัง : ได้จากปะการังธรรมชาติ ซึ่งมีแร่ธาตุอื่น ๆ เช่น แมกนีเซียม และสังกะสีร่วมอยู่ด้วย ช่วยเสริมสมดุลแร่ธาตุในร่างกาย อย่างไรก็ตาม ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ผ่านกระบวนการตรวจสอบความปลอดภัยและไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม

เลือกแคลเซียมสูตรที่มีวิตามินดีเสริมมาพร้อมกัน

          วิตามินดีช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมจากลำไส้เข้าสู่กระแสเลือดได้ดียิ่งขึ้น จึงควรเลือกแคลเซียมที่มีวิตามินดี โดยเฉพาะวิตามินดี 3 หรือ Cholecalciferol เสริมมาให้ครบในเม็ดเดียว เพื่อความสะดวกในการรับประทาน

ดูปริมาณแคลเซียมสุทธิต่อเม็ด

          บนฉลากผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมักระบุชื่อของสารประกอบแคลเซียม เช่น แคลเซียมคาร์บอเนต 1,500 มิลลิกรัม แต่ไม่ได้หมายความว่าร่างกายจะได้รับแคลเซียมทั้งหมด 1,500 มิลลิกรัมนะคะ เพราะแคลเซียมที่ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้จริง เรียกว่า "แคลเซียมสุทธิ" (Elemental Calcium) มีเพียงประมาณ 40% ของน้ำหนักเท่านั้น เช่น แคลเซียมคาร์บอเนต 1,500 มิลลิกรัม จะให้แคลเซียมสุทธิประมาณ 600 มิลลิกรัม ดังนั้น เวลาซื้อควรอ่านฉลากให้ชัดเจน เพื่อจะได้ทราบปริมาณที่รับประทานว่าตรงกับความต้องการของร่างกายในแต่ละวันหรือไม่

เลือกรูปแบบผลิตภัณฑ์ที่ดูดซึมง่าย

          เช่น แคลเซียมที่บรรจุภายในแคปซูลนิ่มหรือแบบเม็ดฟู่จะละลายและดูดซึมได้รวดเร็วกว่าแคลเซียมแบบเม็ดแข็ง ส่งผลให้สารภายในถูกปลดปล่อยได้เร็วกว่า และยังกลืนง่าย ช่วยให้คนที่กลืนยาหรือวิตามินลำบาก รับประทานได้สะดวกขึ้น

พิจารณาสารอาหารอื่น ๆ ที่ช่วยเสริมการทำงานของแคลเซียม

          นอกจากวิตามินดีแล้ว ผลิตภัณฑ์แคลเซียมบางสูตรยังเติมแมกนีเซียม สังกะสี หรือวิตามินเค ซึ่งมีส่วนช่วยให้ร่างกายนำแคลเซียมไปใช้ได้ดียิ่งขึ้น จึงควรพิจารณาว่าต้องการสารอาหารเหล่านี้ด้วยหรือไม่ เพราะราคาอาจจะแพงกว่าแบรนด์ที่มีเฉพาะแคลเซียมกับวิตามินดี

ตรวจสอบส่วนผสมและอาการแพ้ที่อาจเกิดขึ้น

          ควรอ่านฉลากให้ละเอียดว่าผลิตภัณฑ์มีส่วนประกอบใดบ้าง โดยเฉพาะคนที่มีอาการแพ้แล็กโทส เจลาติน หรือ อาหารทะเล ควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมเหล่านี้ เช่น คอลลาเจนจากปลา รวมถึงตรวจสอบว่าไม่มีสารแต่งสี แต่งกลิ่น หรือสารกันเสีย ที่อาจก่อให้เกิดอาการแพ้

เลือกแบรนด์ที่ได้มาตรฐานและปลอดภัย

          ควรเลือกแบรนด์ที่มีมาตรฐานการผลิตที่เชื่อถือได้ ผ่านการตรวจสอบคุณภาพ ปราศจากสารปนเปื้อน และมีเลขทะเบียน อย. ระบุบนฉลากอย่างชัดเจน เพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์

พิจารณาความคุ้มค่าและความต่อเนื่องในการรับประทาน

          แคลเซียมเสริมจำเป็นต้องรับประทานอย่างต่อเนื่อง จึงควรเลือกสูตรที่รับประทานง่าย ไม่ระคายเคืองกระเพาะอาหาร และมีราคาที่เหมาะสมกับการรับประทานในระยะยาว

แคลเซียมเสริมวิตามินดี 
ยี่ห้อไหนดี ปี 2025

          มาถึงตรงนี้ถ้าใครอยากเสริมแคลเซียมและวิตามินดีให้กับร่างกาย แต่เลือกไม่ถูกว่าจะซื้อแบรนด์ไหนดี ลองพิจารณาจากข้อมูลด้านล่างนี้ดูก่อนเลย

1. MEGA We care CALCIUM-D

แคลเซียมเสริมวิตามินดี MEGA We care CALCIUM-D

ภาพจาก : megawecare.co.th

          MEGA We care CALCIUM-D เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแคลเซียมที่ได้รับความนิยมติดอันดับต้น ๆ เลยค่ะ โดยแต่ละแคปซูลมีส่วนประกอบของแคลเซียมคาร์บอเนต 1,500 มิลลิกรัม เทียบเท่ากับแคลเซียมสุทธิ 600 มิลลิกรัม มาในรูปแบบแคลเซียมเหลว บรรจุภายในแคปซูลนิ่ม กลืนง่าย ร่างกายสามารถดูดซึมได้ทันที อีกทั้งยังเสริมด้วยวิตามินดี 3 ปริมาณ 200 หน่วยสากล (IU) ที่มีส่วนช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซึมแคลเซียมให้เข้าสู่ร่างกายได้ดียิ่งขึ้นด้วย

          MEGA We care CALCIUM-D จึงเหมาะสำหรับคนที่ต้องการดูแลสุขภาพของกระดูกและฟันให้แข็งแรงตามปกติ รวมถึงคนที่ได้รับแคลเซียมจากอาหารไม่เพียงพอ หรืออยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อภาวะกระดูกพรุน รับประทานวันละ 1-2 แคปซูล ก็ช่วยให้ร่างกายได้รับแคลเซียมเพียงพอต่อความต้องการในแต่ละวันแล้ว
  • วิธีรับประทาน : วันละ 1-2 แคปซูล หลังอาหาร
  • ราคาปกติ : 240 บาท (60 แคปซูล)

2. Auswelllife Liquid Calcium

แคลเซียมเสริมวิตามินดี Auswelllife Liquid Calcium

ภาพจาก : Auswelllife Official

          เอดับเบิ้ลยูแอล ลิควิด แคลเซียม (Auswelllife AWL Liquid Calcium) นำเข้าจากประเทศออสเตรเลีย เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่ใช้แคลเซียมชนิดเหลว ช่วยให้ร่างกายดูดซึมไปใช้ได้เร็วขึ้น โดยใน 1 แคปซูล ประกอบด้วยแคลเซียมคาร์บอเนต 875 มิลลิกรัม ซึ่งให้แคลเซียมสุทธิ 350 มิลลิกรัม และยังมีวิตามินดี 3 อีก 0.0025 มิลลิกรัม เพื่อช่วยเสริมการดูดซึมแคลเซียม เหมาะกับทุกวัยที่ได้รับแคลเซียมในแต่ละวันไม่เพียงพอ
  • วิธีรับประทาน : วันละ 1 แคปซูล 
  • ราคาปกติ : 1,990 บาท (60 แคปซูล)

3. Watsons วัตสันแคลเซียม 500 มก. ผสมวิตามินดี

แคลเซียมเสริมวิตามินดี Watsons วัตสันแคลเซียม 500 มก. ผสมวิตามินดี

ภาพจาก : Watsons

          วัตสัน (Watsons) ก็มีผลิตภัณฑ์เสริมอาหารภายใต้แบรนด์ของตัวเองเช่นกัน อย่างแคลเซียมสูตรนี้ที่มีส่วนประกอบของแคลเซียมคาร์บอเนต 1,326.32 มิลลิกรัม ให้แคลเซียมสุทธิ 500 มิลลิกรัมต่อเม็ด พร้อมเสริมด้วยวิตามินดี 3 ปริมาณ 2 มิลลิกรัม ซึ่งมีส่วนช่วยในการดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่ร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ บรรจุกระปุกละ 60 แคปซูล สามารถเก็บรักษาได้นาน 2 ปี นับจากวันผลิต
  • วิธีรับประทาน : วันละ 1 เม็ด หลังมื้ออาหาร  
  • ราคาปกติ : 295 บาท (60 แคปซูล) 

4. Blackmores Bio Calcium+D3

แคลเซียมเสริมวิตามินดี Blackmores Bio Calcium+D3

ภาพจาก : blackmores

          แบลคมอร์ส ไบโอ แคลเซียม+ดี3 (Blackmores Bio Calcium+D3) อีกหนึ่งผลิตภัณฑ์คุณภาพจากประเทศออสเตรเลีย มาพร้อมแคลเซียมคาร์บอเนต 500 มิลลิกรัม และวิตามินดี 3 ปริมาณ 200 หน่วยสากล (IU) ที่มีส่วนช่วยในการคงสภาพปกติของกระดูกและฟัน เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปที่ได้รับแคลเซียมจากอาหารไม่เพียงพอ แต่เม็ดยาของแบรนด์นี้จะมีขนาดค่อนข้างใหญ่หน่อย อาจไม่ถูกใจคนที่กลืนยาได้ยากค่ะ
  • วิธีรับประทาน : วันละ 1 เม็ด พร้อมอาหาร  
  • ราคาปกติ : 400 บาท (60 แคปซูล) / 690 บาท (120 แคปซูล)  

5. Clover Plus CALCAD

แคลเซียมเสริมวิตามินดี Clover Plus CALCAD

ภาพจาก : cloverplusthailand

          โคลเวอร์ พลัส แคลแคท (Clover Plus CALCAD) ขวดนี้ผสานแคลเซียม 2 ชนิด ได้แก่ แคลเซียมคาร์บอเนต 500 มิลลิกรัม และแคลเซียม อะมิโน แอซิด คีเลต 250 มิลลิกรัม พร้อมด้วยวิตามินดี 3 ปริมาณ 1 มิลลิกรัม ที่มีส่วนช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังเสริมด้วยวิตามินและแร่ธาตุอื่น ๆ เช่น แมกนีเซียม อะมิโน แอซิด คีเลต, ไอรอน อะมิโน แอซิด คีเลต, วิตามินซี, วิตามินเอ, วิตามินบี 2 และวิตามินบี 12 ที่ช่วยสนับสนุนการทำงานของร่างกายในหลายระบบ 
  • วิธีรับประทาน : วันละ 2 แคปซูล พร้อมมื้ออาหารหรือหลังมื้ออาหาร 
  • ราคาปกติ : 900 บาท (30 แคปซูล) 

6. Nature's Way Calcium + Vitamin D3

แคลเซียมเสริมวิตามินดี Nature's Way Calcium + Vitamin D3

ภาพจาก : Pharmacare Lab Official

          เนเจอร์ เวย์ (Nature's Way) แคลเซียม + วิตามินดี 3 แบบเม็ด มีส่วนประกอบของแคลเซียมคาร์บอเนต 1,667 มิลลิกรัม โดยให้แคลเซียมสุทธิ 600 มิลลิกรัมต่อแคปซูล ในขณะเดียวกันก็ยังให้วิตามินดี 3 มาด้วยอีก 5 มิลลิกรัม เพื่อสนับสนุนการทำงานของแคลเซียมในด้านการดูแลสุขภาพกระดูกและฟันค่ะ
  • วิธีรับประทาน : วันละ 1 เม็ด พร้อมมื้ออาหารหรือตามแพทย์สั่ง 
  • ราคาปกติ : 349 บาท (50 แคปซูล) 

7. Viboosta สูตร Colla Cal D

แคลเซียม Viboosta สูตร Colla Cal D

ภาพจาก : Viboosta Thailand

          ใครไม่สะดวกกินแคลเซียมแบบเม็ด ลองพิจารณาแคลเซียมชนิดเม็ดฟู่อย่าง ไวบูสต้า (Viboosta) สูตร Colla Cal D ที่ให้แคลเซียม 150 มิลลิกรัมต่อเม็ด ในรูปของแคลเซียมคาร์บอเนต และแคลเซียม แอล-ทรีโอเนต พร้อมเสริมด้วยคอลลาเจนไทป์ทู, วิตามินดี 3 และวิตามินซี ในเม็ดเดียว โดยทางแบรนด์ก็ให้ข้อมูลมาด้วยว่า แค่กินวันละ 1 เม็ด จะให้ปริมาณแคลเซียมใกล้เคียงกับการดื่มนมสดประมาณ 1 แก้วเลยทีเดียว
  • วิธีรับประทาน : ใส่เม็ดวิตามิน 1 เม็ดลงในน้ำอุณหภูมิห้อง ประมาณ 200 มิลลิลิตร รอจนวิตามินละลายในน้ำ ใช้ช้อนคนให้ละลายและรับประทาน 
  • ราคาปกติ : 159 บาท (20 เม็ดฟู่) 

แคลเซียมกินตอนไหนดีที่สุด

          แคลเซียมกินตอนไหนดีที่สุด ? คำตอบขึ้นอยู่กับชนิดของแคลเซียมที่เลือกค่ะ หากเป็นแคลเซียมคาร์บอเนต ควรรับประทานพร้อมอาหารมื้อหลัก เช่น มื้อเช้าหรือมื้อกลางวัน เพราะต้องอาศัยกรดในกระเพาะอาหารช่วยย่อยและดูดซึมให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

          ส่วนแคลเซียมซิเตรต หรือแคลเซียม แอล-ทรีโอเนต สามารถดูดซึมได้โดยไม่ต้องอาศัยกรดในกระเพาะอาหาร จึงรับประทานได้ทุกเวลา ไม่ว่าจะขณะท้องว่าง หลังอาหาร หรือก่อนนอน ขึ้นอยู่กับความสะดวกของแต่ละคน

ข้อควรระวังในการรับประทานแคลเซียมเสริม

แคลเซียม การรับประทาน

          ก่อนรับประทานแคลเซียมเสริม เราต้องทราบข้อควรระวังเหล่านี้ไว้ก่อนเพื่อความปลอดภัย
 
  • ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้ดีที่สุดครั้งละประมาณ 500-600 มิลลิกรัม ดังนั้น หากรับประทานครั้งเดียวในปริมาณมากเกินไป ร่างกายจะดูดซึมได้ไม่หมด และส่วนเกินอาจทำให้เกิดอาการท้องอืด แน่นท้อง หรือท้องผูกได้ โดยเฉพาะในผู้ที่กินแคลเซียมคาร์บอเนต ควรรับประทานพร้อมอาหารมื้อหลักและดื่มน้ำตามมาก ๆ เพื่อช่วยให้ย่อยง่าย ลดโอกาสเกิดแก๊สในกระเพาะอาหารและอาการท้องผูก 
  • หากมีปัญหาท้องผูกบ่อย ๆ ควรเลือกสูตรที่มีปริมาณแคลเซียมต่อเม็ดน้อย แต่รับประทานวันละ 2 ครั้ง เช่น สูตรที่ให้แคลเซียมสุทธิ 500-600 มิลลิกรัมต่อเม็ด จะช่วยให้ร่างกายดูดซึมได้ดีขึ้น และลดอาการข้างเคียง 
  • ไม่ควรรับประทานแคลเซียมพร้อมกาแฟ ชา น้ำอัดลม หรืออาหารที่มีโซเดียมสูง เพราะอาจลดการดูดซึมแคลเซียม
  • หลีกเลี่ยงการรับประทานแคลเซียมคู่กับยาปฏิชีวนะในกลุ่มฟลูออโรควิโนโลน เตตราไซคลิน ยาลดความดันโลหิตบางกลุ่ม รวมทั้งยาในกลุ่มบิสฟอสโฟเนต และธาตุเหล็กหรือสังกะสี เพราะแคลเซียมอาจรบกวนการดูดซึมของยาเหล่านี้ หากจำเป็นต้องรับประทานควรเว้นระยะห่างกันประมาณ 2 ชั่วโมง
  • ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคไต หรือต้องกินยาเป็นประจำ เช่น ยาละลายลิ่มเลือด ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานแคลเซียมเสริม
  • เด็กและสตรีมีครรภ์ไม่ควรรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารใด ๆ โดยไม่ได้ปรึกษาแพทย์
  • ไม่ควรรับประทานแคลเซียมเสริมเกินวันละ 1,500 มิลลิกรัม เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดนิ่วในไต และอาจรบกวนการดูดซึมธาตุเหล็กและสังกะสีในร่างกาย  
  • ควรรับประทานอาหารให้หลากหลายครบ 5 หมู่ ในสัดส่วนที่เหมาะสมเป็นประจำ 
  • ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแคลเซียมไม่มีผลในการป้องกันหรือรักษาโรค
          การดูแลสุขภาพกระดูกและฟันไม่ใช่สิ่งที่ควรเริ่มตั้งแต่วันนี้ เพราะร่างกายสูญเสียแคลเซียมไปทีละน้อยทุก ๆ วัน แต่ถ้าใครไม่สามารถรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมจากธรรมชาติ เช่น นม ถั่ว ปลาเล็กปลาน้อย และผักใบเขียว ได้เป็นประจำ การเลือกผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแคลเซียมที่มีวิตามินดีมาช่วยเพิ่มการดูดซึม ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยให้ร่างกายได้รับแคลเซียมอย่างเพียงพอและต่อเนื่องค่ะ 
          อย่างไรก็ตาม ย้ำอีกทีว่าผลิตภัณฑ์เสริมอาหารใด ๆ ไม่ได้มีผลในการป้องกันหรือรักษาโรค แต่เป็นเพียงส่วนเสริมจากอาหารหลักเท่านั้น เราจึงควรรับประทานอาหารให้หลากหลายครบ 5 หมู่ ในสัดส่วนที่เหมาะสมเป็นประจำ เพื่อให้ได้รับสารอาหารจากธรรมชาติอย่างสมดุล และอย่าลืมออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อเสริมความแข็งแรงของกระดูกไปพร้อมกันด้วยนะ

บทความที่เกี่ยวข้องกับวิตามินอาหารเสริม

เรื่องน่าสนใจอื่นๆ
เรื่องที่คุณอาจสนใจ
แคลเซียม ยี่ห้อไหนดี ปี 2025 เสริมวิตามินดีมาด้วย ช่วยดูแลกระดูกและฟัน อัปเดตล่าสุด 13 พฤศจิกายน 2568 เวลา 10:29:52
TOP
x close