 
        
    ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า วิตามินดี เป็นวิตามินอีกชนิดหนึ่งที่คนไทยได้รับไม่เพียงพอ แม้ร่างกายของเราสามารถสังเคราะห์วิตามินดีได้เองที่ผิวหนังเมื่อได้รับรังสี UVB จากแสงแดด แต่จากการสำรวจสุขภาพ ของประชากรไทยกลับพบว่า มีคนไทยมากถึง 45.2% ที่ขาดวิตามินตัวนี้ โดยเฉพาะคนกรุงเทพฯ ที่มีพฤติกรรมหลบเลี่ยงแสงแดดและทาครีมกันแดดเสมอเมื่อออกแดด ซึ่งการขาดวิตามินดีเช่นนี้ส่งผลให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้ไม่เต็มที่ นำไปสู่โรคที่เกี่ยวข้องกับกระดูกมากมาย อีกทั้งยังสัมพันธ์กับการเกิดโรคอื่น ๆ เช่น โรคซึมเศร้า โรคเบาหวาน โรคมะเร็งบางชนิด รวมถึงทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงจนเสี่ยงติดเชื้อต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น
ดังนั้น ในช่วง 1-2 ปีมานี้ เราจึงเห็นคนหันมารับประทานอาหารเสริมวิตามิน D3 กันมากขึ้น เพื่อเติมวิตามินดีที่ขาดหายไป ว่าแต่...วิตามิน D3 คืออะไร แตกต่างกับวิตามินดีที่เรารู้จักไหม แล้วทำไมถึงต้องรับประทานเสริมตัวนี้ ตามมาศึกษาข้อมูลด้านล่างกันได้เลยวิตามิน D3 คืออะไร
ต่างกับ วิตามิน D2 อย่างไร
 
        
    ต้องอธิบายก่อนว่า วิตามินดี ที่เราเรียกกันเป็นคำเรียกรวมวิตามินดีทุกชนิด แต่หากแยกประเภทจะมีอยู่ 2 รูปแบบหลัก ๆ คือ วิตามิน D2 และวิตามิน D3 ซึ่งทั้ง 2 ชนิดมีความแตกต่างกัน คือ
- 
	วิตามิน D2 (Ergocalciferol) ส่วนใหญ่ได้มาจากพืช ตระกูลเห็ด รา และยีสต์ เช่น เห็ดหอม ร่างกายสามารถดูดซึมได้น้อยกว่าวิตามิน D3 
- วิตามิน D3 (Cholecalciferol) ร่างกายสร้างขึ้นเองได้จากการสัมผัสแสงแดด รวมถึงการรับประทานอาหารบางชนิด ซึ่งร่างกายจะดูดซึมวิตามิน D3 ได้ดีกว่าวิตามิน D2 จึงมีประสิทธิภาพในการเพิ่มระดับวิตามินดีในเลือดได้ดีกว่า
วิตามิน D3 มีในอาหารอะไรบ้าง
 
        
    อาหารที่มีวิตามิน D3 คือผลิตภัณฑ์จากสัตว์ เช่น ไข่แดง ตับ นม เนย น้ำมันตับปลา เนื้อวัว ชีส ปลาที่มีไขมันชนิดดีสูง อย่างปลาทูน่า ปลาแซลมอน ปลาซาร์ดีน ปลาแมคเคอเรล เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม วิตามินดีในร่างกายของเรามาจากการสังเคราะห์ที่ผิวหนังถึง 80-90% ส่วนอีก 10-20% ได้จากการรับประทานอาหารที่มีวิตามินดี ด้วยเหตุนี้แม้เราจะรับประทานอาหารดังที่กล่าวมา แต่ถ้าไม่ค่อยถูกแสงแดด หรือสวมเสื้อผ้าปกปิดร่างกาย กางร่ม ทาครีมกันแดดเมื่อออกนอกอาคาร ย่อมมีแนวโน้มขาดวิตามินดี ยังไม่รวมถึงคนที่รักษาสุขภาพ ไม่ชอบกินไข่แดง ตับ เนย เพราะกลัวคอเลสเตอรอลพุ่ง แบบนี้ก็ยิ่งขาดวิตามินดี ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพในหลาย ๆ เรื่อง
วิตามิน D3 ช่วยอะไร
ไม่ใช่แค่ดีต่อกระดูก
 
        
    ประโยชน์ของวิตามิน D3 มีหลายด้านที่ช่วยส่งเสริมการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย เช่น
- 
	ช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัสจากระบบทางเดินอาหาร ซึ่งเป็นแร่ธาตุสำคัญต่อกระดูกและฟัน ดังนั้น วิตามินดีจึงมีส่วนช่วยเสริมสร้างและรักษาความแข็งแรงของกระดูก ลดความเสี่ยงการเกิดโรคกระดูกพรุน โรคกระดูกอ่อน โดยมีการศึกษาพบว่า ผู้สูงอายุที่รับประทานอาหารเสริมวิตามิน D3 และแคลเซียมเสริม มีความเสี่ยงต่อการเกิดกระดูกสะโพกหักและกระดูกหักที่ไม่ใช่กระดูกสันหลัง (กระดูกนอกกระดูกสันหลัง) ลดลง 6% 
- 
	ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในการต่อสู้กับเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย โดยทำให้เม็ดเลือดขาวตอบสนองต่อเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกายได้ดีขึ้น 
- 
	ช่วยลดการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ ทั้งโรคหวัด ไข้หวัดใหญ่ โรคไวรัสRSV และโควิด 19 
- 
	อาจช่วยลดความรุนแรงของโรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง (Autoimmune Diseases) บางชนิดได้ เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (Multiple Sclerosis) เป็นต้น 
- 
	มีงานวิจัยพบว่า ระดับวิตามินดีที่ต่ำอาจเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของภาวะซึมเศร้า ดังนั้น การได้รับวิตามินดีในปริมาณที่เพียงพออาจช่วยลดความเสี่ยงหรือบรรเทาอาการของภาวะซึมเศร้าได้ 
- 
	มีความสำคัญต่อการทำงานของสมองและระบบประสาท ซึ่งส่งผลต่อความจำ การเรียนรู้ และการตัดสินใจ 
- 
	มีส่วนช่วยควบคุมสารสื่อประสาท รวมถึงเซโรโทนินและโดปามีน ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมอารมณ์ โดยผู้ที่มีระดับวิตามินดีสูง มักมีแนวโน้มที่จะอารมณ์ดีและมีความเครียดน้อยกว่าผู้ที่มีระดับวิตามินดีต่ำ 
- 
	ช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้อหลังออกกำลังกาย โดยวิตามินดีจะช่วยลดการอักเสบและส่งเสริมการซ่อมแซมเนื้อเยื่อของกล้ามเนื้อ รวมถึงบรรเทาอาการเมื่อยล้า 
- 
	ป้องกันการลื่นล้ม เพราะวิตามินดีมีส่วนช่วยเรื่องการยืดและหดตัวของกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะกล้ามเนื้อขา จึงช่วยให้ผู้สูงอายุก้าวเดินและทรงตัวได้ดี โดยจากการศึกษาในคนไข้สูงอายุซึ่งเป็นกลุ่มคนไข้ที่มีอัตราการลื่นล้มสูง พบว่า การรับประทานวิตามินดีปริมาณสูงสามารถลดโอกาสการลื่นล้มอันเนื่องจากกล้ามเนื้อขาอ่อนแรงได้ 22% 
- 
	ควบคุมความดันโลหิต และรักษาสมดุลของระดับแคลเซียมในร่างกาย จึงมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด 
- 
	มีส่วนช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในร่างกาย ป้องกันโรคเบาหวานชนิดที่ 2 
- 
	มีความสำคัญต่อการแบ่งตัวของเซลล์ให้เป็นไปอย่างปกติ รวมทั้งควบคุมการเจริญเติบโตของเซลล์ในร่างกาย 
ใครเสี่ยงขาดวิตามิน D3
- 
	คนที่ไม่ค่อยได้รับแสงแดด เช่น ทำงานออฟฟิศ ใช้ชีวิตในร่มเป็นเวลานาน สวมเสื้อผ้าที่ปกปิดมิดชิด ทาครีมกันแดด 
- 
	คนที่ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ โดยเฉพาะไม่ค่อยได้กินปลาที่มีไขมันชนิดดีสูง นม ชีส ไข่แดง อย่างคนกินเจ กินมังสวิรัติ เป็นต้น 
- 
	ผู้สูงอายุ มีความเสี่ยงต่อการขาดวิตามินดี เพราะร่างกายเสื่อมลง การสร้างวิตามินดีของผิวหนังลดลง 
- 
	คนที่มีผิวคล้ำจะมีเม็ดสีเมลานินมากกว่าคนผิวขาว ซึ่งอาจลดประสิทธิภาพในการสังเคราะห์วิตามินดีจากแสงแดด 
- 
	คนที่มีโรคในระบบลำไส้อาจมีปัญหาเรื่องการดูดซึมไขมัน 
- 
	คนที่มีโรคประจำตัวบางอย่าง ซึ่งส่งผลต่อการดูดซึมวิตามินดี เช่น โรคในระบบลำไส้ โรคอ้วน โรคไต โรคตับ โรคเซลิแอค โรคโครห์น เป็นต้น 
- 
	คนที่ใช้ยาบางชนิด เช่น ยาสเตียรอยด์ ยาแก้ชัก หรือ ยาลดไขมันในเลือดสูง อาจมีผลต่อระดับวิตามินดีในร่างกาย 
ขาดวิตามิน D3 จะเป็นอย่างไร
 
        
    อาการขาดวิตามินดี หรือ D3 ส่งสัญญาณให้เห็นดังนี้
- 
	อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย 
- 
	มีอาการปวดกระดูก ปวดข้อ มวลกระดูกลดลงมาก กระดูกหักง่าย ในเด็กอาจเกิดโรคกระดูกอ่อน 
- 
	ปวดกล้ามเนื้อ ปวดเมื่อยไม่ทราบสาเหตุ กล้ามเนื้ออ่อนแรง กล้ามเนื้อกระตุก หรือเป็นตะคริวบ่อย 
- 
	รู้สึกเสียวเหมือนมีอะไรทิ่มแทงที่มือหรือเท้า 
- 
	มีงานวิจัยพบว่า คนที่มีระดับวิตามินดีในเลือดต่ำกว่า 30 ng/mL มีความเสี่ยงติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจได้ง่ายกว่าคนที่มีระดับวิตามินดีในเลือดปกติ 
- 
	อารมณ์แปรปรวน มีอาการซึมเศร้า วิตกกังวล 
- 
	เจ็บป่วยง่าย 
- 
	แผลหายช้า 
- 
	นอนหลับยาก 
วิตามิน D3
ควรกินปริมาณเท่าไรต่อวัน
เพื่อป้องกันการขาดวิตามินดี เราควรได้รับวิตามินดังนี้
- 
	เด็กเล็กที่มีอายุน้อยกว่า 1 ขวบ ควรได้รับวิตามินดีอย่างน้อย 400 IU/วัน (10 ไมโครกรัม) 
- 
	ผู้ที่มีอายุ 1-70 ปี ควรได้รับวิตามินดีอย่างน้อย 600 IU/วัน (15 ไมโครกรัม) 
- 
	ผู้สูงอายุ 70 ปีขึ้นไป ควรได้รับวิตามินดีอย่างน้อย 800 IU/วัน (20 ไมโครกรัม) 
- 
	ผู้หญิงที่กำลังวางแผนตั้งครรภ์ ควรได้รับวิตามินดี 400-600 IU/วัน (10-15 ไมโครกรัม) 
- 
	สตรีตั้งครรภ์ในกลุ่มความเสี่ยงสูง ควรได้รับวิตามินดี 2,000-4,000 IU/วัน (50-100 ไมโครกรัม) 
ทั้งนี้ เพื่อให้มีระดับวิตามินดีในเลือด 25(OH)D อยู่ที่ 30-50 ng/mL ซึ่งเป็นระดับมาตรฐานที่เหมาะสมต่อความต้องการของร่างกาย และไม่ควรรับประทานวิตามินดีเกินวันละ 4,000 IU หรือ 100 ไมโครกรัม ยกเว้นกรณีที่มีข้อบ่งชี้พิเศษและอยู่ในการดูแลของแพทย์ อย่างไรก็ตาม ปริมาณที่เหมาะสมอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายและภาวะสุขภาพที่เป็นอยู่ด้วย
อย่างที่กล่าวไปว่าการได้รับวิตามินดีจากแสงแดดเป็นวิธีที่ดีที่สุด แต่ในปัจจุบันคนส่วนใหญ่มักไม่ได้รับแสงแดดอย่างเพียงพอ รวมถึงคนที่เป็นวีแกนหรือกินเจ กินมังสวิรัติ ก็ยิ่งไม่ได้รับวิตามิน D3 จากอาหาร ด้วยเหตุนี้การรับประทานอาหารเสริมวิตามิน D3 จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง
วิธีเลือกซื้ออาหารเสริมวิตามิน D3
 
        
    - 
	อาหารเสริมวิตามิน D3 มีให้เลือกอยู่ 2 แบบ คือ มีส่วนประกอบของวิตามิน D3 แบบเพียว ๆ กับมีส่วนประกอบของวิตามินและแร่ธาตุชนิดอื่น รวมอยู่ด้วยในเม็ดเดียว ขึ้นอยู่กับเราว่าต้องการสารอาหารชนิดอื่นด้วยหรือไม่ โดยวิตามินที่ผสมมา จะมีส่วนช่วยเสริมประสิทธิภาพซึ่งกันและกัน เช่น - 
		วิตามิน D3+แคลเซียม : วิตามิน D3 ช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียม มีประโยชน์ต่อสุขภาพกระดูก 
- 
		วิตามิน D3+K2 : วิตามิน D3 ช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียม ในขณะที่วิตามิน K2 ช่วยนำแคลเซียมไปใช้ในกระดูกและฟันอย่างถูกต้อง 
- 
		วิตามิน D3+แมกนีเซียม : แมกนีเซียมจะช่วยในการเปลี่ยนวิตามิน D3 ให้อยู่ในรูปแบบที่ใช้งานได้ 
- 
		วิตามิน D3+วิตามินบี : ทั้งคู่มีส่วนช่วยในการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ 
- 
		วิตามิน D3+วิตามินซี+สังกะสี : เสริมการทำงานในเรื่องภูมิคุ้มกัน ลดระยะเวลาของการเป็นไข้หวัด 
 
- 
		
- 
	เลือกปริมาณวิตามิน D3 ให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน โดยพิจารณาจากอายุและปัญหาสุขภาพ เช่น หากเป็นผู้สูงอายุควรได้รับวิตามิน D3 อย่างน้อย 800 IU/วัน (20 ไมโครกรัม) 
- 
	เลือกจากรูปแบบของวิตามินที่เราสะดวกรับประทาน ซึ่งมีทั้งแบบเม็ด แคปซูล แคปซูลนิ่ม เม็ดฟู่ ฯลฯ ซึ่งถ้าเป็นแบบแคปซูลนิ่มจะดูดซึมได้ดีกว่า 
- 
	เลือกตามขนาดของผลิตภัณฑ์ เช่น หากต้องพกพาออกไปรับประทานนอกบ้านบ่อย ๆ ก็ควรเลือกกระปุกเล็ก แต่ถ้ารับประทานที่บ้านกันหลายคนก็ควรเลือกกระปุกใหญ่ที่มีจำนวนเม็ดมากกว่า และราคามักจะประหยัดกว่าเล็กน้อย 
- 
	เลือกซื้อผลิตภัณฑ์จากแบรนด์ที่มีชื่อเสียงและน่าเชื่อถือ ได้รับการรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีเลข อย. ระบุชัดเจน 
 อ่านฉลากผลิตภัณฑ์อย่างละเอียด เพื่อตรวจสอบปริมาณวิตามินและคำแนะนำในการรับประทาน
- 
	เลือกผลิตภัณฑ์ที่ฝาปิดสนิท มิดชิด ไม่มีรอยเปิดหรือร่องรอยการแกะ ขวดต้องอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ไม่บุบ ไม่แตก หรือมีรอยร้าว ฉลากต้องติดแน่น ไม่ฉีกขาด หรือเลือนราง 
- 
	ตรวจสอบส่วนผสมอื่น ๆ ในผลิตภัณฑ์ เพื่อหลีกเลี่ยงส่วนประกอบที่อาจทำให้แพ้ และหลีกเลี่ยงสารปรุงแต่ง สี หรือสารกันบูด 
- 
	เปรียบเทียบราคาของแต่ละยี่ห้อ เพื่อเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีราคาเหมาะสมกับคุณภาพ 
- 
	หากมีโรคประจำตัวหรือกำลังใช้ยาอยู่ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนรับประทานอาหารเสริมวิตามิน D3 
วิตามิน D3 ยี่ห้อไหนดี
1. NAT D (แนท ดี)
 
        ภาพจาก : megawecare.co.th
          NAT D วิตามินดีจาก MEGA We care แบรนด์อาหารเสริมอันดับต้น ๆ ที่คนไทยไว้วางใจในคุณภาพ มาพร้อมวิตามิน D3 ขนาด 1,000 IU และ 5,000 IU ให้เลือกตามความเหมาะสม เพื่อใช้เสริมการดูแลสุขภาพ โดยวิตามินดีมีส่วนช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกและกล้ามเนื้อเพื่อลดอุบัติการณ์กระดูกหักในผู้สูงอายุ ช่วยลดความรุนแรงของการติดเชื้อไข้หวัดหรือปอดอักเสบ รวมทั้งมีส่วนช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในผู้ป่วยเบาหวาน และเสริมการรักษาภาวะซึมเศร้า เป็นต้น
          NAT D จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการป้องกันหรือเสริมการรักษาภาวะขาดวิตามินดี ซึ่งอาจส่งผลต่อกระดูก กล้ามเนื้อ และภูมิคุ้มกัน เช่น ผู้สูงอายุที่มีกระดูกหรือกล้ามเนื้อไม่แข็งแรง, ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสทางเดินหายใจแล้วมีอาการรุนแรงจนต้องหยุดพัก ไม่สามารถไปเรียนหรือทำงานได้ตามปกติ, ผู้ป่วยเบาหวานที่ต้องการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด, ผู้ที่มีความเครียด หรือมีความเสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้า รวมไปถึงผู้ที่รับประทานยาคลายเครียดหรือยาจิตเวชอยู่ ลองพิจารณา NAT D กระปุกนี้ไว้เป็นทางเลือกก็ได้ อย่างไรก็ตาม ควรใช้ร่วมกับคำแนะนำจากแพทย์หรือเภสัชกร เพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการของแต่ละบุคคลด้วยนะคะ
- 
	วิธีรับประทาน : วันละ 1 เม็ด หลังอาหาร 
- 
	ราคาปกติ : 60 เม็ด 400 บาท (ขนาด 1,000 IU) 
2. SWISSE CALCIUM + VITAMIN D3
 
        ภาพจาก : Swisse_Thailand
วิตามิน D3 จากแบรนด์สวิสเซ ให้วิตามิน D3 ในปริมาณ 444 IU กระปุกนี้เป็นสูตรพรีเมียมที่ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟัน เพราะมีส่วนผสมของแคลเซียมซิเตรต 317 มิลลิกรัม ซึ่งให้การดูดซึมที่ดีกว่าแคลเซียมคาร์บอเนต
- 
	วิธีรับประทาน : วันละ 1 เม็ด หลังอาหาร 
- 
	ราคาปกติ : 90 เม็ด 550 บาท 
3. Blackmores Bio Calcium+D3
 
        ภาพจาก : blackmores.co.th
แบลคมอร์ส ไบโอ แคลเซียม+ดี3 เป็นอีกหนึ่งยี่ห้อที่ให้วิตามิน D3 ในปริมาณ 200 IU มาพร้อมกับแคลเซียม 500 มิลลิกรัม โดยแคลเซียมมีส่วนช่วยในกระบวนการสร้างกระดูกและฟันที่แข็งแรง ส่วนวิตามินดีก็มีส่วนช่วยในการดูดซึมตามปกติของแคลเซียมและฟอสฟอรัส จึงทำงานร่วมกันได้ดียิ่งขึ้น
- 
	วิธีรับประทาน : วันละ 1 เม็ด พร้อมอาหาร 
- 
	ราคาปกติ : 60 เม็ด 400 บาท 
4. Now Foods Vitamin D-3 400 IU
 
        ภาพจาก : nowfoodsthailand.com
Now Foods แบรนด์อาหารเสริมนำเข้าจากประเทศสหรัฐอเมริกา ขวดนี้เป็นวิตามิน D3 ปริมาณ 400 IU/เม็ด บรรจุมาในรูปแบบซอฟต์เจลที่รับประทานง่าย ขนาดแคปซูลยาวไม่ถึงครึ่งนิ้ว น่าจะถูกใจคนที่มีปัญหากลืนยายาก
- 
	วิธีรับประทาน : วันละ 1 แคปซูล หลังมื้ออาหาร 
- 
	ราคาปกติ : 180 เม็ด 850 บาท 
5. BNH Vitamin D3 + Vitamin K2
 
        ภาพจาก : The M BRACE by BNH Hospital
ฝั่งโรงพยาบาล BNH ก็มีผลิตภัณฑ์วิตามินเสริมเช่นกัน ซึ่งคิดค้นสูตรจากทีมเภสัชกรผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ดูแลคนไข้มาอย่างยาวนาน โดยใน 1 แคปซูลมีส่วนประกอบของวิตามิน D3 และวิตามิน K2 อยู่ที่ 13 มิลลิกรัม ทำงานร่วมกันในด้านส่งเสริมสุขภาพกระดูก หัวใจและหลอดเลือด ทั้งนี้ ทางโรงพยาบาลแนะนำให้รับประทานต่อเนื่องติดต่อกันอย่างน้อย 3 เดือน
- 
	วิธีรับประทาน : วันละ 1 แคปซูล หลังอาหารเช้า 
- 
	ราคาปกติ : 30 เม็ด 520 บาท 
6. Dary Vit Vitamin D Plus Magnesium
 
        ภาพจาก : cloverplusthailand
ในแคปซูลแต่ละเม็ดของดารี่ วิต ดี พลัส แมกนีเซียม มีส่วนประกอบของแมกนีเซียมอะมิโนแอซิดคีเลต และมีวิตามิน D3 แบรนด์นี้จึงเหมาะกับคนที่ต้องการเสริมทั้งวิตามินดีและแมกนีเซียมให้จบในเม็ดเดียว
- 
	วิธีรับประทาน : วันละ 1 แคปซูล พร้อมอาหาร 
- 
	ราคาปกติ : 30 เม็ด 490 บาท 
7. Biocap Vitamin D3
 
        ภาพจาก : Biocap
สำหรับคนที่อยากได้วิตามินดีอย่างเดียว ไม่มีส่วนผสมของแร่ธาตุชนิดอื่น ขวดนี้จากไบโอแคปก็น่าสนใจ โดยใน 1 แคปซูลจะให้วิตามิน D3 เพียว ๆ 200 IU หน่วยสากล ซึ่งเป็นปริมาณที่เหมาะสมกับความต้องการของร่างกาย และที่สำคัญแบรนด์นี้มักจัดโปรฯ อยู่บ่อย ๆ ด้วย
- 
	วิธีรับประทาน : วันละ 1 แคปซูล หลังมื้ออาหารเช้าหรือเย็น 
- 
	ราคาปกติ : 30 แคปซูล 360 บาท 
8. Innobic Calcium Vitamin D3 Plus Vitamin K2
 
        ภาพจาก : Innobic Official Shop
อินโนบิก ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่รวมวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิดไว้ในเม็ดเดียว ทั้งวิตามิน D3 ในปริมาณที่เพียงพอกับปริมาณที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน, วิตามิน K2, แคลเซียม, ฟอสฟอรัส แถมยังมีแมงกานีส โบรอน และคอปเปอร์ ซึ่งล้วนแล้วแต่มีส่วนช่วยในกระบวนการสร้างกระดูกและฟันที่แข็งแรง
- 
	วิธีรับประทาน : วันละ 1 แคปซูล พร้อมมื้ออาหาร 
- 
	ราคาปกติ : 30 เม็ด 550 บาท 
วิตามิน D3 กินตอนไหน กินยังไง
ข้อควรระวังในการกินวิตามิน D3
 
        
    - อ่านคำเตือนในฉลากก่อนบริโภค
- แจ้งประวัติทางการแพทย์และอาการแพ้ให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบก่อนรับประทานวิตามิน D3
- คนที่มีระดับแคลเซียมในเลือดสูง หรือระดับวิตามินดีในเลือดสูง ไม่ควรรับประทานวิตามิน D3 เสริมเข้าไปอีก
- ผู้ที่มีปัญหาโรคไต โรคตับ ควรระวังในการรับประทานวิตามินเสริม
- เด็ก สตรีมีครรภ์และให้นมบุตร ไม่ควรรับประทานวิตามิน D3
- วิตามิน D3 อาจมีปฏิกิริยากับยาบางชนิด โดยเฉพาะยาต้านการแข็งตัวของเลือด ดังนั้น หากรับประทานยารักษาโรคอะไรอยู่ ควรปรึกษาแพทย์และเภสัชกรก่อนรับประทานวิตามิน D3
- การรับประทานวิตามิน D3 มากเกินไป อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะแคลเซียมในเลือดสูงจนเป็นอันตรายได้ และอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องผูก เบื่ออาหาร หิวน้ำบ่อย ปัสสาวะบ่อย อ่อนเพลียผิดปกติ
- หากรับประทานวิตามินตัวอื่นอยู่ด้วย ให้ตรวจดูว่าวิตามินนั้นมีส่วนประกอบของวิตามิน D3 รวมอยู่ด้วยหรือไม่ ปริมาณเท่าไร เพื่อไม่ให้กินวิตามิน D3 สะสมมากเกินไป
- พบแพทย์ทันทีเมื่อมีอาการแพ้รุนแรง เช่น มีผื่นคัน ใบหน้าบวม ลิ้นบวม เวียนหัว หายใจลำบาก
- ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารวิตามิน D3 ไม่มีผลในการป้องกันหรือรักษาโรค ควรกินอาหารหลากหลายให้ครบ 5 หมู่ ในสัดส่วนที่เหมาะสมเป็นประจำ
บทความที่เกี่ยวข้องกับอาหารเสริมและวิตามิน
- วิตามินดี ป้องกันโควิดได้ไหม ช่วยอะไรได้บ้าง
- วิตามินหมดอายุกินได้ไหม ถ้าเผลอกินอาหารเสริมหมดอายุ จะเป็นอะไรหรือเปล่า ?
- วิตามินที่ไม่ควรกินตอนท้องว่าง มีอะไรบ้าง กินพร้อมหรือหลังอาหารดีกว่า เลี่ยงผลข้างเคียง
- วิตามินที่ไม่ควรกินก่อนนอนมีตัวไหนบ้าง เช็กให้ชัดแล้วกินให้ถูกเวลา
- วิตามินต่าง ๆ ควรกินตอนไหน กินคู่กับอะไรให้ร่างกายดูดซึมได้มากที่สุด
 
ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก : megawecare.co.th, Swisse Thailand, blackmores.co.th, nowfoodsthailand.com, The M BRACE by BNH Hospital, cloverplus thailand, Biocap, Innobic Official Shop, คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล, สมาคมต่อมไร้ท่อแห่งประเทศไทย, www.webmd.com, verywellhealth.com, โครงการเพิ่มศักยภาพฐานข้อมูลอุตสาหกรรมยาทางชีวภาพและเชื้อเพลิงชีวภาพ, โรงพยาบาลนครธน, pubmed.ncbi.nlm.nih.gov
 
          
         
                             
                         
                            










