เปิดลิสต์ !! เสริมโพรไบโอติกและพรีไบโอติก ยี่ห้อไหนดี ปี 2025 สูตรลับช่วยปรับสมดุลลำไส้

         โพรไบโอติก ยี่ห้อไหนดี ปี 2025 ที่เป็นสูตรซินไบโอติก รวมทั้งโพรไบโอติกและพรีไบโอติก คู่หูดูแลลำไส้ไว้ที่เดียว เพื่อสุขภาพดีจากภายใน
โพรไบโอติกและพรีไบโอติก

          หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า "สุขภาพดีเริ่มต้นที่ลำไส้" นั่นเพราะภายในลำไส้ของเรามีจุลินทรีย์ทั้งชนิดดีและไม่ดีนับล้านล้านตัวอาศัยอยู่ ซึ่งล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย ดังนั้น เราจึงควรรักษาสมดุลของจุลินทรีย์ให้เหมาะสม ด้วยการรับประทานอาหารที่มีโพรไบโอติก ร่วมกับอาหารที่มีพรีไบโอติก เพื่อเพิ่มจำนวนจุลินทรีย์ตัวดีและลดจุลินทรีย์ตัวร้ายในลำไส้โดยตรง 

          อย่างไรก็ตาม การได้รับพรีไบโอติกและโพรไบโอติกจากอาหารในปริมาณที่เพียงพอทุกวันอาจไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทั้ง 2 ชนิด จึงเป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมในยุคนี้ แล้วเราควรเลือกซื้อโพรไบโอติก ยี่ห้อไหนดี ที่มีพรีไบโอติกเสริมมาด้วยเพื่อทำงานร่วมกันเป็นซินไบโอติก เลื่อนลงไปอ่านข้อมูลด้านล่างกันค่ะ

โพรไบโอติก คืออะไร มีประโยชน์อย่างไร

โพรไบโอติก ช่วยอะไร

         โพรไบโอติก (Probiotics) คือจุลินทรีย์ชนิดดีที่อาศัยอยู่ตามที่ต่าง ๆ ในร่างกาย โดยเฉพาะในลำไส้ หากร่างกายของเราได้รับโพรไบโอติกในปริมาณที่เหมาะสมก็จะส่งผลดีต่อสุขภาพในหลาย ๆ ด้าน อย่างเช่น

  • ช่วยปรับสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้ โดยเพิ่มจำนวนจุลินทรีย์ชนิดดี และยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ก่อโรค
  • กระตุ้นการสร้างเอนไซม์ที่ช่วยย่อยอาหารหลายชนิด และช่วยให้ร่างกายดูดซึมวิตามินและแร่ธาตุต่าง ๆ ได้ดีขึ้น
  • มีส่วนช่วยลดอาการผิดปกติของระบบทางเดินอาหาร เช่น ท้องเสีย ลำไส้แปรปรวน ลำไส้อักเสบ โรคกระเพาะอาหาร
  • บรรเทาอาการท้องผูกด้วยการลดจำนวนแบคทีเรียชนิดไม่ดีในลำไส้ พร้อมกับช่วยเพิ่มปริมาณน้ำในอุจจาระและกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ ทำให้อุจจาระนุ่มขึ้นและขับถ่ายคล่องขึ้น จึงมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ไปในตัว
  • ส่งเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ด้วยการกระตุ้นการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ต่อสู้กับเชื้อโรค อีกทั้งช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับผนังลำไส้ ทำให้แบคทีเรียและสารก่อภูมิแพ้ไม่สามารถผ่านเข้าสู่กระแสเลือดได้ จึงช่วยลดความเสี่ยงของการติดเชื้อและการเกิดอาการแพ้ต่าง ๆ
  • มีส่วนช่วยบรรเทาอาการกรดไหลย้อน เพราะจำนวนจุลินทรีย์ชนิดดีที่มากขึ้นในลำไส้ย่อมส่งผลดีต่อระบบทางเดินอาหารโดยรวม นอกจากนี้ ยังช่วยปรับปรุงการทำงานของหูรูดหลอดอาหารส่วนล่างและกระเพาะอาหาร ทำให้มีประสิทธิภาพในการป้องกันการไหลย้อนของกรดได้ดีขึ้น
  • มีส่วนช่วยป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียในระบบทางเดินปัสสาวะและการติดเชื้อยีสต์ในช่องคลอด โดยเฉพาะโพรไบโอติกในกลุ่มสายพันธุ์แล็กโทบาซิลลัส
          ทั้งนี้ เราสามารถเติมโพรไบโอติกให้ร่างกายได้จากอาหาร เช่น โยเกิร์ต นมเปรี้ยว นัตโตะ กิมจิ คอมบูชา ฯลฯ หรือจะเลือกรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารโพรไบโอติกก็ได้เช่นกัน

พรีไบโอติก คืออะไร มีประโยชน์อย่างไร

พรีไบโอติก คืออะไร

          พรีไบโอติก (Prebiotics) คือ ใยอาหารชนิดหนึ่งที่ร่างกายของคนเราไม่สามารถย่อยได้เต็มที่ แต่รู้ไหมว่า นี่คืออาหารชั้นดีของจุลินทรีย์ชนิดดีหรือโพรไบโอติก (Probiotics) ที่อยู่ในลำไส้ของเราเลยล่ะ หากจุลินทรีย์ดีได้รับอาหารอย่างเพียงพอก็จะเจริญเติบโตและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ระบบนิเวศในลำไส้มีความสมดุลมากขึ้น ดังนั้น พรีไบโอติกจึงมีประโยชน์ต่อสุขภาพของเรามากมาย ไม่ว่าจะเป็น… 
  • ใยอาหารในพรีไบโอติกจะช่วยเพิ่มปริมาณอุจจาระและทำให้อุจจาระนิ่มลง กระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ จึงช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น ลดอาการท้องผูก
  • เพิ่มจำนวนจุลินทรีย์ชนิดดีในลำไส้ และลดจำนวนจุลินทรีย์ชนิดไม่ดี เป็นการปรับสภาพแวดล้อมลำไส้ให้มีความสมดุล
  • ชะลอการดูดซึมน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือด ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดไม่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วหลังมื้ออาหาร
  • เพิ่มการดูดซึมแคลเซียมและแร่ธาตุต่าง ๆ ในลำไส้ ทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่จำเป็นอย่างเต็มที่
  • ช่วยควบคุมความอยากอาหาร โดยกระตุ้นการผลิตฮอร์โมนที่ช่วยในการระงับความหิว ทำให้รู้สึกอิ่มนานขึ้นและช่วยลดปริมาณอาหารที่กินในแต่ละวัน ซึ่งมีประโยชน์ต่อการควบคุมน้ำหนัก
       แหล่งอาหารที่มีพรีไบโอติกมีอยู่ทั้งในผัก-ผลไม้ เช่น หน่อไม้ฝรั่ง หัวหอม กระเทียม กล้วยดิบ แอปเปิล เบอร์รี มะเขือเทศ รวมทั้งอาหารในกลุ่มธัญพืชและถั่ว อย่างข้าวโอ๊ต ข้าวสาลี โฮลเกรน ถั่วเหลือง เมล็ดแฟลกซ์ เป็นต้น

ซินไบโอติก คืออะไร มีประโยชน์อย่างไร

ซินไบโอติก

          ซินไบโอติก (Synbiotics) คือผลิตภัณฑ์ที่รวมจุลินทรีย์ดีอย่างโพรไบโอติก และใยอาหารที่เป็นอาหารของจุลินทรีย์ดีอย่างพรีไบโอติกเข้าไว้ด้วยกัน โดยทั้งคู่จะทำงานเสริมซึ่งกันและกัน ช่วยให้โพรไบโอติกที่ได้รับเข้าไปในร่างกายสามารถอยู่รอดและเติบโตได้ดีขึ้น นำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีต่อสุขภาพลำไส้ ระบบทางเดินอาหาร การดูดซึมสารอาหาร รวมทั้งระบบภูมิคุ้มกัน  

         เพราะฉะนั้น หากเรากำลังมองหาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารโพรไบโอติกมาดูแลสุขภาพ ก็ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของพรีไบโอติก หรือที่เรียกว่า ซินไบโอติก ด้วยเสมอนะคะ 

วิธีเลือกซื้อโพรไบโอติก ต้องพิจารณาอะไรบ้าง

ซินไบโอติก

       อย่างที่เห็นกันว่า ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารโพรไบโอติกมีให้เลือกมากมายหลากหลายแบรนด์ในท้องตลาด แล้วเราควรจะเลือกซื้อโพรไบโอติกแบบไหนดีนะถึงตรงกับความต้องการมากที่สุด ลองพิจารณาจากตรงนี้เลย 
  • มองหาผลิตภัณฑ์ที่เป็นสูตรซินไบโอติก : นั่นก็คือต้องเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของพรีไบโอติก เพื่อเสริมประสิทธิภาพการทำงานของจุลินทรีย์ดี โดยพรีไบโอติกที่นิยมใช้ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารก็อย่างเช่น อินนูลิน (Inulin), ฟรุกโตโอลิโกแซคคาไรด์ (FOS), กาแลคโตโอลิโกแซคคาไรด์ (GOS), ไซโลโอลิโกแซคคาไรด์ (XOS) เป็นต้น
     
  • เลือกสายพันธุ์โพรไบโอติกที่เหมาะสมกับปัญหาสุขภาพของตัวเอง : โพรไบโอติกแต่ละสายพันธุ์มีคุณสมบัติและกลไกการทำงานที่แตกต่างกัน การเลือกสายพันธุ์ที่ตรงกับปัญหาจะช่วยให้เราได้รับประโยชน์ที่ต้องการอย่างตรงจุด เช่น 
    • บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (Bifidobacterium lactis) : ช่วยดูแลสุขภาพระบบขับถ่าย ลดปัญหาท้องผูก รวมทั้งช่วยเสริมสร้างสุขภาพลำไส้ในเด็กเล็ก
    • แล็กโทบาซิลลัส แอซิโดฟิลัส (Lactobacillus acidophilus) : มีบทบาทในเรื่องการย่อยแล็กโทส ลดอาการท้องเสีย รักษาสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้และช่องคลอด 
    • แล็กโทบาซิลลัส รามโนซัส (Lactobacillus rhamnosus) : มีส่วนช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย และอาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคภูมิแพ้ผิวหนังในทารกและเด็กเล็ก
    • แล็กโทบาซิลลัส คาเซอิ (Lactobacillus casei) : เป็นสายพันธุ์ที่ช่วยลดอาการท้องผูกและท้องเสีย และอาจช่วยลดความเสี่ยงของการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร
    • แล็กโทบาซิลลัส พาราคาเซอิ (Lactobacillus paracasei) : เป็นจุลินทรีย์ที่มีงานวิจัยรองรับว่ามีส่วนช่วยในเรื่องของภูมิคุ้มกันและการลดอาการภูมิแพ้
    • บาซิลลัส โคแอกกูแอน (Bacillus coagulans) : เป็นแบคทีเรียที่สร้างสปอร์ได้ ทำให้ทนต่อความร้อนและกรด จึงสามารถผ่านกระเพาะอาหารและน้ำดีได้โดยไม่ถูกทำลาย มีประโยชน์ในด้านการส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกันและระบบย่อยอาหาร
       
  • พิจารณาจำนวนสายพันธุ์ของโพรไบโอติกในแต่ละแบรนด์ : หลายคนอาจเห็นว่าบางยี่ห้อมีโพรไบโอติกแค่ 2-3 สายพันธุ์ แต่บางยี่ห้อมีส่วนผสมถึง 10 สายพันธุ์ แล้วเราควรเลือกอย่างไรดี
    • โพรไบโอติกที่มีสายพันธุ์น้อย เหมาะกับคนที่มีปัญหาสุขภาพเฉพาะทาง เช่น ท้องผูก ท้องเสีย ลำไส้แปรปรวน เพราะมักเป็นโพรไบโอติกที่มีงานวิจัยรองรับว่ามีประโยชน์เฉพาะด้านชัดเจน และเมื่อมีจำนวนสายพันธุ์ไม่มาก ผู้ผลิตก็สามารถเพิ่มปริมาณเชื้อของแต่ละสายพันธุ์ให้สูงขึ้นได้ ทำให้เชื้อมีโอกาสรอดชีวิตและไปถึงลำไส้ในปริมาณที่เพียงพอต่อการทำงาน อีกทั้งลดความเสี่ยงต่อการแพ้ในบางสายพันธุ์
    • โพรไบโอติกที่มีหลายสายพันธุ์ เหมาะกับการดูแลสุขภาพลำไส้โดยรวม หรือมีปัญหาสุขภาพหลายอย่างที่ต้องการจุลินทรีย์หลากหลายชนิด ซึ่งมักจะให้ประโยชน์ที่ครอบคลุมกว่า ข้อเสียคือ แต่ละสายพันธุ์อาจแย่งสารอาหารกันเองในลำไส้ และจำนวนเชื้อที่ให้มาอาจมีปริมาณไม่เพียงพอที่จะดูแลปัญหาเฉพาะด้าน
       
  • พิจารณาจำนวนเชื้อจุลินทรีย์ (CFU) : หากต้องการรับประทานโพรไบโอติกเพื่อดูแลสุขภาพโดยรวม ปริมาณที่เหมาะสมและแนะนำต่อวันคือ 1 พันล้าน - 1 หมื่นล้านตัว (CFU) แต่ในกรณีต้องการรับประทานเพื่อปัญหาสุขภาพเฉพาะทางอาจต้องใช้ปริมาณสูงขึ้น ซึ่งควรปรึกษาเภสัชกรหรือแพทย์ อย่างไรก็ดี การที่โพรไบโอติกมีปริมาณสูง ไม่ได้หมายความว่าดีที่สุดเสมอไปนะคะ สิ่งสำคัญคือต้องเลือกสายพันธุ์ที่เหมาะสมกับปัญหาของตัวเอง และมีจำนวน CFU ที่ได้รับการพิสูจน์ทางคลินิกว่ามีประสิทธิภาพสำหรับสายพันธุ์นั้น  
     
  • มีเทคโนโลยีการผลิตที่ช่วยให้จุลินทรีย์รอดชีวิตไปถึงลำไส้ : กว่าที่ผลิตภัณฑ์จะมาถึงมือเรามีโอกาสสัมผัสอุณหภูมิและความชื้นจากการขนส่งและการเก็บรักษา ซึ่งทำให้จุลินทรีย์ตายได้ หรือเมื่อรับประทานเข้าไปแล้วยังต้องเจอกับกรดในกระเพาะอาหารและน้ำดีในลำไส้เล็กอีก ดังนั้น ควรเลือกสายพันธุ์ที่ทนทาน เช่น บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส, แล็กโทบาซิลลัส รามโนซัส, บาซิลลัส โคแอกกูแอน เป็นต้น หรือควรพิจารณาแบรนด์ที่มีเทคโนโลยีการผลิตที่ช่วยให้จุลินทรีย์รอดชีวิตไปถึงลำไส้ใหญ่ได้อย่างปลอดภัย
     
  • เลือกจากรูปแบบของผลิตภัณฑ์ : ผลิตภัณฑ์ที่วางขายในปัจจุบันมีทั้งโพรไบโอติกแบบผงชง ผงกรอกปาก แบบแคปซูล แบบเคี้ยว แบบเจลลี่ ฯลฯ จึงควรเลือกรูปแบบที่เราสะดวกต่อการรับประทาน ดังนี้ 
    • แบบผงชง : พกสะดวก สามารถผสมกับน้ำ นม หรือเครื่องดื่มที่เย็นแล้วดื่มได้ ดูดซึมเข้าร่างกายได้ทันที เหมาะกับคนที่ไม่ชอบกลืนยาเม็ดหรือมีปัญหาการกลืน
    • แบบผงกรอกปาก : กินง่าย ไม่ต้องใช้น้ำ เหมาะกับคนที่ไม่ชอบแบบแคปซูล
    • แบบแคปซูล : เป็นรูปแบบที่ได้รับความนิยมมากที่สุด สามารถบรรจุเชื้อโพรไบโอติกได้ในปริมาณสูง แต่บางยี่ห้อแคปซูลมีขนาดใหญ่ ทำให้กลืนยากสำหรับบางคน
    • แบบเคี้ยว : กินง่าย ไม่ต้องใช้น้ำ มักมีปริมาณเชื้อโพรไบโอติกน้อยกว่าแบบแคปซูล และอาจมีส่วนผสมของสารปรุงแต่งรสหรือน้ำตาลอยู่บ้าง
    • แบบเจลลี่หรือกัมมี่ : รสชาติอร่อยเหมือนขนม แต่ปริมาณเชื้อโพรไบโอติกอาจมีไม่มากเท่าแบบอื่น และมักมีน้ำตาลหรือสารให้ความหวานค่อนข้างสูง
       
  • ความน่าเชื่อถือของแบรนด์ : ผลิตภัณฑ์โพรไบโอติกจากแบรนด์ชั้นนำมักจะลงทุนในการวิจัยและพัฒนา เพื่อค้นคว้าสายพันธุ์โพรไบโอติกที่มีประสิทธิภาพและมีงานวิจัยรองรับอย่างชัดเจน อีกทั้งมีการควบคุมคุณภาพการผลิตที่เข้มงวด ตลอดจนได้รับการรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น GMP, มีเลขทะเบียน อย. เป็นต้น ซึ่งแสดงถึงคุณภาพและความปลอดภัยของสินค้า
     
  • เปรียบเทียบความคุ้มค่ากับราคา : ควรพิจารณาความคุ้มค่ามากกว่ามองหาโพรไบโอติกที่มีราคาถูกที่สุด เพราะบางยี่ห้ออาจมีราคาถูกกว่าก็จริง แต่มีจำนวนแคปซูลหรือซองน้อยกว่า มีปริมาณเชื้อต่อหน่วยบริโภคต่ำกว่า หรือใช้เทคโนโลยีการผลิตแตกต่างกัน ซึ่งส่งผลให้ต้นทุนถูกลง แต่ประสิทธิภาพอาจไม่เท่ากัน
         เมื่อได้ไอเดียในการเลือกซื้อโพรไบโอติกแล้ว คราวนี้เรามาดูกันว่า โพรไบโอติกและพรีไบโอติก ยี่ห้อไหนน่าสนใจบ้างในปีนี้

โพรไบโอติกและพรีไบโอติก ยี่ห้อไหนดี ปี 2025

1. MEGA We care AB Pre&Pro

โพรไบโอติก MEGA We care AB Pre&Pro

ภาพจาก : megawecare.co.th

          เอ บี พรีแอนด์โพร (AB Pre&Pro) จาก MEGA We care เป็นแบรนด์แรกที่หลายคนบอกต่อกันค่ะ เพราะเป็นสูตรซินไบโอติกที่รวมโพรไบโอติกและพรีไบโอติกไว้ในซองเดียว โดยใน 1 ซอง มีอินูลินที่เป็นพรีไบโอติกจากธรรมชาติ 2.24 กรัม มาพร้อมกับโพรไบโอติก 2 สายพันธุ์เฉพาะ คือ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส BB-12 (50 มิลลิกรัม) จำนวน 1 พันล้านตัว และแล็กโทบาซิลลัส แอซิโดฟิลัส LA-5 (31.25 มิลลิกรัม) จำนวน 1 พันล้านตัว ซึ่งเป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่มีงานวิจัยรองรับว่ามีส่วนช่วยปรับสมดุลของระบบทางเดินอาหาร ให้ขับถ่ายได้อย่างเป็นปกติ บรรเทาอาการท้องผูกและอาการลำไส้แปรปรวนได้อย่างเป็นธรรมชาติ อีกทั้งเป็นตัวช่วยเสริมการรักษาโรคกระเพาะเรื้อรังจากการติดเชื้อแบคทีเรีย H. Pylor สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารอีกด้วย จึงเป็นการรักษาที่ต้นเหตุ และยั่งยืน 
          นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์ซินไบโอติกยังมีส่วนช่วยดูแลระบบทางเดินอาหารที่มีความผิดปกติ เพื่อสร้างสมดุลที่ดีโดยไม่ต้องพึ่งการใช้ยาในระยะยาว AB Pre&Pro จึงเหมาะกับคนหลายกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็น…
  • คนที่มีปัญหาท้องผูก ขับถ่ายไม่สม่ำเสมอ ต้องการปรับสมดุลลำไส้
  • คนที่มีปัญหาเกี่ยวกับโรคกระเพาะอาหาร ลำไส้อักเสบ หรือมีความไม่สบายท้อง ปวดท้องเป็นประจำ
  • คนที่มีปัญหาลำไส้แปรปรวน เดี๋ยวก็ท้องผูก เดี๋ยวก็ท้องเสีย สลับกัน
          สำหรับคนที่ไม่ชอบกลืนยาเม็ดก็น่าจะถูกใจ AB Pre&Pro เช่นกันค่ะ เพราะเป็นโพรไบโอติกและพรีไบโอติกชนิดผง บรรจุในซองแยก สามารถรับประทานได้ง่าย ๆ เพียงละลายน้ำแล้วดื่ม ดูดซึมเข้าร่างกายได้ทันที วันไหนต้องการพกพาออกไปรับประทานนอกบ้านก็สะดวกดีนะ
  • วิธีรับประทาน : ผสม 1 ซอง ในน้ำเย็นครึ่งแก้ว (125 มิลลิลิตร) รับประทานวันละ 1-2 ครั้ง
  • ขนาด : 1 กล่อง บรรจุ 10 ซอง 
  • ราคาปกติ : 395 บาท

2. Modgut Probiotics++ สูตร Balance & Harmony

โพรไบโอติก Modgut Probiotics++ สูตร Balance & Harmony

ภาพจาก : modgut

         "โพรไบโอติกส์ พลัส พลัส สูตร Balance & Harmony" กล่องสีชมพู เป็นโพรไบโอติกแบบผงกรอกปากที่เน้นการดูแลลำไส้โดยเฉพาะ ด้วยส่วนผสมของโพรไบโอติก 5 สายพันธุ์ คือ บาซิลลัส โคแอกกูแอน, บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส, บิฟิโดแบคทีเรียม ลองกัม, แล็กโทบาซิลลัส แอซิโดฟิลัส และแล็กโทบาซิลลัส รามโนซัส พร้อมพรีไบโอติกที่ช่วยเลี้ยงจุลินทรีย์ให้เติบโตแข็งแรง และไฟเบอร์ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพระบบย่อยอาหารและการขับถ่าย กล่องนี้จึงเหมาะกับคนที่มีปัญหาท้องผูก ท้องเสีย ท้องอืด ลำไส้แปรปรวนเป็นประจำ รสโยเกิร์ตกินง่าย แต่ไม่แนะนำสำหรับคนที่แพ้นม ถั่วเหลือง และกลูเตนนะคะ
  • วิธีรับประทาน : ฉีกซอง เทใส่ปาก และดื่มน้ำตาม 1-2 แก้ว รับประทานครั้งละ 1 ซอง ก่อนอาหาร 30 นาที - 1 ชั่วโมง  
  • ขนาด : 1 กล่อง บรรจุ 30 ซอง 
  • ราคาปกติ : 1,500 บาท 

3. MEDIRA Probiotic+

โพรไบโอติก MEDIRA Probiotic+

ภาพจาก : 4CARE Store

          "เมดิร่า โพรไบโอติกพลัส" ชนิดเม็ดเคี้ยว เม็ดเดียวมาพร้อมทั้งโพรไบโอติกสายพันธุ์บาซิลลัส โคแอกกูแลน 500 ล้านตัว และพรีไบโอติกจากอินนูลินที่ช่วยเสริมการทำงานของโพรไบโอติกไปในตัว จึงมีส่วนช่วยปรับสมดุลลำไส้ อร่อย เคี้ยวง่ายด้วยรสชาติโยเกิร์ต แถมยังไม่เติมน้ำตาล แต่จะใช้สารให้ความหวานจากหญ้าหวานทดแทน 
  • วิธีรับประทาน : วันละ 1-2 เม็ด เคี้ยวให้ละเอียดก่อนกลืน  
  • ขนาด : 1 หลอด บรรจุ 15 เม็ด 
  • ราคาปกติ : 210 บาท

4. Clover Plus Probiotic Plus

โพรไบโอติก Clover Plus Probiotic Plus

ภาพจาก : cloverplusthailand

          มาที่สายแคปซูลกันบ้าง ใครอยากได้จุลินทรีย์แค่ 2 ชนิด แต่ได้ประโยชน์ตรงความต้องการ ลองดู "โคลเวอร์พลัส โพรไบโอติก พลัส" ที่ในแต่ละแคปซูลให้โพรไบโอติก 2 สายพันธุ์ คือ บาซิลลัส โคแอกกูแลน (50 มิลลิกรัม) และเอ็นเทอโรค็อกคัส เฟเซียม (2.5 มิลลิกรัม) รวม 1,000 ล้านตัว พ่วงมาด้วยพรีไบโอติกอีก 2 ชนิด ช่วยเสริมการดูแลลำไส้ให้มีสุขภาพดี ที่สำคัญยังใช้เทคโนโลยี Durabactm Coating เพิ่มประสิทธิภาพการคงตัวของจุลินทรีย์ให้เหมาะสมกับสภาพอากาศที่ร้อนของประเทศไทย จึงสามารถเก็บไว้ในอุณหภูมิปกติได้โดยไม่ต้องแช่ตู้เย็น
  • วิธีรับประทาน : วันละ 1 แคปซูลพร้อมมื้ออาหาร
  • ขนาด : 1 ขวด บรรจุ 30 แคปซูล  
  • ราคาปกติ : 359 บาท  

5. PRO BILAC

โพรไบโอติก PRO BILAC

ภาพจาก : Tesara Official

          "PRO BILAC" ซินไบโอติกที่มีส่วนผสมของพรีไบโอติก 2 ชนิด และโพรไบโอติก 3 สายพันธุ์ที่แตกต่างจากแบรนด์อื่น คือ บิฟิโดแบคทีเรียม อะนิมอนิส, แล็กโทบาซิลลัส พาราคาเซอิ และแล็กโทบาซิลลัส รียูเทอรี อย่างละ 25 มิลลิกรัม ให้จุลินทรีย์ 4.6 พันล้านตัว ซึ่งมีงานวิจัยรองรับว่า แต่ละสายพันธุ์นอกจากจะดีต่อระบบขับถ่ายแล้ว ก็ยังช่วยดูแลระบบทางเดินอาหาร ผิวหนัง และระบบภูมิคุ้มกันด้วยนะ บรรจุแบบแผงแยกแคปซูลแต่ละเม็ด จึงช่วยป้องกันความชื้นและอากาศได้ดีกว่าแบบขวด ทำให้จุลินทรีย์มีโอกาสรอดชีวิตได้นานขึ้น 
  • วิธีรับประทาน : วันละ 1 แคปซูล  
  • ขนาด : 1 กล่อง บรรจุ 30 แคปซูล 
  • ราคาปกติ : 699 บาท 

6. Maxxflow Probiotics jelly

โพรไบโอติก Maxxflow Probiotics jelly

ภาพจาก : Maxxlife

          ต่อกันที่ "แม็กซ์โฟลว์ โพรไบโอติก" โพรไบโอติกแบบเจลลี่ เคี้ยวหนุบหนับ ถูกใจคนชอบกินขนม แบรนด์นี้ให้โพรไบโอติกมาเพียว ๆ 1 สายพันธุ์ ก็คือ บาซิลลัส โคแอกกูแลน (67 มิลลิกรัม) กว่า 1,000 ล้านตัว ซึ่งเป็นจุลินทรีย์ที่ทนทานต่อความร้อนและกรดในกระเพาะ พร้อมส่วนผสมของพรีไบโอติก 3 ชนิด และไฟเบอร์จากธรรมชาติ อาทิ แอปเปิล แอปเปิลไซเดอร์ หัวบุก พีช ใบอ่อนข้าวบาร์เลย์ ฯลฯ เสริมรสชาติให้อร่อยยิ่งขึ้นด้วยมิกซ์เบอร์รี คนที่ท้องผูก ขับถ่ายยาก มีแก๊สในกระเพาะอาหาร หรือเป็นกรดไหลย้อนก็สามารถรับประทานได้
  • วิธีรับประทาน : วันละ 1 ซอง  
  • ขนาด : 1 กล่อง บรรจุ 7 ซอง 
  • ราคาปกติ : 590 บาท 

7. Zeree A+

โพรไบโอติก Zeree A+

ภาพจาก : Nanozeree Official Shop

          ปิดท้ายที่ซินไบโอติกกัมมี่ จาก "เซรี่ เอ พลัส" ตัวเนื้อเจลลี่ทำมาจากปลาทะเลน้ำลึก ในแต่ละชิ้นประกอบด้วยโพรไบโอติกสายพันธุ์บิฟิโดแบคทีเรียม อะนิมอนิส และแล็กโทบาซิลลัส รามโนซัส รวม 1 พันล้านตัว ซึ่งผ่านการผลิตด้วยเทคโนโลยีพิเศษที่ช่วยคงประสิทธิภาพของโพรไบโอติกเอาไว้ นอกจากนี้ ยังมีส่วนผสมของพรีไบโอติก อย่างอินนูลิน, เพคติน FOS และสารสกัดเข้มข้นจากขมิ้นชันที่มีงานวิจัยพบว่ามีส่วนช่วยดูแลเรื่องสมอง แบรนด์นี้จึงเหมาะกับคนที่ต้องดูแลสุขภาพลำไส้และสมองไปพร้อม ๆ กัน
  • วิธีรับประทาน : วันละ 1-2 ซอง (เคี้ยวก่อนกลืน) ในช่วงเช้าหรือพร้อมมื้ออาหารที่มีไฟเบอร์สูง  
  • ขนาด : 1 ถุง มี 10 ซอง (ซองละ 2 ชิ้น) รวม 20 ชิ้น 
  • ราคาปกติ : 580 บาท  

โพรไบโอติก กินตอนไหนดี

         โดยทั่วไปมักแนะนำให้รับประทานตอนท้องว่าง เช่น ก่อนเวลาอาหาร 30 นาที หรือก่อนนอน เพราะช่วงนี้กรดในกระเพาะอาหารจะต่ำกว่าปกติ ทำให้จุลินทรีย์ในโพรไบโอติกมีโอกาสรอดจากการถูกกรดทำลาย และเดินทางเข้าสู่ลำไส้ได้มากขึ้น

          อย่างไรก็ตาม เวลาที่เหมาะสมของแต่ละยี่ห้ออาจแตกต่างกันไป จึงควรปฏิบัติตามคำแนะนำในฉลาก และเพื่อให้โพรไบโอติกทำงานอย่างมีประสิทธิภาพเต็มที่ก็ควรรับประทานอย่างสม่ำเสมอทุกวันนะคะ

ข้อควรระวังในการรับประทานโพรไบโอติก

โพรไบโอติก กินตอนไหนดี

          แม้ว่าโพรไบโอติกจะปลอดภัยสำหรับคนส่วนใหญ่ แต่ก็มีข้อควรระวังในการใช้ เพื่อให้แน่ใจว่าปลอดภัยและเหมาะสมกับสุขภาพ ดังนี้
  • ควรดื่มน้ำตาม 1-2 แก้ว หลังจากรับประทานโพรไบโอติก และพยายามดื่มน้ำเรื่อย ๆ ตลอดทั้งวัน เพื่อให้ใยอาหารทำงานได้ดีขึ้น และช่วยให้โพรไบโอติกเคลื่อนเข้าสู่ลำไส้ได้รวดเร็ว อีกทั้งป้องกันภาวะอุดตันในลำไส้ที่อาจเกิดจากการบริโภคผลิตภัณฑ์ใยอาหารชนิดแห้ง
  • ไม่ควรรับประทานโพรไบโอติกพร้อมน้ำร้อนหรืออาหารร้อน เนื่องจากความร้อนสามารถทำลายจุลินทรีย์ที่มีชีวิตได้
  • คนที่เพิ่งเริ่มรับประทานโพรไบโอติกอาจมีอาการท้องอืด ท้องผูก หรือปวดหัวได้ในบางราย
  • โพรไบโอติกชนิดเม็ดเคี้ยว ชนิดเจลลี่หรือกัมมี่ มักมีน้ำตาลหรือสารให้ความหวานบางชนิดผสมอยู่ เพื่อทำให้มีรสชาติอร่อยและกินง่ายขึ้น ในคนที่ต้องการหลีกเลี่ยงน้ำตาลหรือกำลังควบคุมน้ำหนัก ควรพิจารณาปริมาณน้ำตาลก่อนรับประทาน
  • หลีกเลี่ยงการรับประทานโพรไบโอติกพร้อมยาปฏิชีวนะ เพราะยาปฏิชีวนะจะทำลายจุลินทรีย์ทั้งดีและไม่ดี หากต้องกินยาควรเว้นระยะห่างอย่างน้อย 2-3 ชั่วโมง  
  • หากมีโรคประจำตัว โดยเฉพาะโรคเกี่ยวกับลำไส้ หรือกำลังรับประทานยาชนิดใดอยู่ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสริมโพรไบโอติก
  • เด็ก สตรีมีครรภ์ และสตรีให้นมบุตร ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารใด ๆ เพื่อความปลอดภัย
  • หากมีอาการแพ้ เช่น มีผื่นคัน ใบหน้าบวม ควรหยุดรับประทานและรีบพบแพทย์ทันที
  • ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารใด ๆ รวมถึงโพรไบโอติกไม่มีผลในการป้องกันหรือรักษาโรค ควรรับประทานอาหารที่หลากหลาย ให้ครบ 5 หมู่ ในสัดส่วนที่เหมาะสมต่อวัน
          ใครอยากเลือกซื้อ เลือกหาซินไบโอติกที่มีส่วนผสมของโพรไบโอติกและพรีไบโอติกไปช่วยเสริมจากการดูแลสุขภาพขั้นพื้นฐาน ก็ลองพิจารณาจากลิสต์ที่เรารวบรวมมาฝากกันได้เลย หรือหากไม่แน่ใจว่าตัวเองสามารถรับประทานได้หรือไม่ แนะนำให้ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อน เพื่อความปลอดภัยค่ะ 

บทความที่เกี่ยวข้องกับโพรไบโอติกและพรีไบโอติก

เรื่องน่าสนใจอื่นๆ
เรื่องที่คุณอาจสนใจ
เปิดลิสต์ !! เสริมโพรไบโอติกและพรีไบโอติก ยี่ห้อไหนดี ปี 2025 สูตรลับช่วยปรับสมดุลลำไส้ อัปเดตล่าสุด 27 สิงหาคม 2568 เวลา 15:11:44
TOP