ไวรัสตับอักเสบ อี ติดต่อทางไหน กินอาหารสุก ๆ ดิบ ๆ อย่างหมูกระทะหรือปิ้ง-ย่าง เสี่ยงจริงหรือ ? หากติดเชื้อจะมีอาการอย่างไร ใครต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะป่วยแล้วเสี่ยงอาการหนัก เรามักคุ้นเคยกับโรคไวรัสตับอักเสบ เอ, ไวรัสตับอักเสบ บี หรือ ซี กันเป็นอย่างดี แต่ยังมีอีกหนึ่งโรคที่หลายคนอาจมองข้าม ทั้งที่จริงแล้วใกล้ตัวกว่าที่คิด นั่นก็คือ ไวรัสตับอักเสบ อี โรคที่ทำให้ตับอักเสบเฉียบพลัน และสามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกวัย ความน่ากังวลคือ อาการเริ่มต้นมักคล้ายไข้ทั่วไป ทำให้หลายคนไม่ทันสังเกต วันนี้เราจะพาไปรู้จักโรคไวรัสตับอักเสบ E ให้ลึกและชัดเจนขึ้น ทั้งสาเหตุ อาการ และวิธีป้องกัน เพื่อให้ทุกคนสามารถดูแลสุขภาพตัวเองได้อย่างรอบด้านยิ่งขึ้น ไวรัสตับอักเสบอี ภาษาอังกฤษคือ Hepatitis E virus (HEV) คือภาวะตับอักเสบเฉียบพลันที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบอี เชื้อนี้มีหลายสายพันธุ์ แต่กลุ่มที่ทำให้คนป่วยมากที่สุดคือ จีโนไทป์ 1-4 ซึ่งแต่ละชนิดมีรูปแบบการแพร่กระจายที่แตกต่างกัน จีโนไทป์ 1 และ 2 : พบได้เฉพาะในมนุษย์ และมักทำให้เกิดอาการรุนแรงในพื้นที่ที่มีสุขอนามัยไม่ดี จีโนไทป์ 3 และ 4 : ส่วนใหญ่พบในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่ไม่ใช่คน เช่น หมู หมูป่า และกวาง โดยสามารถแพร่จากสัตว์สู่คนได้เป็นครั้งคราว สำหรับประเทศไทยพบการติดเชื้อจากจีโนไทป์ 3 มากที่สุด โดยมีแหล่งรังโรคสำคัญอยู่ในหมู และมักพบผู้ป่วยเป็นราย ๆ ไม่ได้ระบาดในวงกว้างในประชาชนทั่วไป ไวรัสตับอักเสบอีสามารถติดต่อผ่านระบบทางเดินอาหารเป็นหลัก แต่ก็ยังมีช่องทางอื่นที่ต้องระวังเช่นกัน โดยมีสาเหตุสำคัญดังนี้ มักเกิดจากการดื่มน้ำสกปรก ใช้น้ำไม่สะอาดในการปรุงอาหาร หรือกินอาหารที่ปนเปื้อนอุจจาระผู้ติดเชื้อ จึงพบโรคนี้ได้บ่อยในพื้นที่แถบเอเชีย แอฟริกา และอเมริกากลางที่ยังขาดแคลนน้ำสะอาดหรือระบบประปาไม่ดี โดยเฉพาะเนื้อหมูดิบ ตับหมูที่ลวกไม่สุก เนื้อกวาง หมูป่า หรือหอยดิบ ซึ่งมักพบในเมนูอาหารไทย เช่น ลาบหมู ก้อย ตับลวก รวมถึงการกินหมูกระทะที่ยังไม่สุกถึงแกนกลาง แล้วใช้ตะเกียบคีบหมูเพื่อปิ้ง-ย่างมาคีบอาหารเข้าปาก การล้างมือไม่สะอาดหลังเข้าห้องน้ำ หรือการใช้เขียง–มีดร่วมกันระหว่างอาหารดิบและอาหารสุก อาจทำให้เชื้อเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย หญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ อี สามารถถ่ายทอดเชื้อไปยังทารกในครรภ์ได้ แม้จะพบไม่บ่อย แต่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ ทั้งนี้ เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกาย มักจะผ่านระบบทางเดินอาหาร ก่อนเข้าสู่กระแสเลือดไปยังตับ จากนั้นเชื้อจะเพิ่มจำนวนในเซลล์ตับ ทำให้เกิดการอักเสบและการทำงานของตับผิดปกติ ส่งผลให้เกิดอาการต่าง ๆ ตามมา หลังจากเชื้อเข้าสู่ร่างกายจะมีระยะฟักตัว 2-10 สัปดาห์ (เฉลี่ย 5-6 สัปดาห์) โดยผู้ติดเชื้อสามารถแพร่เชื้อได้ตั้งแต่ไม่กี่วันก่อนเริ่มป่วยไปจนถึง 3-4 สัปดาห์หลังมีอาการ โดยอาการมักค่อย ๆ ปรากฏตามลำดับดังนี้อาการเริ่มแรก มีไข้ต่ำ เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้องหรือจุกแน่นชายโครงขวา หลังจากผ่านไปไม่กี่วัน จึงปรากฏอาการอื่น ๆ เช่น คันหรือมีผื่นขึ้นตามตัว ปวดข้อ ท้องเสีย อ่อนเพลียมากผิดปกติ ผิวหนังและตาเริ่มมีสีเหลือง (ดีซ่าน) ปัสสาวะมีสีเข้ม อุจจาระมีสีซีด ตับโตเล็กน้อย กดแล้วรู้สึกเจ็บ หากตรวจตับจะพบค่าตับสูง อาการส่วนใหญ่มักคล้ายไวรัสตับอักเสบชนิดอื่นหรืออาการไข้ทั่วไป ทำให้หลายคนไม่ทันสังเกตว่าเกิดจากไวรัสตับอักเสบ อี ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบอีส่วนใหญ่จะมีอาการไม่รุนแรงและสามารถหายได้เองภายใน 1-6 สัปดาห์ โดยไม่กลายเป็นโรคตับอักเสบเรื้อรังเหมือนไวรัสชนิดบีหรือซี อัตราการเสียชีวิตของโรคนี้ในประเทศไทยจึงค่อนข้างต่ำ อย่างไรก็ตาม ความรุนแรงของโรคขึ้นอยู่กับสุขภาพพื้นฐานของผู้ป่วย และมีบางกลุ่มที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ คือ หญิงตั้งครรภ์ โดยเฉพาะไตรมาส 2-3 : มีความเสี่ยงภาวะตับวายเฉียบพลัน เลือดออกง่ายผิดปกติ และอาจเป็นอันตรายต่อตัวแม่และทารก ไม่เพียงเพิ่มโอกาสแท้ง แต่สถิติยังพบว่า หญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อในไตรมาสที่ 3 อาจมีอัตราเสียชีวิตสูงถึง 20-25% ส่วนทารกในครรภ์มีความเสี่ยงเสียชีวิตระหว่างตั้งครรภ์อยู่ที่ 33% หรืออาจเสียชีวิตหลังคลอดไม่นานอยู่ที่ 8% ผู้ป่วยโรคตับเรื้อรัง : ตับที่อ่อนแออยู่แล้วอาจทรุดตัวลงอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดภาวะตับล้มเหลวเฉียบพลันได้ง่ายกว่าคนทั่วไป ผู้มีภูมิคุ้มกันต่ำ : เช่น ผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะ หรือผู้ที่ใช้ยากดภูมิเป็นประจำ ร่างกายอาจไม่สามารถกำจัดไวรัสได้ดีเท่าคนทั่วไป ทำให้การอักเสบของตับดำเนินต่อเนื่องเป็นเวลานาน นำไปสู่การทำลายเซลล์ตับอย่างรุนแรง และเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะตับวายเฉียบพลัน ปัจจุบันยังไม่มียารักษาเฉพาะสำหรับไวรัสตับอักเสบ อี แต่โดยทั่วไปโรคนี้มักหายได้เอง หรือให้ยาตามอาการ ทำให้ผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล อาการจะค่อย ๆ ดีขึ้นภายใน 1-6 สัปดาห์ เมื่อระบบภูมิคุ้มกันสามารถกำจัดไวรัสได้ สิ่งสำคัญที่ควรทำระหว่างป่วยคือ พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมาก ๆ หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์ และหลีกเลี่ยงยาที่อาจทำให้ตับทำงานหนักโดยไม่จำเป็น อย่างไรก็ตาม หากผู้ป่วยอยู่ในกลุ่มเสี่ยง เช่น หญิงตั้งครรภ์ ผู้ป่วยโรคตับเรื้อรัง หรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ ควรพบแพทย์และพิจารณารักษาในโรงพยาบาลเพื่อความปลอดภัย ในบางกรณีแพทย์อาจเลือกใช้ยาต้านไวรัส Ribavirin เพื่อลดปริมาณเชื้อ แต่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะยาในกลุ่มนี้ไม่เหมาะสำหรับหญิงตั้งครรภ์ ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบอี ชื่อ Hecolin® (HEV 239) ซึ่งได้รับอนุญาตให้ใช้ในประเทศจีนสำหรับผู้ใหญ่สุขภาพดี อายุ 16 ปีขึ้นไป และมีการใช้งานในบางประเทศในทวีปแอฟริกาในบริบทเฉพาะ เช่น การควบคุมการระบาด สำหรับประเทศไทยยังไม่มีการขึ้นทะเบียนหรือจัดให้ใช้วัคซีนชนิดนี้เพื่อป้องกันไวรัสตับอักเสบอี การป้องกันเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการลดความเสี่ยงการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบอี โดยสามารถทำได้ดังนี้ หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารกึ่งสุกกึ่งดิบ ใช้ตะเกียบแยกสำหรับของดิบและของสุกเมื่อต้มอาหาร เช่น หมูกระทะ ชาบู หรือสุกี้ ปรุงอาหารให้สุกทั่วถึงจนถึงแกนกลาง ใช้ช้อนกลางเมื่อรับประทานอาหารร่วมกับผู้อื่น หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำหรือใช้น้ำแข็งที่ไม่สะอาด ใช้น้ำสะอาดสำหรับล้างผัก ผลไม้ และประกอบอาหารทุกขั้นตอน แยกเขียงและมีดสำหรับอาหารดิบ-อาหารสุก ไม่ใช้ปะปนกัน และทำความสะอาดอุปกรณ์ทำอาหารทุกครั้งเมื่อสัมผัสอาหารกิบ ล้างมือบ่อย ๆ ด้วยสบู่ โดยเฉพาะก่อนรับประทานอาหารและหลังเข้าห้องน้ำ หญิงตั้งครรภ์ควรหลีกเลี่ยงเนื้อหมูดิบหรือเนื้อหมูกึ่งสุก ผู้ที่มีโรคตับควรรีบพบแพทย์เมื่อมีอาการผิดปกติ ไวรัสตับอักเสบ E แม้จะเป็นโรคที่หลายคนมองว่าไม่รุนแรง แต่ในความเป็นจริงอาจก่ออันตรายได้มากในหญิงตั้งครรภ์และผู้ที่มีโรคตับเรื้อรัง การป้องกันจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการเลือกกินอาหารที่สุกสะอาด ปรุงด้วยความร้อนเพียงพอ รวมถึงการรักษาสุขอนามัยพื้นฐานอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ หากใครมีอาการผิดปกติ เช่น ตัวเหลือง ตาเหลือง หรือปัสสาวะสีเข้ม ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยตั้งแต่ระยะแรก วัคซีนไวรัสตับอักเสบบี ราคาเท่าไร ปี 2568 ต้องฉีดกี่เข็ม ทำไมคนเกิดก่อนปี 2535 ควรไปฉีด ! ไวรัสตับอักเสบ เอ ดูดน้ำหลอดเดียวกันก็เสี่ยงติดเชื้อได้ง่าย ๆ เจาะลึกข้อมูล ไวรัสตับอักเสบบี ที่คนไทยนับล้านเป็นพาหะไม่รู้ตัว เช็ก 12 โรคตับที่พบได้บ่อย เครื่องในที่ป่วยเล็กน้อย ก็ไม่น่าไว้ใจ โรคตับห้ามกินอะไร 5 อาหารที่ควรเลี่ยง ตามคำแนะนำของแพทย์เฉพาะทาง ขอบคุณข้อมูลจาก : องค์การอนามัยโลก, my.clevelandclinic.org, เฟซบุ๊ก Yong Poovorawan