ไวรัสตับอักเสบ อี คืออะไร เกิดจากอะไร
ไวรัสตับอักเสบอี ภาษาอังกฤษคือ Hepatitis E virus (HEV) คือภาวะตับอักเสบเฉียบพลันที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบอี เชื้อนี้มีหลายสายพันธุ์ แต่กลุ่มที่ทำให้คนป่วยมากที่สุดคือ จีโนไทป์ 1-4 ซึ่งแต่ละชนิดมีรูปแบบการแพร่กระจายที่แตกต่างกัน
- จีโนไทป์ 1 และ 2 : พบได้เฉพาะในมนุษย์ และมักทำให้เกิดอาการรุนแรงในพื้นที่ที่มีสุขอนามัยไม่ดี
- จีโนไทป์ 3 และ 4 : ส่วนใหญ่พบในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่ไม่ใช่คน เช่น หมู หมูป่า และกวาง โดยสามารถแพร่จากสัตว์สู่คนได้เป็นครั้งคราว
สำหรับประเทศไทยพบการติดเชื้อจากจีโนไทป์ 3 มากที่สุด โดยมีแหล่งรังโรคสำคัญอยู่ในหมู และมักพบผู้ป่วยเป็นราย ๆ ไม่ได้ระบาดในวงกว้างในประชาชนทั่วไป
ไวรัสตับอักเสบ อี ติดต่อทางไหน
1. การรับประทานอาหารที่ปนเปื้อน
2. การกินเนื้อสัตว์ที่ปรุงไม่สุก
3. การสัมผัสสิ่งปนเปื้อน
4. การติดต่อจากแม่สู่ลูก
ไวรัสตับอักเสบ อี อาการเป็นอย่างไร
- มีไข้ต่ำ
- เบื่ออาหาร
- คลื่นไส้ อาเจียน
- ปวดท้องหรือจุกแน่นชายโครงขวา
หลังจากผ่านไปไม่กี่วัน จึงปรากฏอาการอื่น ๆ เช่น
- คันหรือมีผื่นขึ้นตามตัว
- ปวดข้อ
- ท้องเสีย
- อ่อนเพลียมากผิดปกติ
- ผิวหนังและตาเริ่มมีสีเหลือง (ดีซ่าน)
- ปัสสาวะมีสีเข้ม
- อุจจาระมีสีซีด
- ตับโตเล็กน้อย กดแล้วรู้สึกเจ็บ
- หากตรวจตับจะพบค่าตับสูง
อาการส่วนใหญ่มักคล้ายไวรัสตับอักเสบชนิดอื่นหรืออาการไข้ทั่วไป ทำให้หลายคนไม่ทันสังเกตว่าเกิดจากไวรัสตับอักเสบ อี
ไวรัสตับอักเสบ อี ป่วยแล้วอันตรายไหม
ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบอีส่วนใหญ่จะมีอาการไม่รุนแรงและสามารถหายได้เองภายใน 1-6 สัปดาห์ โดยไม่กลายเป็นโรคตับอักเสบเรื้อรังเหมือนไวรัสชนิดบีหรือซี อัตราการเสียชีวิตของโรคนี้ในประเทศไทยจึงค่อนข้างต่ำ
อย่างไรก็ตาม ความรุนแรงของโรคขึ้นอยู่กับสุขภาพพื้นฐานของผู้ป่วย และมีบางกลุ่มที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ คือ
- หญิงตั้งครรภ์ โดยเฉพาะไตรมาส 2-3 : มีความเสี่ยงภาวะตับวายเฉียบพลัน เลือดออกง่ายผิดปกติ และอาจเป็นอันตรายต่อตัวแม่และทารก ไม่เพียงเพิ่มโอกาสแท้ง แต่สถิติยังพบว่า หญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อในไตรมาสที่ 3 อาจมีอัตราเสียชีวิตสูงถึง 20-25% ส่วนทารกในครรภ์มีความเสี่ยงเสียชีวิตระหว่างตั้งครรภ์อยู่ที่ 33% หรืออาจเสียชีวิตหลังคลอดไม่นานอยู่ที่ 8%
- ผู้ป่วยโรคตับเรื้อรัง : ตับที่อ่อนแออยู่แล้วอาจทรุดตัวลงอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดภาวะตับล้มเหลวเฉียบพลันได้ง่ายกว่าคนทั่วไป
- ผู้มีภูมิคุ้มกันต่ำ : เช่น ผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะ หรือผู้ที่ใช้ยากดภูมิเป็นประจำ ร่างกายอาจไม่สามารถกำจัดไวรัสได้ดีเท่าคนทั่วไป ทำให้การอักเสบของตับดำเนินต่อเนื่องเป็นเวลานาน นำไปสู่การทำลายเซลล์ตับอย่างรุนแรง และเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะตับวายเฉียบพลัน
ไวรัสตับอักเสบ อี รักษาอย่างไร
ปัจจุบันยังไม่มียารักษาเฉพาะสำหรับไวรัสตับอักเสบ อี แต่โดยทั่วไปโรคนี้มักหายได้เอง หรือให้ยาตามอาการ ทำให้ผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล อาการจะค่อย ๆ ดีขึ้นภายใน 1-6 สัปดาห์ เมื่อระบบภูมิคุ้มกันสามารถกำจัดไวรัสได้ สิ่งสำคัญที่ควรทำระหว่างป่วยคือ พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมาก ๆ หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์ และหลีกเลี่ยงยาที่อาจทำให้ตับทำงานหนักโดยไม่จำเป็น
อย่างไรก็ตาม หากผู้ป่วยอยู่ในกลุ่มเสี่ยง เช่น หญิงตั้งครรภ์ ผู้ป่วยโรคตับเรื้อรัง หรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ ควรพบแพทย์และพิจารณารักษาในโรงพยาบาลเพื่อความปลอดภัย ในบางกรณีแพทย์อาจเลือกใช้ยาต้านไวรัส Ribavirin เพื่อลดปริมาณเชื้อ แต่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะยาในกลุ่มนี้ไม่เหมาะสำหรับหญิงตั้งครรภ์
ไวรัสตับอักเสบ อี มีวัคซีนไหม
ไวรัสตับอักเสบ อี ป้องกันอย่างไร
การป้องกันเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการลดความเสี่ยงการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบอี โดยสามารถทำได้ดังนี้
- หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารกึ่งสุกกึ่งดิบ
- ใช้ตะเกียบแยกสำหรับของดิบและของสุกเมื่อต้มอาหาร เช่น หมูกระทะ ชาบู หรือสุกี้
- ปรุงอาหารให้สุกทั่วถึงจนถึงแกนกลาง
- ใช้ช้อนกลางเมื่อรับประทานอาหารร่วมกับผู้อื่น
- หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำหรือใช้น้ำแข็งที่ไม่สะอาด
- ใช้น้ำสะอาดสำหรับล้างผัก ผลไม้ และประกอบอาหารทุกขั้นตอน
- แยกเขียงและมีดสำหรับอาหารดิบ-อาหารสุก ไม่ใช้ปะปนกัน และทำความสะอาดอุปกรณ์ทำอาหารทุกครั้งเมื่อสัมผัสอาหารกิบ
- ล้างมือบ่อย ๆ ด้วยสบู่ โดยเฉพาะก่อนรับประทานอาหารและหลังเข้าห้องน้ำ
- หญิงตั้งครรภ์ควรหลีกเลี่ยงเนื้อหมูดิบหรือเนื้อหมูกึ่งสุก
- ผู้ที่มีโรคตับควรรีบพบแพทย์เมื่อมีอาการผิดปกติ
บทความที่เกี่ยวข้องกับตับอักเสบ
- วัคซีนไวรัสตับอักเสบบี ราคาเท่าไร ปี 2568 ต้องฉีดกี่เข็ม ทำไมคนเกิดก่อนปี 2535 ควรไปฉีด !
- ไวรัสตับอักเสบ เอ ดูดน้ำหลอดเดียวกันก็เสี่ยงติดเชื้อได้ง่าย ๆ
- เจาะลึกข้อมูล ไวรัสตับอักเสบบี ที่คนไทยนับล้านเป็นพาหะไม่รู้ตัว
- เช็ก 12 โรคตับที่พบได้บ่อย เครื่องในที่ป่วยเล็กน้อย ก็ไม่น่าไว้ใจ
- โรคตับห้ามกินอะไร 5 อาหารที่ควรเลี่ยง ตามคำแนะนำของแพทย์เฉพาะทาง
ขอบคุณข้อมูลจาก : องค์การอนามัยโลก, my.clevelandclinic.org, เฟซบุ๊ก Yong Poovorawan






