ไวรัสตับอักเสบ อี อาการเป็นยังไง กินหมูกระทะเสี่ยงจริงไหม หรือแค่เข้าใจผิด ?

          ไวรัสตับอักเสบ อี ติดต่อทางไหน กินอาหารสุก ๆ ดิบ ๆ อย่างหมูกระทะหรือปิ้ง-ย่าง เสี่ยงจริงหรือ ? หากติดเชื้อจะมีอาการอย่างไร ใครต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะป่วยแล้วเสี่ยงอาการหนัก
ไวรัสตับอักเสบ อี

          เรามักคุ้นเคยกับโรคไวรัสตับอักเสบ เอ, ไวรัสตับอักเสบ บี หรือ ซี กันเป็นอย่างดี แต่ยังมีอีกหนึ่งโรคที่หลายคนอาจมองข้าม ทั้งที่จริงแล้วใกล้ตัวกว่าที่คิด นั่นก็คือ ไวรัสตับอักเสบ อี โรคที่ทำให้ตับอักเสบเฉียบพลัน และสามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกวัย ความน่ากังวลคือ อาการเริ่มต้นมักคล้ายไข้ทั่วไป ทำให้หลายคนไม่ทันสังเกต วันนี้เราจะพาไปรู้จักโรคไวรัสตับอักเสบ E ให้ลึกและชัดเจนขึ้น ทั้งสาเหตุ อาการ และวิธีป้องกัน เพื่อให้ทุกคนสามารถดูแลสุขภาพตัวเองได้อย่างรอบด้านยิ่งขึ้น

ไวรัสตับอักเสบ อี คืออะไร เกิดจากอะไร

ไวรัสตับอักเสบ อี เกิดจากอะไร

          ไวรัสตับอักเสบอี ภาษาอังกฤษคือ Hepatitis E virus (HEV) คือภาวะตับอักเสบเฉียบพลันที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบอี เชื้อนี้มีหลายสายพันธุ์ แต่กลุ่มที่ทำให้คนป่วยมากที่สุดคือ จีโนไทป์ 1-4 ซึ่งแต่ละชนิดมีรูปแบบการแพร่กระจายที่แตกต่างกัน

  • จีโนไทป์ 1 และ 2 : พบได้เฉพาะในมนุษย์ และมักทำให้เกิดอาการรุนแรงในพื้นที่ที่มีสุขอนามัยไม่ดี
  • จีโนไทป์ 3 และ 4 : ส่วนใหญ่พบในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่ไม่ใช่คน เช่น หมู หมูป่า และกวาง โดยสามารถแพร่จากสัตว์สู่คนได้เป็นครั้งคราว

          สำหรับประเทศไทยพบการติดเชื้อจากจีโนไทป์ 3 มากที่สุด โดยมีแหล่งรังโรคสำคัญอยู่ในหมู และมักพบผู้ป่วยเป็นราย ๆ ไม่ได้ระบาดในวงกว้างในประชาชนทั่วไป

ไวรัสตับอักเสบ อี ติดต่อทางไหน

ไวรัสตับอักเสบ อี ติดต่อทางไหน

          ไวรัสตับอักเสบอีสามารถติดต่อผ่านระบบทางเดินอาหารเป็นหลัก แต่ก็ยังมีช่องทางอื่นที่ต้องระวังเช่นกัน โดยมีสาเหตุสำคัญดังนี้

1. การรับประทานอาหารที่ปนเปื้อน

          มักเกิดจากการดื่มน้ำสกปรก ใช้น้ำไม่สะอาดในการปรุงอาหาร หรือกินอาหารที่ปนเปื้อนอุจจาระผู้ติดเชื้อ จึงพบโรคนี้ได้บ่อยในพื้นที่แถบเอเชีย แอฟริกา และอเมริกากลางที่ยังขาดแคลนน้ำสะอาดหรือระบบประปาไม่ดี

2. การกินเนื้อสัตว์ที่ปรุงไม่สุก

          โดยเฉพาะเนื้อหมูดิบ ตับหมูที่ลวกไม่สุก เนื้อกวาง หมูป่า หรือหอยดิบ ซึ่งมักพบในเมนูอาหารไทย เช่น ลาบหมู ก้อย ตับลวก รวมถึงการกินหมูกระทะที่ยังไม่สุกถึงแกนกลาง แล้วใช้ตะเกียบคีบหมูเพื่อปิ้ง-ย่างมาคีบอาหารเข้าปาก 

3. การสัมผัสสิ่งปนเปื้อน

          การล้างมือไม่สะอาดหลังเข้าห้องน้ำ หรือการใช้เขียง–มีดร่วมกันระหว่างอาหารดิบและอาหารสุก อาจทำให้เชื้อเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย

4. การติดต่อจากแม่สู่ลูก

          หญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ อี สามารถถ่ายทอดเชื้อไปยังทารกในครรภ์ได้ แม้จะพบไม่บ่อย แต่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ
          ทั้งนี้ เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกาย มักจะผ่านระบบทางเดินอาหาร ก่อนเข้าสู่กระแสเลือดไปยังตับ จากนั้นเชื้อจะเพิ่มจำนวนในเซลล์ตับ ทำให้เกิดการอักเสบและการทำงานของตับผิดปกติ ส่งผลให้เกิดอาการต่าง ๆ ตามมา

ไวรัสตับอักเสบ อี อาการเป็นอย่างไร

ไวรัสตับอักเสบ อี อาการ

        หลังจากเชื้อเข้าสู่ร่างกายจะมีระยะฟักตัว 2-10 สัปดาห์ (เฉลี่ย 5-6 สัปดาห์) โดยผู้ติดเชื้อสามารถแพร่เชื้อได้ตั้งแต่ไม่กี่วันก่อนเริ่มป่วยไปจนถึง 3-4 สัปดาห์หลังมีอาการ โดยอาการมักค่อย ๆ ปรากฏตามลำดับดังนี้
อาการเริ่มแรก
  • มีไข้ต่ำ 
  • เบื่ออาหาร 
  • คลื่นไส้ อาเจียน
  • ปวดท้องหรือจุกแน่นชายโครงขวา

หลังจากผ่านไปไม่กี่วัน จึงปรากฏอาการอื่น ๆ เช่น 

  • คันหรือมีผื่นขึ้นตามตัว
  • ปวดข้อ
  • ท้องเสีย
  • อ่อนเพลียมากผิดปกติ
  • ผิวหนังและตาเริ่มมีสีเหลือง (ดีซ่าน)
  • ปัสสาวะมีสีเข้ม 
  • อุจจาระมีสีซีด
  • ตับโตเล็กน้อย กดแล้วรู้สึกเจ็บ
  • หากตรวจตับจะพบค่าตับสูง

          อาการส่วนใหญ่มักคล้ายไวรัสตับอักเสบชนิดอื่นหรืออาการไข้ทั่วไป ทำให้หลายคนไม่ทันสังเกตว่าเกิดจากไวรัสตับอักเสบ อี
 

ไวรัสตับอักเสบ อี ป่วยแล้วอันตรายไหม

          ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบอีส่วนใหญ่จะมีอาการไม่รุนแรงและสามารถหายได้เองภายใน 1-6 สัปดาห์ โดยไม่กลายเป็นโรคตับอักเสบเรื้อรังเหมือนไวรัสชนิดบีหรือซี อัตราการเสียชีวิตของโรคนี้ในประเทศไทยจึงค่อนข้างต่ำ 

         อย่างไรก็ตาม ความรุนแรงของโรคขึ้นอยู่กับสุขภาพพื้นฐานของผู้ป่วย และมีบางกลุ่มที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ คือ 

  • หญิงตั้งครรภ์ โดยเฉพาะไตรมาส 2-3 : มีความเสี่ยงภาวะตับวายเฉียบพลัน เลือดออกง่ายผิดปกติ และอาจเป็นอันตรายต่อตัวแม่และทารก ไม่เพียงเพิ่มโอกาสแท้ง แต่สถิติยังพบว่า หญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อในไตรมาสที่ 3 อาจมีอัตราเสียชีวิตสูงถึง 20-25% ส่วนทารกในครรภ์มีความเสี่ยงเสียชีวิตระหว่างตั้งครรภ์อยู่ที่ 33% หรืออาจเสียชีวิตหลังคลอดไม่นานอยู่ที่ 8%
     
  • ผู้ป่วยโรคตับเรื้อรัง : ตับที่อ่อนแออยู่แล้วอาจทรุดตัวลงอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดภาวะตับล้มเหลวเฉียบพลันได้ง่ายกว่าคนทั่วไป
     
  • ผู้มีภูมิคุ้มกันต่ำ : เช่น ผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะ หรือผู้ที่ใช้ยากดภูมิเป็นประจำ ร่างกายอาจไม่สามารถกำจัดไวรัสได้ดีเท่าคนทั่วไป ทำให้การอักเสบของตับดำเนินต่อเนื่องเป็นเวลานาน นำไปสู่การทำลายเซลล์ตับอย่างรุนแรง และเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะตับวายเฉียบพลัน

ไวรัสตับอักเสบ อี รักษาอย่างไร

ไวรัสตับอักเสบ อี รักษา

          ปัจจุบันยังไม่มียารักษาเฉพาะสำหรับไวรัสตับอักเสบ อี แต่โดยทั่วไปโรคนี้มักหายได้เอง หรือให้ยาตามอาการ ทำให้ผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล อาการจะค่อย ๆ ดีขึ้นภายใน 1-6 สัปดาห์ เมื่อระบบภูมิคุ้มกันสามารถกำจัดไวรัสได้ สิ่งสำคัญที่ควรทำระหว่างป่วยคือ พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมาก ๆ หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์ และหลีกเลี่ยงยาที่อาจทำให้ตับทำงานหนักโดยไม่จำเป็น

          อย่างไรก็ตาม หากผู้ป่วยอยู่ในกลุ่มเสี่ยง เช่น หญิงตั้งครรภ์ ผู้ป่วยโรคตับเรื้อรัง หรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ ควรพบแพทย์และพิจารณารักษาในโรงพยาบาลเพื่อความปลอดภัย ในบางกรณีแพทย์อาจเลือกใช้ยาต้านไวรัส Ribavirin เพื่อลดปริมาณเชื้อ แต่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะยาในกลุ่มนี้ไม่เหมาะสำหรับหญิงตั้งครรภ์

ไวรัสตับอักเสบ อี มีวัคซีนไหม

          ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบอี ชื่อ Hecolin® (HEV 239) ซึ่งได้รับอนุญาตให้ใช้ในประเทศจีนสำหรับผู้ใหญ่สุขภาพดี อายุ 16 ปีขึ้นไป และมีการใช้งานในบางประเทศในทวีปแอฟริกาในบริบทเฉพาะ เช่น การควบคุมการระบาด สำหรับประเทศไทยยังไม่มีการขึ้นทะเบียนหรือจัดให้ใช้วัคซีนชนิดนี้เพื่อป้องกันไวรัสตับอักเสบอี 

ไวรัสตับอักเสบ อี ป้องกันอย่างไร

ไวรัสตับอักเสบ อี ป้องกัน

          การป้องกันเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการลดความเสี่ยงการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบอี โดยสามารถทำได้ดังนี้

  • หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารกึ่งสุกกึ่งดิบ
  • ใช้ตะเกียบแยกสำหรับของดิบและของสุกเมื่อต้มอาหาร เช่น หมูกระทะ ชาบู หรือสุกี้
  • ปรุงอาหารให้สุกทั่วถึงจนถึงแกนกลาง
  • ใช้ช้อนกลางเมื่อรับประทานอาหารร่วมกับผู้อื่น
  • หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำหรือใช้น้ำแข็งที่ไม่สะอาด
  • ใช้น้ำสะอาดสำหรับล้างผัก ผลไม้ และประกอบอาหารทุกขั้นตอน
  • แยกเขียงและมีดสำหรับอาหารดิบ-อาหารสุก ไม่ใช้ปะปนกัน และทำความสะอาดอุปกรณ์ทำอาหารทุกครั้งเมื่อสัมผัสอาหารกิบ
  • ล้างมือบ่อย ๆ ด้วยสบู่ โดยเฉพาะก่อนรับประทานอาหารและหลังเข้าห้องน้ำ
  • หญิงตั้งครรภ์ควรหลีกเลี่ยงเนื้อหมูดิบหรือเนื้อหมูกึ่งสุก
  • ผู้ที่มีโรคตับควรรีบพบแพทย์เมื่อมีอาการผิดปกติ
        ไวรัสตับอักเสบ E แม้จะเป็นโรคที่หลายคนมองว่าไม่รุนแรง แต่ในความเป็นจริงอาจก่ออันตรายได้มากในหญิงตั้งครรภ์และผู้ที่มีโรคตับเรื้อรัง การป้องกันจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการเลือกกินอาหารที่สุกสะอาด ปรุงด้วยความร้อนเพียงพอ รวมถึงการรักษาสุขอนามัยพื้นฐานอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ หากใครมีอาการผิดปกติ เช่น ตัวเหลือง ตาเหลือง หรือปัสสาวะสีเข้ม ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยตั้งแต่ระยะแรก  

บทความที่เกี่ยวข้องกับตับอักเสบ

เรื่องน่าสนใจอื่นๆ
เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ไวรัสตับอักเสบ อี อาการเป็นยังไง กินหมูกระทะเสี่ยงจริงไหม หรือแค่เข้าใจผิด ? อัปเดตล่าสุด 18 พฤศจิกายน 2568 เวลา 16:55:26
TOP
x close