
พูดไปหลายคนคงสงสัยกับชื่อโรคตาขี้เกียจ พร้อมตั้งคำถามว่า ดวงตาก็ขี้เกียจได้ด้วยหรือ แล้วตอนนี้เราเป็นอยู่หรือเปล่า ลองเช็กอาการหน่อย
เป็นที่ทราบกันดีว่าดวงตา เป็นอวัยวะที่สำคัญของร่างกายกาย เพราะการมีดวงตาที่คมชัดและไม่เป็นโรคนั้น สามารถทำให้เราดำเนินชีวิตได้อย่างเป็นปกติสุข แต่กระนั้นก็ยังมีโรคมากมายที่มักทำให้การมองเห็นของเรามีปัญหา ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ "โรคตาขี้เกียจ"
หลายคนอาจไม่คุ้นเคยกับชื่อโรคนี้มากนัก ซึ่งตาขี้เกียจ ไม่ได้มีความเกี่ยวพันกับอาการขยันของคนเราแต่อย่างใด แต่ตาขี้เกียจ เป็นโรคทางตาชนิดหนึ่ง ที่อาจเกิดขึ้นได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ ซึ่งมีอาการไม่รุนแรงนักแต่ถ้าปล่อยทิ้งไว้อาจทำให้ตาบอดหรือสายตามีปัญหาอย่างถาวรได้ วันนี้ลองไปทำความรู้จักโรคนี้กันกับข้อมูลของโรงพยาบาลปิยะเวท

พญ.ชลธิชา จารุมาลัย จักษุแพทย์ โรงพยาบาลปิยะเวท อธิบายถึงภาวะตาขี้เกียจว่า ภาวะตาขี้เกียจ (Lazy Eye) หรือภาษาทางการแพทย์เรียกว่า Amblyopia หมายถึง ภาวะที่สายตาข้างใดข้างหนึ่งมัวลง หรือคุณภาพการมองเห็นของสายตาไม่เท่ากันทั้งสองข้างเทียบเท่ากับคนปกติ ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการพัฒนาของสายตาด้านนั้น ๆ ถูกขัดขวางหรือหยุดไป จากภาวะต่าง ๆ ดังนี้



คนไข้โรคตาขี้เกียจส่วนใหญ่จะมาด้วยอาการตามัว มองไกลไม่ชัด ตาเข หรือในบางรายก็ไม่มีอาการอะไรเลยแต่มาตรวจสุขภาพสายตาแล้วตรวจพบว่ามีตาขี้เกียจแถมไปก็มี และเมื่อเกิดภาวะตาขี้เกียจขึ้น
การรักษาต้องเริ่มด้วยการแก้ไขที่ต้นเหตุตามด้วยการกระตุ้นตาขี้เกียจให้กลับมาทำงานตามปกติ ด้วยวิธีการปิดตาข้างที่ดีเอาไว้เพื่อให้ตาข้างที่ขี้เกียจทำงานบ้าง โดยต้องแก้ไขอาการผิดปกติทางสายตาร่วมไปด้วย

และถ้าหากพบในเด็กต้องรีบรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ เพราะถ้าปล่อยทิ้งไว้แล้วมารักษาตอนโตมักไม่ได้ผล ฉะนั้นจึงไม่ควรละเลยขั้นตอนการตรวจตาเด็ก เพราะเด็กเล็ก ๆ จะไม่สามารถรู้ได้ด้วยตัวเองว่าตาของตนเองมองไม่ค่อยเห็น รวมถึงไม่มีอาการเจ็บปวดหรือตาแดง เด็กอาจไม่ทราบว่าตนเองมองเห็นได้น้อยกว่าผู้อื่น ทำให้การพัฒนาทางสายตาด้อยกว่าคนอื่นโดยไม่รู้ตัว ซึ่งอาจจะเป็นอุปสรรคในการศึกษาและการเลือกอาชีพบางอย่างได้ในอนาคต ฉะนั้นเพื่อเป็นการป้องกันภาวะตาขี้เกียจ แพทย์จึงแนะนำให้ผู้ปกครองพาเด็กมารับการตรวจเป็นระยะ คือ ตั้งแต่แรกคลอด อายุ 6 เดือน อายุ 3 ปี หลังจากนั้นก็ให้ตรวจตาทุกปีหรืออย่างน้อยปีเว้นปีทั้งในเด็กและผู้ใหญ่
นอกจากนั้นยังมีวิธีการรักษาอีก 2 วิธี คือการสวมแว่นสายตาหรือการทำเลสิก ในกรณีที่มีสายตาผิดปกติ และการผ่าตัดกล้ามเนื้อตา สำหรับผู้ที่มีตาเขร่วมด้วย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นจักษุแพทย์จะเป็นผู้วินิจฉัยอย่างละเอียด และเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับคนไข้ เพื่อให้ได้ผลการรักษาที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด
จะเห็นได้ว่าโรคตาขี้เกียจ มีวิธีการรักษาที่ไม่ยุ่งยากและมีอาการไม่รุนแรงนัก สำคัญคือผู้ปกครองจะต้องใส่ใจในดวงตาของตนเองและบุตรหลาน หมั่นสังเกต และเข้ารับการตรวจสายตาเป็นประจำ หากพบความผิดปกติควรรีบเข้าพบจักษุแพทย์เพื่อขอคำแนะนำและรีบทำการรักษาโดยทันที เพราะดวงตาเรามีติดตัวกันมาคนละคู่ หากเสียไป หรือคุณภาพการมองเห็นไม่ดีเท่าที่ควร อาจเป็นเรื่องที่ได้ไม่คุ้มเสียอย่างแน่นอน
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
โดย พญ.ชลธิชา จารุมาลัย จักษุแพทย์ โรงพยาบาลปิยะเวท