ดีซ่าน ไม่ใช่โรค แต่ดีซ่านเป็นอาการป่วยที่มีสาเหตุมาจากหลายโรค และควรรีบรักษาอาการดีซ่านเพื่อให้ผู้ป่วยอยู่ในภาวะปกติโดยเร็วที่สุด
อาการตาเหลือง ตัวเหลือง หรือที่เราเข้าใจกันว่าเป็นอาการของดีซ่าน แท้ที่จริงแล้วไม่ใช่โรค แต่ดีซ่านเกิดจากภาวะข้างเคียงของหลายโรค ซึ่งเมื่อเป็นดีซ่านขึ้นมาแล้ว หลายคนอาจกังวลใจว่าดีซ่านจะอันตรายถึงกับพรากชีวิตของคนที่เรารักไปหรือเปล่า ดังนั้นเพื่อให้กระจ่างแจ้งแก่ใจ เรามารู้จักโรคดีซ่านกันเถอะค่ะ
ดีซ่าน เกิดจากอะไร ทำไมถึงเป็นดีซ่าน?
อาการดีซ่าน เกิดจากสารสีเหลืองที่ชื่อว่า สารบิลิรูบิน (Bilirubin) โดยสารบิลิรูบินจะหลุดออกมาจากการสลายตัวของเม็ดเลือดแดง ซึ่งโดยปกติแล้วเม็ดเลือดแดงจะมีอายุได้เพียง 120 วัน ทว่าหากเม็ดเลือดแดงที่มีอายุแก่กว่า 120 วันหลุดเข้าไปในเนื้อเยื่อ เนื้อเยื่อก็จะทำลายเม็ดเลือดแดงตัวแก่เหล่านี้ และดึงเอาเหล็กไปเก็บไว้ในไขกระดูก เพื่อเป็นวัตถุดิบสำหรับสร้างเม็ดเลือดแดงใหม่ ส่วนสารบิลิรูบินก็จะถูกกรองออกจากกระแสเลือด แล้วถูกส่งต่อไปยังตับ ตับก็จะเริ่มกระบวนการขับถ่ายของเสีย
โดยเมื่อตับได้รับสารบิลิรูบินเข้ามาแล้ว ตับจะขับสารนี้ออกมาพร้อมกับน้ำดี แล้วขับออกไปทางท่อน้ำดี ซึ่งมีทั้งท่อน้ำดีในตับ และท่อน้ำดีนอกตับ จากนั้นน้ำดีที่มีหน้าที่ช่วยย่อยอาหาร ก็จะนำเอาสารบิลิรูบินสีเหลืองปะปนมาในระบบย่อยอาหาร และลำไส้ก็จะขับสารบิลิรูบินออกจากร่างกายไปทางอุจจาระ ดังนั้นเมื่อร่างกายมีสารบิลิรูบินในเลือดค่อนข้างสูง ปัสสาวะและอุจจาระจึงมีสีเหลืองเข้มนั่นเอง
ทั้งนี้ สำหรับผู้ป่วยที่มีการสลายตัวของเม็ดเลือดแดงมากกว่าปกติ จนทำให้มีปริมาณสารบิลิรูบินสูงเกินพอดี หรือมีการอุดตันของท่อน้ำดี เป็นโรคตับอักเสบ เป็นฝีในตับ หรือถุงน้ำดีอักเสบ สารบิลิรูบินก็อาจจะคั่งอยู่ในเลือด และมีโอกาสเข้าไปจับตัวกับเนื้อเยื่อต่าง ๆ พาให้เนื้อเยื่อทั่วร่างกายมีสีเหลือง ซึ่งจะแสดงอาการชัดเจนผ่านอาการตาขาวเหลือง ตัวเหลือง ซึ่งแปลได้ว่าสารบิลิรูบินกระจายไปทั่วร่างกายแล้ว
อาการดีซ่าน เกิดจากสารสีเหลืองที่ชื่อว่า สารบิลิรูบิน (Bilirubin) โดยสารบิลิรูบินจะหลุดออกมาจากการสลายตัวของเม็ดเลือดแดง ซึ่งโดยปกติแล้วเม็ดเลือดแดงจะมีอายุได้เพียง 120 วัน ทว่าหากเม็ดเลือดแดงที่มีอายุแก่กว่า 120 วันหลุดเข้าไปในเนื้อเยื่อ เนื้อเยื่อก็จะทำลายเม็ดเลือดแดงตัวแก่เหล่านี้ และดึงเอาเหล็กไปเก็บไว้ในไขกระดูก เพื่อเป็นวัตถุดิบสำหรับสร้างเม็ดเลือดแดงใหม่ ส่วนสารบิลิรูบินก็จะถูกกรองออกจากกระแสเลือด แล้วถูกส่งต่อไปยังตับ ตับก็จะเริ่มกระบวนการขับถ่ายของเสีย
โดยเมื่อตับได้รับสารบิลิรูบินเข้ามาแล้ว ตับจะขับสารนี้ออกมาพร้อมกับน้ำดี แล้วขับออกไปทางท่อน้ำดี ซึ่งมีทั้งท่อน้ำดีในตับ และท่อน้ำดีนอกตับ จากนั้นน้ำดีที่มีหน้าที่ช่วยย่อยอาหาร ก็จะนำเอาสารบิลิรูบินสีเหลืองปะปนมาในระบบย่อยอาหาร และลำไส้ก็จะขับสารบิลิรูบินออกจากร่างกายไปทางอุจจาระ ดังนั้นเมื่อร่างกายมีสารบิลิรูบินในเลือดค่อนข้างสูง ปัสสาวะและอุจจาระจึงมีสีเหลืองเข้มนั่นเอง
ทั้งนี้ สำหรับผู้ป่วยที่มีการสลายตัวของเม็ดเลือดแดงมากกว่าปกติ จนทำให้มีปริมาณสารบิลิรูบินสูงเกินพอดี หรือมีการอุดตันของท่อน้ำดี เป็นโรคตับอักเสบ เป็นฝีในตับ หรือถุงน้ำดีอักเสบ สารบิลิรูบินก็อาจจะคั่งอยู่ในเลือด และมีโอกาสเข้าไปจับตัวกับเนื้อเยื่อต่าง ๆ พาให้เนื้อเยื่อทั่วร่างกายมีสีเหลือง ซึ่งจะแสดงอาการชัดเจนผ่านอาการตาขาวเหลือง ตัวเหลือง ซึ่งแปลได้ว่าสารบิลิรูบินกระจายไปทั่วร่างกายแล้ว
สาเหตุของอาการดีซ่าน
อาการดีซ่านมีสาเหตุมาจากหลายโรค แต่จะพบบ่อยในโรคดังต่อไปนี้
- ตับติดเชื้อ เช่น โรคไวรัสตับอักเสบ หรือโรคฉี่หนู
- โรคติดเชื้อบางชนิดที่ทำให้เกิดภาวะเม็ดเลือดแดงถูกทำลาย อย่างโรคมาลาเรีย เป็นต้น
- ตับอับอักเสบจากผลข้างเคียงของยา เช่น ยาบางตัวที่ใช้รักษาวัณโรค หรือการใช้ยาปฏิชีวนะบางชนิด
- โรคภูมิแพ้ตัวเอง ซึ่งอาจนำมาซึ่งอาการตับอักเสบได้
- โรคนิ่วในถุงน้ำดีและมะเร็งตับ ซึ่งจะก่อให้เกิดการอุดตันของท่อน้ำดี ทำให้สารบิลิรูบินคั่งอยู่ในกระแสเลือด
- โรคเลือดบางชนิด เช่น โรคจีซิกพีดี (G6PD) และโรคธาลัสซีเมีย ซึ่งส่งผลให้เม็ดเลือดแดงเกิดการสลายตัวง่ายกว่าปกติ
อาการดีซ่านมีสาเหตุมาจากหลายโรค แต่จะพบบ่อยในโรคดังต่อไปนี้
- ตับติดเชื้อ เช่น โรคไวรัสตับอักเสบ หรือโรคฉี่หนู
- โรคติดเชื้อบางชนิดที่ทำให้เกิดภาวะเม็ดเลือดแดงถูกทำลาย อย่างโรคมาลาเรีย เป็นต้น
- ตับอับอักเสบจากผลข้างเคียงของยา เช่น ยาบางตัวที่ใช้รักษาวัณโรค หรือการใช้ยาปฏิชีวนะบางชนิด
- โรคภูมิแพ้ตัวเอง ซึ่งอาจนำมาซึ่งอาการตับอักเสบได้
- โรคนิ่วในถุงน้ำดีและมะเร็งตับ ซึ่งจะก่อให้เกิดการอุดตันของท่อน้ำดี ทำให้สารบิลิรูบินคั่งอยู่ในกระแสเลือด
- โรคเลือดบางชนิด เช่น โรคจีซิกพีดี (G6PD) และโรคธาลัสซีเมีย ซึ่งส่งผลให้เม็ดเลือดแดงเกิดการสลายตัวง่ายกว่าปกติ
อาการดีซ่าน แยกแยะอย่างไร ?
นอกจากอาการตาเหลือง ตัวเหลืองแล้ว อาการของโรคดีซ่านอาจอิงกับโรคต้นเหตุที่เป็นอยู่ด้วย ดังนี้
- มีอาการเบื่ออาหาร อ่อนเพลีย
- ปวดบริเวณชายโครงด้านขวา
- มีไข้หนาวสั่น
- ปัสสาวะสีเหลืองเข้มเหมือนสีขมิ้น
- คันตามตัว
- ท้องบวม ขาบวม
- น้ำหนักลดฮวบฮาบ
นอกจากอาการตาเหลือง ตัวเหลืองแล้ว อาการของโรคดีซ่านอาจอิงกับโรคต้นเหตุที่เป็นอยู่ด้วย ดังนี้
- มีอาการเบื่ออาหาร อ่อนเพลีย
- ปวดบริเวณชายโครงด้านขวา
- มีไข้หนาวสั่น
- ปัสสาวะสีเหลืองเข้มเหมือนสีขมิ้น
- คันตามตัว
- ท้องบวม ขาบวม
- น้ำหนักลดฮวบฮาบ
อย่างไรก็ดี อาการดีซ่านในผู้ป่วยแต่ละรายอาจแตกต่างกันไป หรือมีอาการหลาย
ๆ อย่างร่วมกับอาการเจ็บป่วยของโรคที่เป็นอยู่ด้วย
ซึ่งอาจทำให้หลายคนตีความอาการของโรคผิดเพี้ยนไปได้
ดังนั้นเมื่อเกิดความผิดปกติกับตัวเอง
ก็ควรไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจรักษาอย่างละเอียดอีกครั้ง
การรักษาโรคดีซ่าน
อาการดีซ่านเป็นอาการที่เกิดจากโรคที่ผู้ป่วยเป็นอยู่ก่อนแล้ว ดังนั้นการรักษาเริ่มแรกก็ควรต้องหาสาเหตุของโรคที่ทำให้เกิดการสลายตัวของเม็ดเลือดแดงมากผิดปกติให้ได้ก่อน โดยแพทย์อาจเลือกให้ยาปฏิชีวนะกับผู้ป่วยที่เป็นโรคฉี่หนู หรือมีอาการติดเชื้อ บางรายอาจรักษาด้วยการผ่าตัด ถ้าดีซ่านมีสาเหตุจากนิ่วในถุงน้ำดี หรือรักษาไปตามอาการของผู้ป่วย เช่น ให้ยาบรรเทาอาการคัน หากมีอาการคันร่วมด้วย เป็นต้น
ย้ำกันอีกทีว่าดีซ่านเกิดได้จากหลายสาเหตุ โดยเฉพาะอาการเจ็บป่วยหรือความผิดปกติของตับและถุงน้ำดี ดังนั้นเราจึงสามารถป้องกันโรคดีซ่านได้ด้วยการรักษาสุขภาพให้แข็งแรง รักษาสุขอนามัยให้ดี เพื่อป้องกันและลดโอกาสติดเชื้อไวรัส รวมทั้งพยายามอยู่ห่างจากเครื่องดื่มแอลกฮอล์ให้มาก เพื่อป้องกันตับอ่อนแอ เสี่ยงต่อโรคตับแข็งและมะเร็งตับ
นอกจากนี้ยังควรป้องกันโรคพยาธิใบไม้ตับจากการรับประทานอาหารสุก ๆ ดิบ ๆ ด้วยนะคะ
ความรุนแรงของอาการดีซ่าน
ความรุนแรงของอาการดีซ่านขึ้นอยู่กับสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการดีซ่าน โดยหากอาการดีซ่านเกิดจากโรคนิ่วในถุงน้ำดี ความรุนแรงก็จะไม่น่ากังวล แต่หากเกิดจากมะเร็งตับ อาการจะค่อนข้างรุนแรง
แต่อย่างไรก็ดี หากมีอาการดีซ่าน ก็ควรได้รับการรักษาโดยด่วนที่สุด เพราะหากปล่อยไว้นานหรือรอดูอาการ อาจทำให้โรคลุกลาม รักษายากขึ้น มีโอกาสหายน้อยลง หรืออาจเป็นอันตรายมากกว่าเดิมได้
การปฏิบัติตัวเมื่อเป็นดีซ่าน
- ปรึกษาแพทย์ เพื่อตรวจวินิจฉัยโรคอันเป็นสาเหตุของอาการดีซ่าน เพราะยิ่งรู้ต้นตอของอาการเร็วเท่าไร โอกาสจะหายก็มากเท่านั้น
- พักผ่อนให้มาก หากมีอาการตาเหลือง ตัวเหลือง ก็ควรพักผ่อนให้มากที่สุด เพื่อให้ระบบภายในอย่างตับและถุงน้ำดีได้พักฟื้นตัวเองจนหายเป็นปกติ
- หลีกเลี่ยงอาหารประเภทไขมันสูงและอาหารรสเค็ม โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน มีอาการบวม
- ดื่มน้ำให้มาก เพื่อช่วยในกระบวนการทำงานของร่างกาย
- งดดื่มแอลกอฮอล์โดยเด็ดขาด เพราะพิษสุราอาจไปทำลายตับ ทำให้ตับอ่อนแอมากขึ้น
- ยาซื้อยากินเอง เมื่อมีอาการป่วยที่สงสัยว่าอาจเป็นดีซ่าน อย่าซื้อยามากินเองโดยเด็ดขาด เพราะยาที่ไม่ถูกกับโรคอาจเพิ่มภาระให้ตับเหนื่อยมากขึ้น
- ห้ามฉีดยาเอง หรือแม้แต่แพทย์ก็ควรเลี่ยงการรักษาด้วยวิธีนี้ เพราะการฉีดยาอาจเพิ่มโอกาสติดเชื้อให้ผู้ป่วยได้
- รักษาสุขอนามัยให้ดี โดยเฉพาะการขับถ่ายของเสีย ควรทำความสะอาดให้ดี และผู้ป่วยเองก็ควรล้างมือทุกครั้งหลังทำธุระในห้องน้ำเสร็จ
- หลีกเลี่ยงการบริจาคเลือด แม้จะเพียงแค่สงสัยว่าเป็นดีซ่านก็อย่าบริจาคเลือดจะดีกว่า
นอกจากนี้คนที่ดูแลผู้ป่วยดีซ่านเองก็ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับเลือดของผู้ป่วยโดยตรง เพราะเลือดของผู้ป่วยอาจมีเชื้อไวรัสตับอักเสบอยู่ ซึ่งอาจทำให้เชื้อไวรัสแพร่กระจายได้
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
,
โรงพยาบาลพระราม 9
WebMd