ธาตุเหล็ก สำคัญกับสุขภาพผู้หญิงมากกว่าที่คิด และหากไม่อยากป่วยเป็นโรคโลหิตจาง หรือมีอาการผิดปกติต่าง ๆ อันเกิดจากการขาดธาตุเหล็ก สาว ๆ ก็ไม่ควรพลาดสิ่งนี้
ธาตุเหล็ก สำคัญกับผู้หญิงยังไง
เหตุผลที่ธาตุเหล็กมีความสำคัญกับเพศหญิง ก็เพราะผู้หญิงมีโอกาสสูญเสียธาตุเหล็กในร่างกายมากกว่าผู้ชาย ทั้งการมีประจำเดือน ซึ่งเฉลี่ยแล้วต่อเดือนผู้หญิงจะเสียเลือดส่วนนี้ไปประมาณ 50 มิลลิลิตร หรือเท่ากับสูญเสียธาตุเหล็กไปประมาณ 15-30 มิลลิกรัมต่อเดือน และอาจจะมีแนวโน้มสูญเสียธาตุเหล็กมากขึ้นหากสาว ๆ ไม่บริโภคเนื้อสัตว์ หรือในหญิงตั้งครรภ์ และหญิงให้นมบุตร ร่างกายก็ต้องการธาตุเหล็กเพิ่มขึ้นเพื่อสร้างเม็ดเลือดแดงด้วย
ธาตุเหล็กมากขนาดไหน ที่ร่างกายต้องการ
สำหรับผู้หญิงในวัย 15-50 ปี ควรได้รับธาตุเหล็กประมาณ 15 มิลลิกรัมต่อวัน แต่หากมีอายุ 50 ปีขึ้นไป ควรรับธาตุเหล็กให้ได้วันละ 10 มิลลิกรัมก็เพียงพอค่ะ
ทั้งนี้ เพื่อความปลอดภัยของสุขภาพ ควรไปตรวจวัดปริมาณธาตุเหล็กในร่างกายให้ชัวร์ ๆ เพราะหากไม่ใช่ผู้ที่ขาดธาตุเหล็กอยู่แล้ว การรับประทานธาตุเหล็กเข้าไปเพิ่ม อาจทำให้ร่างกายกำจัดธาตุเหล็กออกไปไม่หมด และส่งผลเสียต่อการทำงานของตับได้
ทว่าจริง ๆ แล้วเราก็สามารถเช็กตัวเองได้ในเบื้องต้น จาก 15 สัญญาณของร่างกายต่อไปนี้ที่ฟ้องว่า เรากำลังขาดธาตุเหล็กอยู่นะ
- อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย โดยเฉพาะความรู้สึกเหมือนหมดแรง เหนื่อยใจ เนื่องจากเลือดไม่มีธาตุเหล็กเพียงพอจะสูบฉีดให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่าได้นั่นเอง
- ลิ้นอักเสบโดยไม่มีการติดเชื้อ
- ลิ้นบวม ตุ่มบริเวณลิ้นหายไป ลิ้นเกลี้ยงเกลามากขึ้น แต่อาจทำให้เคี้ยวอาหารลำบาก แปรงฟันลำบาก หรือหากลิ้นบวมหนักมากอาจพูดไม่ชัดได้
- ประสิทธิภาพของสมองลดลง มีอาการเหม่อลอยบ่อยขึ้น เนื่องจากออกซิเจนในเลือดน้อยเพราภาวะขาดธาตุเหล็ก
- ตัวซีด เปลือกตาด้านในซีด บ่งบอกสภาวะโลหิตจาง
- ร่างกายไวต่อเชื้อโรค มีโอกาสติดเชื้อต่าง ๆ ได้ง่าย
- มีอาการขาอยู่ไม่สุข (Restless Leg Syndrome) ต้องสั่นขา เขย่าขาตลอดเวลา เพราะรู้สึกเหมือนมีแมลงมาไต่ขา หรือไม่สั่นขาจะนั่งไม่สบาย
- หน้ามืด วิงเวียน โดยเฉพาะเมื่อเดินขึ้นบันได ขึ้นลิฟต์ หรือทำกิจกรรมที่ต้องเคลื่อนไหวหนัก ๆ
- หายใจติดขัด เจ็บแน่นหน้าอก โดยเฉพาะขณะทำกิจกรรมบางอย่างที่ต้องเคลื่อนไหวร่างกายมาก ๆ
- ปวดศีรษะ หนัก ๆ หัว เหมือนสมองไม่โปร่งใส รู้สึกขาดสมาธิในการทำกิจกรรมต่าง ๆ
- เบื่ออาหาร รู้สึกอยากกินอาหารรสชาติแปลก ๆ เช่น อยากกินดิน อยากกินน้ำแข็ง เป็นต้น
- มีดอกเล็บขึ้น เล็บเป็นรูปช้อน หรือหนังเล็บลอก
- มือเย็น เท้าเย็น
- ใจสั่นได้ง่าย แม้จะแค่เดินในระยะใกล้ ๆ หรือวิ่งระยะสั้น ๆ
หากพบว่าตัวเองมีอาการตรงกับอาการดังกล่าวหลายข้อ ลองไปพบแพทย์เพื่อวัดระดับธาตุเหล็กในร่างกาย หรืออาจเช็กง่าย ๆ จากการไปบริจาคเลือดก็ได้ค่ะ
ทั้งนี้ หากแน่ใจจริง ๆ ว่าร่างกายกำลังเรียกร้องหาธาตุเหล็กมาเติมเต็ม คุณสามารถรับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กได้ตามนี้
อาหารที่มีธาตุเหล็กสูง
- เนื้อสัตว์ต่าง ๆ โดยเฉพาะเนื้อแดง
- เลือด
- ตับ
- เครื่องในสัตว์
- ธัญพืช เช่น ซีเรียล ข้าวโอ๊ต จมูกข้าวสาลี
- แป้ง
- ไข่แดง
- อาหารทะเล
- ปลา
- เป็ด
- ไก่
- ผักใบเขียวเข้ม เช่น คะน้า ตำลึง ผักโขม ผักบุ้ง บรอกโคลี หน่อไม้ฝรั่ง เป็นต้น
- ถั่วเมล็ดแห้งต่าง ๆ
อย่างไรก็ดี อาหารบางประเภทยังอาจขัดขวางการดูดซึมธาตุเหล็กของร่างกายได้ ซึ่งอาหารที่ว่าก็อย่างเช่น ผลิตภัณฑ์นม ถั่วเหลือง ข้าวไม่ขัดสี ชา กาแฟ ซึ่งถ้าต้องการธาตุเหล็กก็ควรหลีกเลี่ยงอาหารประเภทนี้ไว้ด้วย
ส่วนอาหารที่จะช่วยเสริมการดูดซึมธาตุเหล็ก ได้แก่ อาหารอุดมวิตามินซี เช่น ส้ม ฝรั่ง มะละกอ สตรอว์เบอร์รี ส้มโอ กีวี เป็นต้น ซึ่งก็ควรรับประทานอาหารเหล่านี้ระหว่างรับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง เพื่อช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กเข้าไปใช้ได้อย่างสะดวกขึ้นนะคะ
ขอบคุณข้อมูลจาก
หมอชาวบ้าน
Prevention
livestrong
Popsugar
ถ้าบอกว่าภาวะขาดธาตุเหล็กเป็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นได้มากพอ ๆ
กับโรคฮิตประเภทอื่น หลายคนก็อาจคาดไม่ถึง
และโดยส่วนใหญ่ก็มักจะเกิดขึ้นกับผู้หญิง
รวมทั้งกลุ่มคนที่ไม่กินเนื้อสัตว์ด้วยนะคะ
ซึ่งหากไม่อยากจะป่วยเป็นโรคโลหิตจาง หรือมีความผิดปกติทางสุขภาพอื่น ๆ
ก็ควรดูแลสุขภาพของตัวเองให้ดี
โดยเฉพาะควรหมั่นเติมธาตุเหล็กในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายด้วย
เหตุผลที่ธาตุเหล็กมีความสำคัญกับเพศหญิง ก็เพราะผู้หญิงมีโอกาสสูญเสียธาตุเหล็กในร่างกายมากกว่าผู้ชาย ทั้งการมีประจำเดือน ซึ่งเฉลี่ยแล้วต่อเดือนผู้หญิงจะเสียเลือดส่วนนี้ไปประมาณ 50 มิลลิลิตร หรือเท่ากับสูญเสียธาตุเหล็กไปประมาณ 15-30 มิลลิกรัมต่อเดือน และอาจจะมีแนวโน้มสูญเสียธาตุเหล็กมากขึ้นหากสาว ๆ ไม่บริโภคเนื้อสัตว์ หรือในหญิงตั้งครรภ์ และหญิงให้นมบุตร ร่างกายก็ต้องการธาตุเหล็กเพิ่มขึ้นเพื่อสร้างเม็ดเลือดแดงด้วย
ธาตุเหล็กมากขนาดไหน ที่ร่างกายต้องการ
สำหรับผู้หญิงในวัย 15-50 ปี ควรได้รับธาตุเหล็กประมาณ 15 มิลลิกรัมต่อวัน แต่หากมีอายุ 50 ปีขึ้นไป ควรรับธาตุเหล็กให้ได้วันละ 10 มิลลิกรัมก็เพียงพอค่ะ
ทั้งนี้ เพื่อความปลอดภัยของสุขภาพ ควรไปตรวจวัดปริมาณธาตุเหล็กในร่างกายให้ชัวร์ ๆ เพราะหากไม่ใช่ผู้ที่ขาดธาตุเหล็กอยู่แล้ว การรับประทานธาตุเหล็กเข้าไปเพิ่ม อาจทำให้ร่างกายกำจัดธาตุเหล็กออกไปไม่หมด และส่งผลเสียต่อการทำงานของตับได้
ทว่าจริง ๆ แล้วเราก็สามารถเช็กตัวเองได้ในเบื้องต้น จาก 15 สัญญาณของร่างกายต่อไปนี้ที่ฟ้องว่า เรากำลังขาดธาตุเหล็กอยู่นะ
- อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย โดยเฉพาะความรู้สึกเหมือนหมดแรง เหนื่อยใจ เนื่องจากเลือดไม่มีธาตุเหล็กเพียงพอจะสูบฉีดให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่าได้นั่นเอง
- ลิ้นอักเสบโดยไม่มีการติดเชื้อ
- ลิ้นบวม ตุ่มบริเวณลิ้นหายไป ลิ้นเกลี้ยงเกลามากขึ้น แต่อาจทำให้เคี้ยวอาหารลำบาก แปรงฟันลำบาก หรือหากลิ้นบวมหนักมากอาจพูดไม่ชัดได้
- ประสิทธิภาพของสมองลดลง มีอาการเหม่อลอยบ่อยขึ้น เนื่องจากออกซิเจนในเลือดน้อยเพราภาวะขาดธาตุเหล็ก
- ตัวซีด เปลือกตาด้านในซีด บ่งบอกสภาวะโลหิตจาง
- ริมฝีปากแห้งแตก โดยเฉพาะบริเวณมุมปาก และอาจมีอาการเจ็บร่วมด้วย
จนบางทีไม่สามารถอ้าปากกว้าง ๆ ได้ มีความลำบากในเวลากินอาหาร ตอนยิ้ม
หรือแม้กระทั่งตอนเปล่งเสียง
- มีอาการขาอยู่ไม่สุข (Restless Leg Syndrome) ต้องสั่นขา เขย่าขาตลอดเวลา เพราะรู้สึกเหมือนมีแมลงมาไต่ขา หรือไม่สั่นขาจะนั่งไม่สบาย
- หน้ามืด วิงเวียน โดยเฉพาะเมื่อเดินขึ้นบันได ขึ้นลิฟต์ หรือทำกิจกรรมที่ต้องเคลื่อนไหวหนัก ๆ
- หายใจติดขัด เจ็บแน่นหน้าอก โดยเฉพาะขณะทำกิจกรรมบางอย่างที่ต้องเคลื่อนไหวร่างกายมาก ๆ
- ปวดศีรษะ หนัก ๆ หัว เหมือนสมองไม่โปร่งใส รู้สึกขาดสมาธิในการทำกิจกรรมต่าง ๆ
- เบื่ออาหาร รู้สึกอยากกินอาหารรสชาติแปลก ๆ เช่น อยากกินดิน อยากกินน้ำแข็ง เป็นต้น
- มีดอกเล็บขึ้น เล็บเป็นรูปช้อน หรือหนังเล็บลอก
- มือเย็น เท้าเย็น
- ใจสั่นได้ง่าย แม้จะแค่เดินในระยะใกล้ ๆ หรือวิ่งระยะสั้น ๆ
หากพบว่าตัวเองมีอาการตรงกับอาการดังกล่าวหลายข้อ ลองไปพบแพทย์เพื่อวัดระดับธาตุเหล็กในร่างกาย หรืออาจเช็กง่าย ๆ จากการไปบริจาคเลือดก็ได้ค่ะ
ทั้งนี้ หากแน่ใจจริง ๆ ว่าร่างกายกำลังเรียกร้องหาธาตุเหล็กมาเติมเต็ม คุณสามารถรับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กได้ตามนี้
อาหารที่มีธาตุเหล็กสูง
- เนื้อสัตว์ต่าง ๆ โดยเฉพาะเนื้อแดง
- เลือด
- ตับ
- เครื่องในสัตว์
- ธัญพืช เช่น ซีเรียล ข้าวโอ๊ต จมูกข้าวสาลี
- แป้ง
- ไข่แดง
- อาหารทะเล
- ปลา
- เป็ด
- ไก่
- ผักใบเขียวเข้ม เช่น คะน้า ตำลึง ผักโขม ผักบุ้ง บรอกโคลี หน่อไม้ฝรั่ง เป็นต้น
- ถั่วเมล็ดแห้งต่าง ๆ
อย่างไรก็ดี อาหารบางประเภทยังอาจขัดขวางการดูดซึมธาตุเหล็กของร่างกายได้ ซึ่งอาหารที่ว่าก็อย่างเช่น ผลิตภัณฑ์นม ถั่วเหลือง ข้าวไม่ขัดสี ชา กาแฟ ซึ่งถ้าต้องการธาตุเหล็กก็ควรหลีกเลี่ยงอาหารประเภทนี้ไว้ด้วย
ส่วนอาหารที่จะช่วยเสริมการดูดซึมธาตุเหล็ก ได้แก่ อาหารอุดมวิตามินซี เช่น ส้ม ฝรั่ง มะละกอ สตรอว์เบอร์รี ส้มโอ กีวี เป็นต้น ซึ่งก็ควรรับประทานอาหารเหล่านี้ระหว่างรับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง เพื่อช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กเข้าไปใช้ได้อย่างสะดวกขึ้นนะคะ
ขอบคุณข้อมูลจาก
หมอชาวบ้าน
Prevention
livestrong
Popsugar