x close

ปราบความเครียด ด้วย 8 วิธีง่าย ๆ

แก้เครียด

อย่าปล่อยให้ความเครียดบ่อนทำลายคุณมาปราบความเครียดด้วย 8 วิธีแสนง่ายจนน่าประหลาดใจ! (Lisa)

          อย่าปล่อยให้ความเครียดทำลายสุขภาพของคุณ เรามีวิธีกำราบฮอร์โมนความเครียดตัวร้าย ให้ชีวิตคุณกลับมาสดใสกว่าเดิม

          สำหรับคนในแวดวงบันเทิงแล้ว ถึงแม้ชีวิตความเป็นอยู่จะดูเริ่ดหรูสะดวกสบาย แต่ความมีชื่อเสียงก็เป็นปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้เหล่าดาราดังมีความเครียดมากกว่าพวกเรา ๆ เสียอีก อย่างเช่น บริตนีย์ สเปียร์ส ที่เผชิญกับปัญหาส่วนตัวเสียจนเคยสติแตกไปพักใหญ่ ๆ และตอนนี้ก็ยังดูเหมือนเธออาจจะสติแตกได้ทุกเมื่อ จนศาลต้องสั่งให้พ่อของเธอเป็นผู้ดูแลเธอตามกฎหมาย นอกจากนี้ ยังมีนักร้องสาวใหญ่ "ลูกเป็ดขี้เหร่" ซูซาน บอยล์ ที่โด่งดังทะลุฟ้าในเวลาอันรวดเร็ว และชื่อเสียงที่ถาโถมเข้ามาหา ก็ทำให้มีข่าวว่าซูซานเครียดจนต้องเข้าโรงพยาบาล

          และสำหรับในบ้านเราตอนนี้ สถานการณ์บ้านเมืองในช่วงที่เพิ่งผ่านมาก็ ทำให้อัตราความเครียดของคนไทยพุ่งสูงขึ้น เมื่อนับรวมกับเรื่องส่วนตัวทังหลายแหล่แล้ว นี่คงนับได้ว่า เป็นช่วงเวลาแห่งความเครียดที่สุดช่วงหนึ่งของคนไทยเลยทีเดียว

เกิดอะไรขึ้นเมื่อคุณเครียด

          ความเครียดจะทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนที่ชื่อว่า "คอร์ดิซอล" ออกมา ความจริงแล้วฮอร์โมนตัวนี้ก็มีข้อดีอยู่บ้าง นั่นคือมันเป็นกลไกหนึ่งในการเอาตัวรอดของคนเรา ในภาวะที่ร่างกายต้องเผชิญกับภาวะวิกฤต มันจะทำหน้าที่ในการปรับระดับความดันโลหิตและระบบภูมิคุ้มกัน ดึงเอาพลังงานสำรองในร่างกายออกมาใช้ และช่วยร่างกายต่อสู้กับการติดเชื้อโรคต่าง ๆ ได้ แต่ปัญหาก็คือ ความเครียดอาจทำให้กลไกการเอาตัวรอดนี้อยู่ในระดับสูงไปเรื่อย ๆ และระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลที่สูงอย่างต่อเนื่อง อาจทำให้เกิดปัญหานอนไม่หลับ กดการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน น้ำตาลในเลือดผิดปกติ และแม้แต่สะสมน้ำหนักที่รอบเอว

          โชคดีที่ว่า ร่างกายของเราได้พัฒนากลไกในการต่อสู้กับปฏิกิริยาต่อสู้ของร่างกายขึ้นมา นั่นก็คือการสร้างความผ่อนคลาย และต่อไปนี้ คือวิธีอันน่าประหลาดใจ 8 อย่างในการจัดการกับความเครียด และในบางกรณีก็ลดระดับคอร์ดิซอลลงได้ถึงครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว

8 เทคนิคปราบฮอร์โมนความเครียด

1.ทำสมาธิ : ลดคอร์ติซอล 20%

          ก่อนหน้านี้ในบ้านเราเคยมีการศึกษาโดยใช้เวลา 6 สัปดาห์ พบว่าผู้ที่ฝึกสมาธิตามวิถีพุทธ จะสามารถลดทั้งความดันโลหิตและระดับคอร์ติซอลได้ ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาจาก Maharishi University ในสหรัฐฯ ที่ผู้เข้าร่วมการศึกษาที่นั่งสมาธิทุกวันเป็นเวลา 4 เดือน จะมีคอร์ติซอลลดลงโดยเฉลี่ย 20% แต่คนที่ไม่ได้นั่งสมาธิเลย จะมีระดับคอร์ติซอลและความดันโลหิตสูงขึ้นเล็กน้อย

2.ฟังเพลง : หยุดไม่ให้คอร์ติซอลเพิ่ม 66%

          เสียงเพลงสามารถทำให้หัวใจ และสมองของเราผ่อนคลายได้จริง ๆ สิ่งนี้ได้รับการพิสูจน์แล้ว เมื่อแพทย์จาก Osaka Medical Center ทดลองเปิดเพลงให้คนใช้ฟังในขณะที่กำลังส่องกล้องตรวจลำไส้ แล้ววัดระดับคอร์ติซอลเปรียบเทียบกับคนไข้ที่ส่องกล้องเช่นเดียวกัน แต่อยู่ภายในห้องเงียบ ๆ ผลก็คือคนไข้ที่ฟังเพลง มีระดับคอร์ติซอลพุ่งขึ้นน้อยกว่าคนไข้ในกลุ่มหลัง แต่นี่เป็นแค่ตัวอย่างเท่านั้น คุณอาจนำวิธีนี้มาประยุกต์ใช้ในเวลาอื่น ๆ ที่เครียดพอกัน เช่น เมื่อพาแฟนมากินข้าวกับคุณพ่อคุณแม่เป็นครั้งแรก หรืออาจจะเปิดเพลงกล่อมเบา ๆ ก่อนนอนแทนการดูโทรทัศน์ ก็จะช่วยให้หลับฝันหวานได้เช่นกัน

3.นอนแต่หัวค่ำ : ลดคอร์ติซอล 50%

          ทราบมั้ยว่า ความแตกต่างระหว่างการนอนหลับ 6 ชั่วโมง และ 8 ชั่วโมงคืออะไร? คำตอบก็คือความต่างเพียง 2 ชั่วโมง จะทำให้กระแสเลือดของเราเต็มไปด้วยคอร์ติซอลมากกว่าถึง 50% ซึ่งการศึกษาจาก Germany’s Institute for Aerospace Medicine เปิดเผยว่า เมื่อนักบินนอนหลับ 6 ชั่วโมง (หรือน้อยกว่า) ติดต่อกัน 7 คืน นักบินกลุ่มนี้จะมีระดับคอร์ติซอลพุ่งสูงขึ้นมาก และจะเป็นเช่นนั้นถึง 2 วัน การนอนหลับพักผ่อนวันละ 8 ชั่วโมง จะทำให้ร่างกายฟื้นฟูตัวเองจากความเครียด แต่ถ้าคุณนอนไม่พอวันต่อมาลองหาเวลางีบในช่วงกลางวัน จะช่วยลดคอร์ติซอลที่สะสมจากการอดนอนได้

4.จิบชาดำ : ลดคอร์ติซอล 47%

          ชาดำเป็นเครื่องดื่มที่ทำให้คุณเบิกบาน และมีความเกี่ยวข้องลึกซึ้งกับความผ่อนคลาย สบายใจ ซึ่งสามารถยืนยันได้ทางวิทยาศาสตร์ เมื่ออาสาสมัครจาก University College London ต้องทำกิจกรรมที่เพิ่มความเครียดภายในหนึ่งชั่วโมงที่ทำงานเสร็จ คนที่ดื่มชาดำจะมีระดับคอร์ติซอลลดลงถึง 47% ส่วนคนที่ดื่มชาหลอกจะลดลงเพียง 27% เท่านั้น ซึ่งผู้เชี่ยวชาญคิดว่า สาเหตุที่ชาเป็นเครื่องดื่มเพื่อกล่อมเกลาจิตใจ น่าจะเป็นเพราะสารเคมีตามธรรมอย่างโพลีเฟอนอลและฟลาวานอยด์

5.แฮงเอาต์กับเพื่อนสาวสุดฮา : ลดคอร์ติซอล 39%

          เพื่อนสาวที่ช่วยให้เราหัวเราะได้ อาจช่วยได้มากกว่าหันเหความสนใจของเราออกจากปัญหาทั้งปวง นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโลมาลินดาบอกว่า เพียงแค่ได้หัวเราะก็ทำให้ระดับคอร์ติซอลลดลงเกือบครึ่งแล้ว หรืออาจดูหนังตลก ก็ทำให้คุณคลายเครียดเช่นกัน

6.นวดเฟ้นคลายเครียด : ลดคอร์ติซอล 31%

          นาน ๆ ครั้ง ลองให้ของขวัญตนเองเป็นการนวดบ้างก็ดี เพราะการนวดสามารถขับไล่ความเครียดได้ โดยการศึกษาจากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยไมอามีชี้ว่า การนวดบำบัดเพียงไม่กี่สัปดาห์ สามารถลดระดับคอร์ติซอลโดยเฉลี่ยได้ถึง 1 ใน 3 การนวดยังช่วยกระตุ้นสารโตพามีนและเซโรโทนิน ซึ่งสารทั้งสองชิดคือฮอร์โมนแห่งความสุขที่หลั่งออกมา เมื่อเราอยู่กับเพื่อนฝูงหรือทำเรื่องสนุก ๆ

7.หันหน้าเข้าหาศาสนา : ลดคอร์ติซอล 25%

          กิจกรรมทางศาสนานั้น ทำให้คนมีพลังที่จะสู้กับความกดดันในชีวิตประจำวัน และยังสามารถลดการผลิตคอร์ติซอลได้อีกด้วย นอกจากนี้ การศึกษาจากมหาวิทยาลัยมิสซิสซิปปียังชี้ว่า คนที่เข้าวัดบ่อย ๆ มักจะมีระดับความเครียดต่ำกว่าคนที่ไม่เข้าวัดเลย แต่ถ้าคุณคิดว่าตัวเองไม่เหมาะกับกิจกรรมด้านศาสนา ก็ลองฟื้นฟูจิตวิญญาณด้วยการไปเป็นอาสาสมัครดูก็ได้

8.เคี้ยวหมากฝรั่ง : ลดคอร์ติซอล 12-16%

          ครั้งต่อไปที่รู้สึกเครียดจัด ลองหยิบหมากฝรั่งมาเคี้ยวเพื่อระบายความเครียดดูนะ สำหรับคนที่มีความเครียดระดับปานกลาง การเคี้ยวหมากฝรั่งจะช่วยให้ระดับคอร์ติซอลในน้ำลายลดลงถึง 12% และยังกระปรี้กระเปร่ามากกว่าคนที่ไม่เคี้ยวหมากฝรั่งเลย นี่อาจเป็นเพราะการเคี้ยวหมากฝรั่ง จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือด และการทำงานของระบบประสาทในสมองบางส่วนก็ได้

ข้อดีของความเครียด

          ใช่ว่าคอร์ติซอลจะไม่ดีเสมอไป ในบางสถานการณ์ คอร์ติซอลอาจจะ...

1.เพิ่มความต้องการทางเพศ

          การศึกษาจากมหาวิทยาลัยเคลิฟอร์เนียที่เมืองเบิร์กลีย์ ทดลองให้หญิงสาวสูดกลิ่นเหงื่อของผู้ชายจากในขวด ผลก็คืออารมณ์ดีขึ้น ฟีโรโมนสูงขึ้น พร้อมกับระดับคอร์ติซอลและความต้องการทางเพศ

2.ลดปวด

          นักวิจัยคาดว่า คอร์ติซอลอาจจะกระตุ้นระบบผลิตฮอร์โมนบางอย่างให้ทำงานมากขึ้น จึงทดลองให้สารคอร์ติซอลเป็นพิเศษ สำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะอ่อนเพลียเรื้อรัง หรือมีอาการปวดกล้ามเนื้อ และเนื้อเยื่อพังผืด ปรากฏว่าผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น ถึงร้อยละ 75

3.ทำให้ความจำดี

          การศึกษาจากมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน ในเมืองเมดิสันพบว่า เมื่อกลุ่มตัวอย่างชาย 90 คน คน มีคอร์ติซอลในระดับปานกลางแล้ว จะทำข้อสอบวัดความจำได้ดีขึ้น แต่ถ้ามีมากเกินไปผลก็จะตรงกันข้าม นั่นคือความจำแย่ลงนั่นเอง


  เคล็ดลับสุขภาพ สุขภาพใกล้ตัว โรคและการป้องกัน คลิกเลย




ขอขอบคุณข้อมูลจาก


เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ปราบความเครียด ด้วย 8 วิธีง่าย ๆ อัปเดตล่าสุด 18 ธันวาคม 2556 เวลา 10:36:31 25,047 อ่าน
TOP