x close

รีวิวลดน้ำหนักจาก 90 กิโลกรัม เหลือ 58 กิโลกรัม แบบฉบับคนขาดหวานไม่ได้ !


       รีวิวลดน้ำหนักของคนที่กินติดหวานมาโดยตลอด แต่เธอลดน้ำหนักลงได้กว่า 30 กิโลกรัม โดยไม่ใช้ยาลดความอ้วน และก็ไม่ได้ออกกำลังกายอย่างหักโหมเลยสักนิด

รีวิวลดน้ำหนัก

          ความอ้วนไม่เข้าใครออกใคร เคยผอม มีรูปร่างที่ดีมาโดยตลอดก็ใช่ว่าจะอ้วนขึ้นไม่ได้ โดยเฉพาะคนที่ชอบกินของหวาน ของมัน ของทอดเป็นประจำ ไลฟ์สไตล์แบบนี้ยิ่งผลักดันให้อ้วนขึ้นได้ง่าย ๆ อย่างคุณสมาชิกหมายเลข 2650906 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ที่เธอก็ออกตัวว่าเป็นสายกินพันธุ์แท้ ของหวาน บุฟเฟ่ต์ คือสิ่งที่ชีวิตนี้ไม่เคยขาด มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่น้ำหนักพุ่งไปเกือบ 100 กิโลกรัม จนแม่ต้องขอจับเข่าคุยให้ลดน้ำหนัก เพราะรับไม่ไหวที่ลูกสาวจะอ้วนมาไกลถึงขนาดนี้
   
          และแม้เธอจะเคยล้มเหลวกับการลดน้ำหนักมานับครั้งไม่ถ้วน ถึงขนาดต้องยอมพึ่งยาลดความอ้วนจนเกือบจะแย่ แต่ครั้งนี้จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะเธอตัดสินใจจะลดน้ำหนักในแบบของตัวเอง โดยมีเป้าหมายร่วมเป็นความภาคภูมิใจของแม่...เอาสิ ! ในเมื่อขาดของหวานไม่ได้ ก็ลดความอ้วนไป กินของหวานไปด้วยซะเลย !

รีวิวลดน้ำหนัก

          ถ้าชีวิตของหมูสตรองที่หนักเกือบ 100 กิโลกรัมขาดหวานไม่ได้ งั้นก็ลดมันแบบหวาน ๆ นี่แหละ !!! โดยคุณสมาชิกหมายเลข 2650906 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม

          เราขอแวะมาแบ่งปันประสบการณ์การลดน้ำหนักให้เพื่อน ๆ ได้เป็นอีกหนึ่งแนวทางนำไปปรับใช้กันนะคะ ก่อนหน้าเราเคยมีน้ำหนักตัวมากสุด 90 กิโลกรัม ตอนนี้ลดเหลือ 58 กิโลกรัมแล้ว แต่เป้าหมายที่ตั้งไว้คือ 48 กิโลกรัม เราบอกก่อนนะคะว่าวิธีที่เราใช้อาจจะไม่ได้ถูกต้องตามหลักโภชนาการอะไร แต่มันเป็นวิธีที่เราทำแล้วเห็นผลในแบบที่เราเองก็ไม่คิดว่าจะลดลงได้จริง ทำให้ไม่ได้เก็บภาพแต่ละช่วงที่น้ำหนักลงและไม่ได้จดอะไรไว้เลย ต้องมานั่งนึกและเขียนใหม่ แถมตอนนี้สุขภาพของเรายังแข็งแรงมากกว่าเดิมอีกด้วย


          เราก็เป็นอีกคนที่ล้มเหลวกับการลดความอ้วนมาโดยตลอด พยายามลดด้วยตัวเองก่อน พอรู้สึกท้อไม่ไหวก็จะพึ่งทางลัดทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นยาหรืออาหารเสริม ใครว่าตัวไหนดีก็จัดค่ะ ช่วงที่กินมันลงก็จริงนะ แต่พอหยุดกินยามันโยโย่ขึ้นทันทีเลย กินข้าวแค่จานเดียวไม่อิ่มต้องเพิ่มตลอด แล้วน้ำหนักตัวก็เด้งขึ้นเป็นสิบ ๆ กิโลกรัม 
   
          พออ้วนขึ้นก็ใช้วิธีเดิม ๆ จนร่างพัง ระบบการเผาผลาญเสีย แล้วครั้งสุดท้ายเมื่อ 4 ปีก่อนที่ได้ทานยาคือเหมือนใกล้จะตายค่ะ สมองเบลอ การตอบสนองช้ามาก จิตตก อารมณ์เหวี่ยง หงุดหงิดตลอดทั้งวัน แล้วก็ไม่มีแรง แค่เดินขึ้นบันไดชั้น 2 ก็แทบคลานแล้วค่ะ ตอนนั้นกินไปแค่ 2 ชุดต้องหยุดเลย มันไม่ไหวจริง ๆ
   
          คิดในใจ (ฉันคงแก่แล้วจริง ๆ เมื่อก่อนกินยาพวกนี้ได้สบายมาก 555) หลังจากหยุดยาก็งานเข้าเลยค่ะ ทุกอย่างอร่อยหมด อยากกินอะไรก็กิน บุฟเฟ่ต์ ชาบูตลอด พิซซ่านี่ของโปรด ขนมไทย ไอติม เบเกอรี่ ขนมเค้กเราก็กินคนเดียวเป็นปอนด์ ๆ เลยนะ แถมมีนิสัยหวงของกินด้วย ก่อนหน้าไม่เคยเป็นแบบนี้แต่ไม่รู้มันมาได้ไง ของ ๆ ฉันใครห้ามกิน ! 555
   
          คือตอนนั้นมีความสุขกับการกินมาก เพราะเราสายแข็งเป็นหมูสตรองที่ไม่มีโรคภัยอะไร 555 คือกินแล้วมีความสุขก็กินไป อ้วนแล้วทำไม ? ก็มีความสุขอะ (ตอนนั้นคิดแบบนี้จริง ๆ) แล้วช่วงนั้นเรียนทำอาหารด้วย ร้อนวิชาค่ะ อยากกินอะไรก็ทำกินเอง ฝีมือเราอร่อยที่สุดสินะ 555
   
          แล้วน้ำหนักตัวก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แบบไม่หยุดยั้ง ระหว่างนั้นก็พยายามลดตลอดเวลานะ ไปอ่านเจอว่าให้แบ่งอาหารออกเป็นวันละ 5 มื้อย่อย ๆ มาแนวสายคลีน เราก็คลีนตามอยู่ช่วงนึง แต่พักหลัง ๆ มันไม่ย่อยแล้วอะสิ หมูสตรองแบบเราก็กลายเป็น 5 มื้อหลัก แถมบางมื้อเบิ้ล 2 แล้วตามด้วยของหวานซะงั้น 555 เรียกว่ากินตลอดทั้งวันจริง ๆ และบางวันก็คลีนแตก จนวันนึงแม่รับสภาพเราไม่ได้ ขอคุยแบบจริงจัง ทำให้เรารู้ว่าแม่เครียดเรื่องที่เราอ้วนมากขนาดไหน ก็เลยตัดสินใจฮึดสู้เพื่อแม่ด้วยตัวเองอีกครั้ง โดยที่ไม่ได้ทานยาลดความอ้วนหรืออาหารเสริมลดน้ำหนักใด ๆ ทั้งสิ้น ถ้าแม่ไม่เปิดใจคุยในวันนั้น วันนี้เราอาจจะเป็นหมูสตรองที่มีน้ำหนักตัวมากกว่า 120 กิโลกรัมไปแล้วก็ได้ 555...



รีวิวลดน้ำหนัก

รีวิวลดน้ำหนัก

          *เราเห็นรูปนี้ในตอนนี้ เข้าใจแล้วว่าทำไมแม่ถึงรับสภาพในตอนนั้นของเราไม่ได้ แถมสิวยังขึ้นเต็มหน้าอีก

รีวิวลดน้ำหนัก

          *ก่อนลดน้ำหนักในท้องนั่นแฝด 4 สินะ 555...คือร่างพังมาก รอบเอวประมาณ 42-43 ค่ะ

รีวิวลดน้ำหนัก

          หลังจากตั้งใจว่าครั้งนี้จะทำเพื่อแม่อย่างจริงจังแล้ว เราก็ตั้งเป้าหมายเลยค่ะว่าจะลดให้เหลือ 48 กิโลกรัม และครั้งนี้ต้องเอาชนะใจตัวเองให้ได้ ส่วนตัวเราขาดหวานไม่ได้ ก่อนหน้านี้เราลองมาหลายวิธีที่เขาแชร์ ๆ กันมา แต่สุดท้ายก็ล้มเหลวทุกครั้งเพราะไม่ได้กินของหวานเลย ทำได้ไม่กี่วันก็ตะบะแตกกลับมากินหนักกว่าเดิม เราก็เลยขอลองวิธีของเราเองคือไม่อดหวานแต่ลดปริมาณอาหารคาวลง เราขอแบ่งออกเป็น 4 ช่วงของการลดน้ำหนักในครั้งนี้นะคะ...

          -ช่วงที่ 1 จากน้ำหนัก 90 กิโลกรัม ลดลงมาเหลือ 75 กิโลกรัม...เป็นช่วงที่ยังมีความสุขกับการกินอยู่ค่ะ กินตลอดทั้งวันเหมือนเดิม เราติดขนมหวานมาตั้งแต่เด็ก ๆ ที่บ้านก็เป็นกันทุกคน คืออิ่มอาหารคาวแล้วต้องมีของหวานตามตลอด แต่ครั้งนี้เราปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินใหม่ โดยลดปริมาณอาหารคาวลง และเน้นผัก-ผลไม้มากขึ้น (เมื่อก่อนเราไม่กินผัก-ผลไม้เลย)
   
          จากที่กินแต่พวกแกงกะทิ ของมัน ของทอด ขาหมู ขนมไทย เบเกอรี่ ขนมเค้ก ขนมซองก๊อบแก๊บ ตอนเย็นนี่บุฟเฟ่ต์ตลอด อาหารพวกนี้ตัดทิ้งไปเลย หักดิบไม่แตะเลยค่ะ เปลี่ยนมาเป็นมื้อเช้าสุกี้ทำเองเน้นผักแค่ 1 ถ้วยกลาง น้ำเยอะ ๆ (แค่เนี้ยะ...จะอิ่มได้ไง ใช่ไหม ? 555) ใช่ค่ะ...มันไม่อยู่ท้องหมูสตรองแบบเราแน่ ๆ ผ่านไปไม่กี่นาทีท้องร้องแล้วค่ะ
   
          ระหว่างมื้อก็จะกินแตงโมแช่เย็น ถ้าก่อนเที่ยงถ้ายังหิวอยู่อีก ขมปากขมคออยากกินขนมหวาน...
   
          ***Trick วิธีนี้เราใช้ได้ผลมาก ๆ คือไปแปรงฟันค่ะ ใช้ยาสีฟันดาร์ลี่สูตรกรีนที เลม่อนมิ้นต์ หรือสตรอว์เบอร์รีของเด็กซื้อติดไว้เลยค่ะ อร่อย !!! 555 มันช่วยได้จริง ๆ นะ แปรงฟันไปอร่อยไป แค่ได้กลิ่นและรสหวานนิด ๆ ก็ฟินแล้วค่ะ 555 แปรงลิ้นด้วยนะคะ ระหว่างที่เรายืนแปรงฟันมันทำให้เรามีสติมากขึ้น นึกได้ว่าเรากำลังลดความอ้วนอยู่นะ เตือนตัวเองว่าต้องอดทนและเอาชนะใจตัวเองให้ได้ สู้เพื่อแม่ สู้เพื่อแม่ ท่องอยู่แบบนี้ทุกวัน 555
   
          หลังจากแปรงฟันเสร็จดื่มน้ำเย็นตาม 1-2 แก้ว ช่วงนี้เป็นช่วงที่เราดื่มน้ำเปล่าแบบเย็นจัดตลอดทั้งวันนะคะ (เราเคยอ่านเจอข้อมูลนี้นานแล้วค่ะ มีคุณหมอท่านหนึ่งบอกว่าการดื่มน้ำเย็นจัดจะทำให้ร่างกายเราใช้พลังงานมากขึ้นเพื่อปรับอุณหภูมิของน้ำให้เข้ากับอุณหภูมิในร่างกาย) เราก็จำมาตลอดว่าน้ำเย็นช่วยลดความอ้วนได้ 555 แต่คุณหมอส่วนใหญ่จะไม่แนะนำวิธีนี้นะคะ แล้วเราได้ดูรายการ Good Shape Save Cost ของคุณจอห์น วิญญู แต่จำ Ep. ไม่ได้แล้ว เขาแนะนำให้ดื่มน้ำเย็นจัดเหมือนที่เราเคยอ่านเจอ ก็เลยทำตามค่ะ พอหิวก็ดื่มน้ำเย็นจัดมันช่วยลดความอยากได้จริง ๆ นะ (โชคดีที่เราไม่ติดชา กาแฟ หรือน้ำอัดลม) 
   
          มื้อเที่ยงก็สุกี้เหมือนเดิมค่ะ ตกบ่ายหิวหวานก็จะกินแตงโมหรือไม่ก็พวกน้ำเต้าหู้ หรือเต้าฮวยนมสด ถ้าก่อนมื้อเย็นหิวอีกก็แปรงฟันแล้วดื่มน้ำตามค่ะ มื้อเย็นจะเป็นสลัดผัก น้ำสลัดก็ใส่ตามที่เขาให้มาเลยค่ะ ยังไงก็ไม่อ้วนไปมากกว่าข้าว 5 มื้อที่เรากินก่อนหน้านี้แน่นอน
   
          หลังจากนั้นเราจะปั่นน้ำผัก-ผลไม้ไว้กินก่อนนอน ช่วงนี้เราออกกำลังกายแค่หมุนจานทวิสต์เพราะน้ำหนักตัวเยอะออกไม่ไหวจริง ๆ หัวเข่าไม่ค่อยดีด้วยค่ะ วันที่ 2 ก็เหมือนเดิม พอวันที่ 3 เริ่มหิวโหย มีความอยากกินข้าวก็กินเลยค่ะ ถ้าเราไม่กินข้าวเลยตะบะต้องแตกแน่ ๆ แล้วจะกินหนักยิ่งกว่าเดิม แต่กับข้าวจะเน้นพวกแกงจืด แกงส้มผักรวม น้ำพริกไข่ต้ม ผักต้ม เนื้อไก่ และปลาค่ะ ระหว่างมื้อก็มีขนมหวานตามไปบ้าง ถ้ายังอยากกินอีกก็ไปแปรงฟันแล้วดี่มน้ำตามค่ะ กลางวันก็ส้มตำ ไก่ย่าง 5 ดาว หิวหวานระหว่างมื้อก็ผลไม้ที่มีรสหวานแช่เย็นค่ะ ตกเย็นก็สลัดผักเหมือนเดิม ตามด้วยเต้าฮวยนมสด ก่อนนอนดื่มน้ำผัก-ผลไม้ปั่น 1 แก้วค่ะ วันที่ 4 กับ 5 กลับมากินสุกี้เหมือนเดิม คือเราจะวนไปแบบนี้

          เราขอสรุปคร่าว ๆ ในแต่ละมื้อแบบนี้นะคะ
   
          - ให้เลือกอย่างใดอย่างหนึ่งต่อมื้อ กินสลับกันไปค่ะ (ใน 1 อาทิตย์จะกินข้าวแค่ 2-3 วัน วันละ 1 มื้อเท่านั้นนะคะ เช่นวันนี้มื้อเช้ากินข้าวไปแล้ว อีก 2 วันข้างหน้าจะไม่กินค่ะ)

          * มื้อเช้า : ข้าว/สุกี้/โจ๊ก/ดีท็อกซ์สูตรโยเกิร์ตกับนม
          ระหว่างมื้อ : แตงโม/แอปเปิลเขียว/แก้วมังกร/น้ำเต้าหู้/เต้าฮวยนมสด/ ทุกอย่างมีความหวาน 555

          * มื้อเที่ยง : ข้าว/สุกี้/ส้มตำ-ไก่ย่าง/บะหมี่เย็นตาโฟ/ก๋วยเตี๋ยวหมูน้ำตก
          ระหว่างมื้อ - แตงโม / แอปเปิลเขียว / แก้วมังกร / น้ำเต้าหู้ / เต้าฮวยนมสด

          * มื้อเย็น : ข้าว/สลัดผัก 

          * ก่อนนอน : น้ำผัก-ผลไม้ปั่น/นมเปรี้ยว/เต้าฮวยนมสด

ยกตัวอย่างนะคะ...


          - เช้า : ข้าว/ระหว่างมื้อ-แตงโม
          - เที่ยง : ส้มตำ-ไก่ย่าง/ระหว่างมื้อ-แอปเปิลเขียว
          - เย็น : สลัดผัก
          - ก่อนนอน : เต้าฮวยนมสด

          วันที่ 1 กินข้าวแล้วจะกินข้าวได้อีกครั้งคือวันที่ 4 ค่ะ มันอาจจะทรมานในช่วงแรก ๆ แต่สักพักร่างกายเราจะเริ่มชินค่ะ...เวลาออกไปข้างนอกเห็นอาหารละลานตาก็ห้ามหวั่นไหวเด็ดขาดค่ะ ช่วงนั้นเวลาเราจะกินอะไร หน้าของแม่จะลอยขึ้นมาทันที ต้องอดทนค่ะ สู้เพื่อแม่ ท่องไว้ 555…และเตือนตัวเองเสมอว่าห้ามทำให้แม่ผิดหวัง...

ป.ล.

          - ตลอดทั้งวันจะดื่มน้ำเปล่าเยอะมาก ๆ ค่ะ
          - ผลไม้เราจะเน้นแตงโมแช่เย็นเป็นหลัก เพราะมันหวาน กินแล้วชื่นใจค่ะ
          - เราใส่ชุดสเตย์และใช้แผ่นรัดหน้าท้องทุกวัน (อึดอัดมากแต่ต้องอดทนค่ะ)
          - ช่วงนี้เราออกกำลังกายแค่หมุนจานทวิสต์ก่อนนอนเท่านั้น (เราไม่ชอบการออกกำลังกายเลยสักนิด แต่ก็ต้องอดทนค่ะ)

รีวิวลดน้ำหนัก

          เป็นสูตรน้ำผัก-ผลไม้ของฟ้าหญิงจุฬาภรณ์...เราเห็นเขาแชร์กันมา สูตรนี้เป็นสูตรต้านมะเร็งด้วยนะคะ ก็เลยนำมาปั่นกินบ้างเพื่อสุขภาพค่ะ

          1. แอปเปิล 1 ผล
          2. แครอท 1 ลูก
          3. ผักสลัด (ผักกาดแก้ว) 3 ใบ
          4. ตั้งโอ๋ 2 ก้าน
          5. มะนาว 1 ลูก
          6. น้ำเสาวรส 1/2 แก้ว (ถ้าไม่มีสดให้ซื้อน้ำเสาวรสกระป๋องก็ได้ค่ะ)
          7. น้ำผึ้งแท้ 1/2 แก้ว
          8. น้ำเปล่า 1-2 แก้ว แล้วแต่ความชอบ
          9. ฝรั่ง 1 ผล
          10. มะเขือเทศสีดา (ลูกเล็ก ๆ) 5 ลูก
          11. น้ำตาลทรายแดง 3 ช้อนโต๊ะ

   
          นำทุกอย่างมาปั่นรวมกัน สูตรนี้จะทำได้ประมาณ 1 ลิตร ในกรณีที่เป็นคนป่วย ให้รับประทานวันละ 1 ลิตร แต่ถ้าดื่มเพื่อสุขภาพเฉย ๆ สามารถเก็บไว้ในตู้เย็นได้ประมาณ 2-3 วัน เรากินก่อนนอน 1 แก้วค่ะ

รีวิวลดน้ำหนัก

รีวิวลดน้ำหนัก

รีวิวลดน้ำหนัก

          ส้มตำเราทำเองทุกมื้อค่ะ รับประกันความสดใหม่สะอาด

          มื้อกลางวัน กินสลับวันกันไปค่ะ

รีวิวลดน้ำหนัก

รีวิวลดน้ำหนัก

รีวิวลดน้ำหนัก

รีวิวลดน้ำหนัก

          ช่วงที่ 2 จากน้ำหนัก 75 กิโลกรัม ลดลงมาเหลือ 64 กิโลกรัม...เป็นช่วงที่เราก็เริ่มออกวิ่งค่ะ เพราะตัวเริ่มเบาขึ้นแล้ว เริ่มจาก 1 รอบสนามกีฬาก่อน แล้วเพิ่มรอบขึ้นทุกวันจนสามารถวิ่งได้วันละ 7-8 รอบ วิ่งบ้างเดินบ้างสลับกันไป ถ้าวันไหนไม่ได้ไปวิ่งก็จะเปิดเพลงแล้วเต้น เริ่มซิทอัพ หมุนจานทวิสต์ ถือดัมเบลเหวี่ยงแขนซ้าย-ขวาไปมา 100 รอบต่อเซต และช่วงนี้เป็นช่วงที่ไม่กินอาหารระหว่างมื้อและเริ่มกลับมากินพวกเบเกอรี่และของทอดบ้างนิดหน่อย (นิดหน่อยเท่านั้นนะคะ ไม่ใช่ทุกมื้อทุกวัน)
   

          ช่วงนี้เราจะค่อย ๆ แทรกพวกอาหารที่ตัดทิ้งไปก่อนหน้าเข้ามาอีกครั้ง เพื่อป้องกันตบะแตกค่ะ และเพื่อเป็นการให้รางวัลกับตัวเองที่เราทำได้ มันคือความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เรามอบให้กับตัวเองค่ะ

          เราขอสรุปคร่าว ๆ ในแต่ละมื้อแบบนี้นะคะ
   
          - ให้เลือกอย่างใดอย่างหนึ่งต่อมื้อเหมือนเดิมค่ะ กินสลับกันไปไม่ซ้ำกันในแต่ละมื้อ (และใน 1 อาทิตย์จะกินข้าวแค่ 2-3 วัน วันละ 1 มื้อเท่านั้นเหมือนเดิม) กับข้าวจะเน้นพวกแกงจืด แกงส้มผักรวม น้ำพริกไข่ต้ม ผักต้ม เนื้อไก่ และปลาค่ะ

          * มื้อเช้า : ฟักทองนึ่ง/แครอทนึ่ง/น้ำผัก-ผลไม้ปั่น/ดีท็อกซ์สูตรโยเกิร์ตกับนม/ตบท้ายด้วยผลไม้ที่มีรสหวานค่ะ
          ระหว่างมื้อ : ถ้าหิวจะแปรงฟันแล้วดื่มน้ำตามค่ะ

          * มื้อกลางวัน : ไก่ย่าง 5 ดาว/ส้มตำ/ข้าวโพดเหลืองหวาน 1 ฝัก/ตบท้ายด้วยผลไม้ที่มีรสหวานค่ะ
          ระหว่างมื้อ : ถ้าหิวจะแปรงฟันแล้วดื่มน้ำตามค่ะ
         
          * มื้อเย็น : สลัดผัก/ฟักทองนึ่ง/ข้าวโพดเหลืองหวาน 1 ฝัก/เต้าฮวยนมสด / สาคูแคนตาลูป/เบเกอรี่/ ไก่ย่าง 5 ดาว

ยกตัวอย่างนะคะ...

          - เช้า : น้ำผัก-ผลไม้ปั่น
          - กลางวัน : ข้าวโพดเหลือง
          - เย็น : เต้าฮวยนมสด...มีความหวานตลอดทั้งวันสินะ 555 คือเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งต่อมื้อสลับกันไปค่ะ


          ช่วงที่ 1-2 เราใช้เวลาในการลดน้ำหนัก 5 เดือนกว่า ๆ ค่ะ น้ำหนักหายไป 26 กิโลกรัม เราชั่งน้ำหนักอาทิตย์ละครั้งเท่านั้นค่ะ มันมีความสุขมากนะที่ได้เห็นน้ำหนักตัวเองลดลงอาทิตย์ละ 1-2 กิโลกรัม จำได้ว่าเดือนแรกที่ทำ น้ำหนักลดลงไป 6 กิโลกรัมค่ะ ดีใจมาก ๆ เราทำได้แล้วและมันก็เป็นแบบนี้ทุกอาทิตย์ ทุกเดือน คือมันลดลงเรื่อย ๆ ทำให้เรามีความหวังและมีกำลังใจมากขึ้น
   
          เราเตือนตัวเองเสมอว่า อย่าหาข้ออ้างให้กับความขี้เกียจของตัวเอง ความพยายามและความอดทนเท่านั้นที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ไม่ใช่เรื่องง่ายกว่าเราจะผ่านมาได้ แต่ก็ไม่ยากเกินความพยายามของเราค่ะ ส่วนระบบขับถ่ายเป็นปกติค่ะ เพราะเราทานผัก-ผลไม้มากขึ้นกว่าเดิม...

   
          ช่วงที่ 3 จากน้ำหนัก 64 ลดลงเหลือ 60 และเพิ่มเป็น 65…ช่วงนี้ก็กินอาหารตามช่วงที่ 2 เลยค่ะ แต่พอน้ำหนักลดลงเหลือ 60 ก็เป็นช่วงที่กลับมาอยู่บ้าน 5 เดือนกว่า ๆ ที่เกเร คือไม่ออกกำลังกายเลย และกินข้าวมื้อเย็นเพิ่มขึ้น กับข้าวและขนมฝีมือของแม่อร่อยที่สุดในโลกสินะ 555
   
          กินของมัน ของทอด และขนมเกือบทุกวัน ทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นมาเกือบ 5 กิโลกรัมในเวลา 5 เดือนกว่า ๆ เราบอกเพราะแม่เลยเนี่ย โยนความผิดให้นาง นางหัวเราะใหญ่ 555...เริ่มรู้สึกได้ถึงความอึดอัด พุงเริ่มออก เนื้อจากที่เคยแข็งเริ่มเหลว ทำให้ได้สติว่า เราจะทำตัวแบบนี้ไม่ได้แล้ว ที่ผ่านมาเราทำมาได้ดีตลอดแล้วนะ เตือนตัวเองว่าให้อดทนและพยายามอีกนิด เรามาเกินครึ่งทางแล้วต้องสู้ต่อไป ถ้าเฉลี่ยน้ำหนักจะขึ้นมาเดือนละไม่ถึงกิโลกรัม แสดงว่ามันไม่ได้โยโย่มากเท่ากับตอนกินยาลด ตอนนั้นพอหยุดยาลดน้ำหนักเราเด้งขึ้นมาเดือนละ 4-5 โล แต่ครั้งนี้เรายอมรับผิดค่ะ เพราะเราเกเรเอง เราไม่ได้คุมอาหารและไม่ได้ออกกำลังกาย ก็เริ่มจริงจังใหม่อีกครั้งค่ะ


รีวิวลดน้ำหนัก

          รูปนี้น้ำหนัก 65 ค่ะ

          ไม่ลงรูปอาหารแล้วเนอะ เด๋วจะกลายเป็นหิวหนักกว่าเดิม ;p

          ช่วงที่ 4 เริ่มใหม่อีกครั้ง จากน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นไปเป็น 65 กิโลกรัม...ครั้งนี้เลือกทานอาหารที่มีประโยชน์จริง ๆ (ตอนอ้วนนี่กินไม่เลือก 555) ขนมหวานยังมีอยู่บ้างกรุบกริบ แต่ขนมซอง ๆ เลิกกินไปตั้งแต่ช่วงที่ 1 แล้วค่ะ พวกนั้นไม่มีประโยชน์ ให้พลังงานเยอะ ไม่อยู่ท้อง ที่สำคัญโซเดียมเยอะมาก ๆ
   
          ตอนนี้ทุกครั้งที่เราจะกินอะไร เราจะถามตัวเองก่อนว่ามันมีประโยชน์จริง ๆ ไหม ถ้าไม่มีไม่กิน เพราะเราเคยผ่านจุดที่คิดว่า "ก็มันอร่อยอะ" อร่อยแล้วเป็นยังไงนึกถึงอดีตซิ...555
   
          กว่าจะผ่านมันมาได้ต้องวิ่งกี่รอบสนาม ต้องกายบริหารกี่วัน ก่อนหน้านี้เราเคยเป็นสายคลีนอยู่ช่วงนึง แต่ครอบครัวเราไม่คลีนด้วย มันเลยกลายเป็นความยุ่งยากและสุดท้ายก็ล้มเหลวไปค่ะ อาหารทั้งหมดที่เรากินมาตั้งแต่ช่วงที่ลดน้ำหนักในครั้งนี้เป็นอาหารแบบง่าย ๆ ที่เราสามารถหาซื้อได้ทั่วไป ไม่ต้องไปห้างทุกวัน เพราะเราไม่ชอบความยุ่งยากค่ะ ถ้ามันยุ่งยากเกินไปมันจะกลายเป็นฝืนทำและสุดท้ายเราจะทำมันได้ไม่นาน

          ในช่วงที่ 4 เรากลับมาทานข้าวแบบปกติทุกวัน แต่ครั้งนี้เริ่มนับแคลอรีแบบจริงจัง จะกินอะไรดูแคลอรีก่อนเป็นอันดับแรกแล้วตามด้วยโซเดียม ลดปริมาณข้าวลงเหลือแค่ 1 ถ้วยเล็กต่อมื้อและเคี้ยวให้ช้าลง (จากในช่วงที่ 1-3 กินแบบเต็มจาน) หลังจากตื่นนอนจะดื่มน้ำก่อน 1 แก้ว สักพักตามด้วยนมเปรี้ยวหรือไม่ก็นมงาดำ และก่อนมื้ออาหารเราจะดื่มน้ำ 1 แก้วทุกครั้ง ที่กลับมากินข้าวทุกวันเพื่อป้องกันตบะแตกค่ะ และเป็นการปรับพฤติกรรมการกินใหม่อีกครั้งให้เหมาะกับตัวเราเองมากที่สุด เราจะได้ไม่รู้สึกฝืนและมีความสุขกับสิ่งที่เรากำลังทำ ขอแค่มีเราวินัย อดทนและทำอย่างสม่ำเสมอ มันจะกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเราไปเองค่ะ

          เรากลับมากินอาหารครบ 5 หมู่ มื้อเช้าบางวันเราก็ดีท๊อกซ์ด้วยโยเกิร์ตกับนม หรือไม่ก็กินพวกซีเรียลผลไม้อบแห้งใส่พวกตระกูลถั่ว อัลมอนด์กับโยเกิร์ต มื้อกลางวันกินข้าว ส่วนกับข้าวก็ทุกอย่างที่แม่ทำ 555 แล้วตามด้วยผลไม้จะเป็นพวกมะละกอ สับปะรด แตงโม แอปเปิลสลับกันไป และยังดื่มน้ำผัก-ผลไม้ปั่นอยู่เป็นบางวันค่ะ เพื่อให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติและบำรุงผิวพรรณด้วยค่ะ
   
          ตอนนี้เราติดดื่มน้ำเปล่ามาก ๆ ค่ะ ดื่มทุกชั่วโมง และบางอาทิตย์ทำตามสูตรของคุณเบนซ์ พรชิตาค่ะ คือไข่ต้ม ผลไม้ โยเกิร์ต ทำแค่เดือนละสัปดาห์เท่านั้นค่ะ แล้วก็กลับมากินข้าวตามเดิม เหมือนร่างกายเริ่มชินกับการกินน้อยลง ทำให้ช่วงนี้ไม่หิวไม่โหยของหวานระหว่างมื้อเลย
   
          ถ้าระหว่างวันยังรู้สึกขมปากขมคอจะไปแปรงฟันแล้วดื่มน้ำตามค่ะ แต่เวลาที่ใกล้จะเป็นประจำเดือนจะทรมานหน่อย เพราะเราจะอยากกินของหวานมาก ๆ เราก็จะดื่มน้ำแดงเฮลซ์บลูบอยผสมกับน้ำเปล่า 1 แก้วแทนค่ะ หรือไม่ก็เป็นไอติมรสชามะนาว 1 แท่ง กินได้ 1 อาทิตย์ วันละ 2 คำพอค่ะ หลังบ่าย 3 โมงจะไม่กินอะไรนอกจากดื่มน้ำเปล่าเท่านั้น
   
          ตอนที่ทำแรก ๆ หลังออกกำลังกายเสร็จ ก่อนนอนท้องก็จะร้องจ๊อก ๆ เป็นช่วงที่เรารู้สึกดีมาก ๆ เพราะเรากำลังจะหน้าเด็กลง 555 (อ่านข้อมูลคุณหมอจากญี่ปุ่นบอกว่าปล่อยให้ท้องร้องจะทำให้หน้าเด็กลง) แต่พักหลัง ๆ ท้องเริ่มเงียบแล้วค่ะ ไม่ส่งเสียงเลย 555 คงเริ่มชินแล้ว...

          ช่วงที่ 4 หุ่นเฟิร์มแบบเห็นได้ชัดนะ เราสามารถกลับมาใส่เสื้อผ้าเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้วตอนที่หนัก 53 ได้ ทั้ง ๆ ที่เราหนัก 59 กิโลกรัม ระหว่างวันทำงานบ้านเราก็เหวี่ยงแขนขาไปมา หมุนจานทวิสต์ ซิทอัพ ปั่นจักรยานบนอากาศ แค่ขยับก็เท่ากับออกกำลังกายแล้วเนอะ
   
          ตั้งแต่ที่เราเริ่มจริงจังในการลดน้ำหนักครั้งนี้ เพื่อน ๆ จะเห็นว่าเราไม่ได้เข้าฟิตเนสนะคะ เราออกเองที่บ้านหรือไม่ก็ไปวิ่งที่สนามกีฬา และพักหลัง ๆ เริ่มเน้นคาร์ดิโอบ้าง เวทบ้าง สลับกันไป เปิดยูทูบของ Fitness Blender แล้วทำตามค่ะ เพราะมันไม่ยุ่งยาก และไม่ต้องเสียเงินด้วย
   
          ตอนนี้เราติดการออกกำลังกายไปแล้ว รู้สึกดีทุกครั้งที่ออกกำลังกายเสร็จ เพราะเราสามารถเอาชนะใจตัวเองได้ เราออกกำลังกายทุกวัน ยกเว้นช่วงที่เป็นประจำเดือนจะได้พัก 1 อาทิตย์ ร่างกายแข็งแรงขึ้นมากและไม่โทรมด้วยค่ะ และควรปรับเวลาการนอนให้เร็วขึ้นด้วย เพื่อสร้างระบบการเผาผลาญใหม่ จากปกติเรานอนห้าทุ่ม-เที่ยงคืน ช่วงนี้เรานอน 3-4 ทุ่มทุกคืน ตื่นตี 5 รู้สึกสดชื่นมากค่ะ
   
          ตอนนี้น้ำหนักเหลือ 58 กิโลกรัม เนื้อกระชับขึ้นมาก ๆ แต่ก็ยังมีส่วนเกินที่จะต้องกำจัดออกไปโดยเฉพาะต้นแขน ช่วงบนเรายังดูบึกบึนอยู่ 555…แม่เราบอกแค่ 55 กิโลกรัมก็พอแล้ว เพราะเราเป็นคนโครงสร้างใหญ่ กระดูกใหญ่ ถ้า 48 เราจะเหลือแต่กระดูกเหมือนคนขาดสารอาหารทันที 555...บางทีน้ำหนักก็ไม่ใช่ตัวกำหนดของคำว่าหุ่นดีใช่ไหมคะ ? แต่ก็จะสู้ต่อไปค่ะเพื่อเป้าหมายที่ตั้งไว้
   
          ช่วงนี้เป็นช่วงที่เราหลงรักตัวเองมากขึ้น เพราะความพยายามและความอดทนในครั้งนี้ได้ให้ชีวิตใหม่กับเราอีกครั้ง เราได้กลับมาใส่เสื้อผ้าสวย ๆ ตามแฟชั่นได้ แม่มีคำชมมาให้เราทุกวัน สบายหูไปเลยค่ะ 555

          สุดท้ายนี้เราขอเป็นกำลังใจให้กับทุก ๆ คนที่กำลังลดน้ำหนักอยู่นะคะ เรายังทำได้ คุณก็ทำได้เหมือนกัน ขอแค่ตั้งใจจริงและเอาชนะใจตัวเองให้ได้ เราเตือนตัวเองเสมอว่าอย่าหาข้ออ้างให้กับความขี้เกียจของตัวเอง ความพยายามและความอดทนเท่านั้นที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ เราก็ใกล้จะถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้แล้ว สู้ไปด้วยกันนะคะ เราหวังว่ากระทู้ของเราจะมีประโยชน์กับเพื่อน ๆ ในนี้ไม่มากก็น้อยเนอะ
   
          สงสัยตรงไหนสอบถามกันได้น้า...เราใจดี 555 ครั้งหน้าเราจะแวะเอากล้ามท้องมาให้ดูนะคะ ขอฟิตแอนด์เฟิร์มกว่านี้อีกนิดค่ะ

          ป.ล. ช่วงที่ 4 เรากินน้ำมันปลา 1 เม็ดก่อนนอน แบบวันเว้นวันด้วยนะคะ


ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
คุณสมาชิกหมายเลข 2650906 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม
เรื่องที่คุณอาจสนใจ
รีวิวลดน้ำหนักจาก 90 กิโลกรัม เหลือ 58 กิโลกรัม แบบฉบับคนขาดหวานไม่ได้ ! อัปเดตล่าสุด 26 เมษายน 2562 เวลา 15:26:11 328,759 อ่าน
TOP