รู้จักการทำบอลลูนหัวใจ หนึ่งในวิธีรักษาผู้ป่วยโรคหัวใจ

          บอลลูนหัวใจ หนึ่งทางเลือกในการรักษาโรคหัวใจที่อยากให้มาทำความรู้จักการทำบอลลูนหัวใจกันสักหน่อย
บอลลูนหัวใจ

          การรักษาโรคหัวใจด้วยการทำบอลลูนหัวใจยังคงมีข้อสงสัยในประเด็นนี้อยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นผลข้างเคียงจากการทำบอลลูนหัวใจ ค่าใช้จ่าย หรือบางคนก็สงสัยว่าการทำบอลลูนหัวใจจะอันตรายไหม งั้นวันนี้เรามาศึกษากันดีกว่าค่ะว่า การทำบอลลูนหัวใจ คืออะไร และเป็นยังไงกันแน่

บอลลูนหัวใจ คืออะไร
   
          การทำบอลลูนหัวใจ (percutaneous transluminal coronary Angioplasty :PTCA) หรือในภาษาอังกฤษอีกชื่อหนึ่งว่า Balloon angioplasty คือ กรรมวิธีที่ใช้เครื่องมือชิ้นเล็กที่มีบอลลูนติดอยู่ตรงปลายท่อเล็ก ๆ สอดเข้าไปผ่านเส้นเลือดใหญ่ที่บริเวณแขนหรือขา ซึ่งจะใช้การเอกซเรย์เป็นตัวนำทางเพื่อสอดท่อบอลลูนเข้าไปถึงหลอดเลือดหัวใจที่ตีบแคบ และเมื่อหัวบอลลูนได้เข้าไปถึงจุดดังกล่าวแล้ว แพทย์จะทำการปล่อยลมให้บอลลูนพองตัวขึ้น ส่งผลให้เส้นเลือดที่ตีบแคบขยายตัวกว้างขึ้น และในขณะเดียวกัน แพทย์ก็จะสอดโลหะที่เป็นลวด (stent) วางไว้ในตำแหน่งเส้นเลือดที่ตีบแคบ เพื่อให้ตัวขดลวดกางออกทำหน้าที่เป็นโครงให้เส้นเลือดอยู่ในลักษณะขยายออกตลอดเวลา ซึ่งตัวขดลวดนี้จะอาบด้วยยา จึงสามารถลดอัตราการตีบตัวของเส้นเลือดได้อีกทางหนึ่ง

การทำบอลลูนหัวใจ เป็นวิธีรักษาโรคหัวใจชนิดไหนบ้าง

          การทำบอลลูนหัวใจเป็นหนึ่งในทางเลือกรักษาโรคหัวใจได้ โดยจะใช้รักษาโรคหัวใจชนิดดังต่อไปนี้

          1. โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ

          2. โรคลิ้นหัวใจตีบ

          3. กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด

บอลลูนหัวใจ

การทำบอลลูนหัวใจ ค่าใช้จ่ายสูงไหม เบิกประกันสังคมได้หรือไม่
   
          ในกรณีที่เป็นผู้ประกันตนและใช้สิทธิประกันสังคม สามารถเบิกจ่ายค่าทำบอลลูนหัวใจได้ตามจริง โดยไม่เกิน 20,000 บาทต่อราย (ในกรณีรักษาโรคลิ้นหัวใจ โดยใช้สายบอลลูนผ่านทางผิวหนัง) และสำหรับการขยายหลอดเลือดหัวใจโดยการใช้บอลลูนอย่างเดียว สามารถเบิกค่าใช่จ่ายได้เท่าที่จ่ายจริงตามความจำเป็น แต่ไม่เกินครั้งละ 30,000 บาทต่อราย และสามารถใช้สิทธิ์ได้ไม่เกิน 2 ครั้ง
   
          ทว่าหากไม่มีสิทธิประกันสังคม การทำบอลลูนหัวใจจะมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ประมาณ 80,000-1,000,000 บาท ขึ้นอยู่กับแต่ละโรงพยาบาล รวมทั้งอุปกรณ์ในการรักษา (ขดลวดธรรมดาหรือขวดลวดเคลือบตัวยา)

บอลลูนหัวใจ

บอลลูนหัวใจ บัตรทองใช้ได้หรือเปล่า
        
          สำหรับคนที่ถือบัตรทอง ก็สามารถเข้ารับการรักษาโดยการทำบอลลูนหัวใจได้เช่นกัน แต่ทั้งนี้ก็ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่ตัวเองถือสิทธิ์ ซึ่งหากทางโรงพยาบาลมีความพร้อมในการรักษาก็สามารถทำบอลลูนหัวใจให้ได้ ทว่าหากทางโรงพยาบาลไม่มีความพร้อมก็อาจต้องทำเรื่องขอส่งตัวผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาลอื่นที่สะดวกในการทำบอลลูนหัวใจต่อไป

บอลลูนหัวใจ อยู่ได้กี่ปี
   
          การทำบอลลูนหัวใจเพื่อขยายหลอดเลือดหัวใจในแต่ละครั้ง หากไม่ได้ใส่ขดลวด (stent) ในกรณีนี้เส้นเลือดอาจกลับไปตีบตันขึ้นได้ราว ๆ 30-40% ภายในระยะเวลา 6 เดือน แต่หากใส่ขดลวดเคลือบยาจะมีโอกาสหลอดเลือดกลับไปตีบตันประมาณ 10% แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองหลังทำบอลลูนหัวใจของผู้ป่วยเองด้วย

บอลลูนหัวใจ

การทำบอลลูนหัวใจ อันตรายไหม
   
          แม้การทำบอลลูนหัวใจจะเป็นทางเลือกของการรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบที่ง่าย สะดวก เพราะไม่ต้องผ่าตัด และการทำบอลลูนหัวใจมีความเสี่ยงน้อยเพียง 1% แต่ก็ยังคงมีความเสี่ยงของการทำบอลลูนหัวใจอยู่บ้าง โดยภาวะเสี่ยงของการทำบอลลูนหัวใจอาจมีดังต่อไปนี้
   
          - แพ้สารทึบแสงที่แพทย์ทำการฉีดเข้าเส้นเลือดก่อนทำบอลลูนหัวใจ
          - ผู้ป่วยเกิดภาวะเลือดออกและมีการอักเสบตรงบริเวณสอดสายบอลลูน
          - เส้นเลือดที่แขน ขา บริเวณที่สอดสายบอลลูนเกิดการอุดตัน
          - บางรายอาจเกิดภาวะหลอดเลือดหัวใจหรือกล้ามเนื้อหัวใจทะลุในระหว่างทำการสอดใส่ท่อบอลลูนเข้าไปในเส้นเลือด


          อย่างไรก็ตาม การทำบอลลูนหัวใจภายใต้ความดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ร่วมกับการปฏิบัติตัวตามที่แพทย์แนะนำ ก็จะช่วยลดความเสี่ยงดังกล่าวได้พอสมควรนะคะ

บอลลูนหัวใจ ผลข้างเคียงมีไหม

          หากผู้ป่วยไม่มีอาการแทรกซ้อนดังกล่าว การทำบอลลูนหัวใจอาจไม่มีผลข้างเคียงที่น่ากังวลสักเท่าไร และการทำบอลลูนหัวใจยังใช้เวลาพักฟื้นเพียง 1-2 วัน และหากร่างกายหลังทำบอลลูนหัวใจไม่มีความผิดปกติที่น่าเป็นห่วง ผู้ป่วยก็สามารถกลับไปใช้ชีวิตตามปกติได้

บอลลูนหัวใจ

การปฏิบัติตัวหลังทำบอลลูนหัวใจ

          1. ผู้ป่วยไม่ควรลุกจากเตียง และไม่งอแขนหรือขาด้านที่แทงเส้นเลือดเป็นเวลาอย่างน้อย 6 ชั่วโมง

          2. หากพบว่าบริเวณที่แทงเส้นเลือดบวม หรือขาข้างที่แทงเส้นเลือดซีดหรือเย็นกว่าปกติ ควรแจ้งให้พยาบาลทราบ

          3. ถ้าผู้ป่วยรู้สึกตัวดี ไม่มีอาการคลื่นไส้อาเจียน ให้รับประทานอาหารได้ตามความเหมาะสม

          4. ถ้าปวดแผล สามารถรับประทานยาแก้ปวดได้

          5. ในระยะแรก การทำกิจวัตรประจำวันอาจทำไห้เหนื่อยได้ ดังนั้นควรพักผ่อนครั้งละ 20-30 นาที วันละ 2 ครั้งในเวลากลางวัน ไม่จำเป็นต้องนอนพักแค่นั่งพักก็เพียงพอ และพยายามนอนหลับให้ได้ 8-10 ชั่วโมงต่อวัน

          6. ควรหลีกเลี่ยงอาหารคอเลสเตอรอลสูง เช่น ไข่แดง เครื่องในสัตว์ อาหารทะเล เป็นต้น

          7. ควรงดชา กาแฟ และน้ำอัดลม เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และควรงดสูบบุหรี่

          8. หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้น้ำตาลในเลือดสูง เช่น ข้าวเหนียวทุเรียน ทองหยิบ ทองหยอด ทุเรียน ลำไย เป็นต้น

          9. ถ้าต้องใช้น้ำมันปรุงอาหารควรเลือกใช้น้ำมันพืชแทนเนยหรือน้ำมันจากสัตว์ หรือให้วิธีลวก ต้ม นึ่ง และอบแทนการทอด

          10. ควรรับประทานผักทุกชนิด และผลไม้ที่ไม่มีรสหวานจัด เช่น มะละกอ พุทรา แอปเปิล ฝรั่ง เป็นต้น

          11. ในระยะ 6 เดือนแรก เป็นช่วงสำคัญ ผู้ป่วยควรกินยาและปฏิบัติตัวตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด รวมทั้งไปพบหมอตามนัดอย่าให้ขาด

การทำบอลลูนหัวใจกับการทำบายพาสต่างกันอย่างไร
   
          นอกจากการทำบอลลูนหัวใจแล้ว การรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบสามารถรักษาได้ด้วยการทำบายพาส ซึ่งการทำบอลลูนหัวใจจะมีข้อดีตรงที่ทำง่ายกว่า ไม่ต้องผ่าตัด ค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการทำบายพาส ใช้เวลาพักฟื้นสั้นกว่า และมีผลข้างเคียงน้อยกว่า ทว่าการทำบอลลูนหัวใจอาจกลับมามีอาการซ้ำได้อีก
   
          ส่วนการทำบายพาสมีขั้นตอนยุ่งยากกว่า ค่ารักษาสูงกว่า พักฟื้นนานกว่า และผลข้างเคียงในการรักษามากกว่า แต่โอกาสกลับมาป่วยซ้ำก็น้อยกว่า

          อย่างไรก็ตาม การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสิรฐ ฉะนั้นหากวันนี้ร่างกายคุณยังแข็งแรง ก็พยายามดูแลรักษาตัวเองให้ดีอยู่เสมอด้วยนะคะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก

ศูนย์โรคหัวใจ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย
สมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์   
มูลนิธิเด็กโรคหัวใจ
สำนักงานประกันสังคม
คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่
blog นพ.มานิตย์ วัชร์ชัยนันท์


เรื่องที่คุณอาจสนใจ
รู้จักการทำบอลลูนหัวใจ หนึ่งในวิธีรักษาผู้ป่วยโรคหัวใจ อัปเดตล่าสุด 14 สิงหาคม 2561 เวลา 10:23:36 98,083 อ่าน
TOP
x close