วันที่ 7 เมษายน 2560 นพ.สุขุม กาญจนพิมาย อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า ที่ผ่านมามักจะมีการรายงานข่าวนักท่องเที่ยวติดเชื้อลีจิโอเนลลา (Legionella spp.) ในประเทศไทยเป็นระยะ ๆ ทำให้ทางศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ภูเก็ต ได้ทำการศึกษาเชื้อลีจิโอเนลลามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจากการสำรวจพบว่า มีการพบเชื้อดังกล่าวจากหอผึ่งเย็นในโรงแรม โรงพยาบาลหรือ ที่พักต่าง ๆ
ล่าสุดเจ้าหน้าที่ได้เก็บตัวอย่างน้ำที่นำมาจากแหล่งต่าง ๆ รวมถึง หอผึ่งเย็น, ถังเก็บน้ำ, ฝักบัว, ก๊อกน้ำ, สปา, สระว่ายน้ำ, และถาดแอร์ จากโรงแรมในจังหวัดภูเก็ต จ.พังงา และ จ.กระบี่ แล้ว ตั้งแต่เดือนมกราคม-เมษายน 2559 จำนวน 1,508 ตัวอย่าง มาทำการตรวจวิเคราะห์หาเชื้อและผลการตรวจพบเชื้อดังกล่าว 116 ตัวอย่าง คิดเป็นร้อยละ 7.69 ซึ่งพบเชื้อลีจิโอเนลลามากที่สุด ได้แก่
- น้ำจากฝักบัว ร้อยละ 13.2
- สปา ร้อยละ 12.9
- ก๊อกน้ำ ร้อยละ 10.4
ทั้งนี้ ปริมาณที่พบยังไม่สูงพอที่จะก่อให้เกิดโรคในคน
แต่ขอแนะนำการเฝ้าระวังการแพร่กระจายเชื้อชนิดนี้
ด้วยการดูแลและบำรุงรักษาระบบน้ำ
รวมถึงการตรวจสอบเฝ้าระวังและติดตามผลของการบำรุงรักษาระบบน้ำให้ถูกต้องอีกด้วย
สำหรับเชื้อลีจิโอเนลลา เป็นเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดโรคได้ 2 ลักษณะ คือ
1. หากติดเชื้อโดยมีภาวะปอดอักเสบร่วมด้วย อาการจะรุนแรงและเกิดอัตราการป่วยตายสูงมาก โดยเรียกว่า โรคลีเจียนแนร์ (Legionnaires)
2. ติดเชื้อแต่อาการไม่รุนแรงเรียกว่า โรคไข้ปอนเตียก (Pontiac fever) อาการจะคล้ายกับไข้หวัด หรือไข้หวัดใหญ่
โดยกลุ่มคนซึ่งเสี่ยงต่อการเป็นโรคดังกล่าว คือ กลุ่มผู้สูงอายุตั้งแต่ 45 ปีขึ้นไป โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน โรคไต โรคปอดเรื้อรัง หรือในกลุ่มผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ จะติดเชื้อนี้ได้ง่ายแล้วโรคก็จะลุกลามจนอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้อีกด้วย
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก