เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2560 สำนักข่าวบีบีซี มีรายงานว่า องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ออกประกาศเตือนเรื่องการมีเพศสัมพันธ์โดยใช้ปากแบบไม่ป้องกัน หรือ ออรัลเซ็กส์ จะเพิ่มความเสี่ยงทำให้เชื้อที่ก่อให้เกิดโรคหนองใน (gonorrhoea) พัฒนากลายเป็นสายพันธุ์ที่อันตราย ดื้อยาและยากแก่การรักษา ไปจนถึงไม่สามารถรักษาให้หายได้ และยังไม่มียารักษาได้ในอนาคตอันใกล้
ทางองค์กรอนามัยโลก ได้ทำการวิเคราะห์ข้อมูลจาก 77 ประเทศทั่วโลก พบว่า เชื้อโรคดื้อยาดังกล่าวกำลังขยายวงกว้างมากขึ้น ดร. ธีโอโดรา วี ผู้เชี่ยวชาญจาก WHO เผยว่า พบมีกรณีใน 3 ประเทศ ได้แก่ ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส และสเปน ที่ไม่สามารถรักษาอาการติดเชื้อได้ ทั้งนี้ได้เผยว่า เชื้อโรคดังกล่าวมีความฉลาดมาก ทุก ๆ ครั้งที่มีการรักษาด้วยตัวยาปฏิชีวนะใหม่ มันจะสามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว และจะกลายเป็นดื้อยา สิ่งที่น่าเป็นกังวลคือ การติดเชื้อโรคนี้ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในประเทศยากจน ซึ่งมีความยากกว่าในการตรวจพบการดื้อยา
โดย ดร.วี กล่าวว่า ยาปฏิชีวนะที่ใช้รักษาการติดเชื้อทั่วไปในลำคอ อาจจะทำให้เชื้อดื้อยาได้ โดยเมื่อแพทย์ใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อรักษาอาการติดเชื้อ เช่นอาการเจ็บคอทั่วไป ซึ่งในลำคอมีเชื้อแบคทีเรียสายพันธุ์ไนซีเรียอยู่ด้วย จึงส่งผลให้เชื้อเกิดการดื้อยาขึ้น นอกจากนี้ นักวิจัยเชื่อว่า สาเหตุที่โรคแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมีผู้ใช้ถุงยางอนามัยน้อยลง จากที่เคยมีจำนวนผู้ใช้สูงสุดในช่วงที่มีการระบาดของเชื้อเอชไอวี และโรคเอดส์
สำหรับ โรคหนองในเกิดจากแบคทีเรีย ไนซีเรีย โกโนเรีย (Neisseria gonorrhoea) ซึ่งสามารถติดต่อได้ ผ่านการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน ทางอวัยวะเพศ ทางปาก และช่องทวารหนัก โดยจะแสดงอาการคือ สารหลั่งจากอวัยวะเพศที่มีสีเขียวหรือเหลืองข้น อาการเจ็บปวดเมื่อขับปัสสาวะ และมีเลือดออกระหว่างรอบประจำเดือน