สร้างความตื่นตระหนกให้ผู้ที่ได้รับข่าวสารพอสมควร เมื่อโลกออนไลน์ได้แชร์ข้อความให้ระวังโรคไวรัสโรต้าที่กำลังระบาดหนัก เพราะหากติดเชื้อจะทำให้ท้องร่วงอย่างรุนแรง และเป็นเชื้อร้ายที่ยังไม่มียารักษา....
แต่ในความเป็นจริง โรคไวรัสโรต้าอันตรายจริงหรือไม่ และยังไม่มียาแก้จริงหรือ ?
ทั้งนี้จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงพบว่า โรคอุจจาระร่วงจากเชื้อไวรัสโรต้า (Rotavirus) เป็นโรคติดต่อที่มักเกิดในช่วงฤดูหนาว และมักพบผู้ป่วยในเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ มากกว่าผู้ใหญ่ซึ่งพบน้อยมาก เพราะเชื้อมักจะปนเปื้อนมากับน้ำ เครื่องใช้ หรือของเล่นต่าง ๆ และเชื้อยังทนต่อสภาพแวดล้อม สามารถมีชีวิตอยู่ได้นานหลายวัน หากเด็กไปสัมผัสแล้วนำมือเข้าปากก็จะติดเชื้อได้ง่าย
ที่ต้องเตือนก็คือ ไม่ควรซื้อยาปฏิชีวนะมารับประทานเอง เพราะยาปฏิชีวนะเป็นยาสำหรับฆ่าเชื้อแบคทีเรียเท่านั้น ไม่สามารถรักษาอาการติดเชื้อไวรัสได้ ดังนั้นหากมีอาการท้องเสีย ควรดื่มน้ำสะอาดที่ผสมผงเกลือแร่ (ORS) เพื่อทดแทนน้ำที่ร่างกายเสียไป และหากอาการมากผิดปกติหรือเป็นอย่างต่อเนื่องมากกว่า 2-3 วัน ควรรีบพบแพทย์โดยทันที
ในส่วนของการป้องกันโรคอุจจาระร่วงจากไวรัสโรต้า สามารถทำได้โดย
1. หมั่นล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำและสบู่ หรือเจลล้างมือทั้งก่อนทำอาหาร และภายหลังการใช้ห้องน้ำ
2. รักษาสุขอนามัยของสมาชิกในบ้านและบริเวณที่ลูกหลานชอบเล่น รวมทั้งหมั่นล้างของเล่นเสมอ
3. กำจัดขยะมูลฝอย เศษอาหารเพื่อไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์แมลงวัน
4. รับประทานอาหารที่ปรุง "สุก ร้อน สะอาด" ไม่รับประทานอาหารสุก ๆ ดิบ ๆ โดยเฉพาะอาหารที่ปรุงจากเนื้อสัตว์ หรืออาหารที่มีแมลงวันตอม หากต้องการจะเก็บรักษาอาหารที่ปรุงสุกแล้วไว้รับประทานในวันต่อไป ควรใส่ไว้ในภาชนะที่ปิดมิดชิด เก็บไว้ในตู้เย็น และนำมาอุ่นให้ร้อนก่อนรับประทานทุกครั้ง และการเก็บรักษาที่ปรุงสุกแล้ว ควรแยกจากอาหารหรือวัตถุดิบที่ยังไม่ปรุง เพื่อไม่ให้เกิดการปนเปื้อน
5. ให้วัคซีนป้องกันในเด็กอายุ 6 สัปดาห์ขึ้นไป แต่ต้องไม่เกิน 8 เดือน
สรุปได้ว่า แม้จะยังไม่มียาต้านไวรัสโรต้าโดยเฉพาะ แต่โรคนี้ก็ไม่ได้อันตรายมากนักหากผู้ป่วยไม่มีโรคแทรกซ้อนที่รุนแรง หรือภูมิต้านทานร่างกายต่ำมาก เพราะระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจะกำจัดเชื้อโรคออกไปได้เองตามธรรมชาติ ดังนั้นเราต้องหมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ดูแลสุขภาพให้ดีอยู่เสมอ เพื่อให้ภูมิคุ้มกันร่างกายแข็งแรง สามารถป้องกันและต่อสู้กับเชื้อโรคที่อาจจะเข้าสู่ร่างกายได้ทุกเมื่อ
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
, กระทรวงสาธารณสุข, กรมควบคุมโรค, ทวิตเตอร์ @mor_maew