ติดกินอาหารบางอย่างแบบงอมแงม นี่เรามีอาการเสพติดอาหารอยู่หรือเปล่านะ ลองเช็กให้เคลียร์
![เสพติดอาหาร เสพติดอาหาร]()
เสพติดอาหาร คืออะไร
![เสพติดอาหาร เสพติดอาหาร]()
ไม่ว่าจะเป็นอาหารประเภทไหนก็ทำให้เราเกิดการเสพติดได้ แต่ส่วนใหญ่เรามักจะเสพติดอาหารที่มีน้ำตาลสูง อย่างขนมหวาน ช็อกโกแลต คุกกี้ เบเกอรี่ รวมทั้งอาหารที่มีความเค็มและไขมันสูง อย่าง หมูปิ้ง ไก่ทอด มันฝรั่งทอด ขนมขบเคี้ยว ซอสปรุงรสต่าง ๆ เพราะเมื่อเรากินเข้าไปแล้วจะทำให้สมองหลั่งสารที่ทำให้เรามีความสุขออกมา จนเกิดการเสพติดอย่างที่กล่าวไปแล้วนั่นเอง
เสพติดอาหาร อาการเป็นอย่างไร
ลองมาเช็กอาการเสพติดอาหารว่าเราเป็นกันอยู่ไหม
1. เลือกซื้ออาหารชนิดนั้นมากกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์
2. กินอาหารชนิดนั้นในปริมาณที่ตัวเองคาดการณ์เอาไว้ หรือกินได้เรื่อย ๆ ไม่อยากหยุดกิน
3. รู้สึกอยากกินอาหารชนิดนั้น ๆ มากกว่าอาหารชนิดอื่น
4. แม้จะไม่หิวก็รู้สึกอยากกินและกินอาหารชนิดนั้น ๆ ได้อย่างสบาย ๆ
5. หรืออิ่มมาก ๆ ก็ยังสามารถกินอาหารชนิดนั้นเพิ่มได้อีก
6. จะไม่หยุดกินจนกว่าจะอิ่มถึงที่สุดจริง ๆ
7. หากไม่ได้กินอาหารที่ชอบวันไหนจะรู้สึกหงุดหงิด อารมณ์ไม่ดี หรือมีอาการทางกาย เช่น หน้ามืด ใจสั่น มือสั่น ปวดหัว เป็นต้น
8. ขาดสมาธิเมื่อได้กินอาหารชนิดนั้น ๆ
9. มีข้ออ้างหรือเหตุผลในการกินอาหารชนิดนั้น ๆ เสมอ
10. รู้สึกผิดหลังกินเสร็จแล้ว แต่ไม่นานก็มีพฤติกรรมกินแบบเดิม ๆ อยู่เรื่อย ๆ
![เสพติดอาหาร เสพติดอาหาร]()

พฤติกรรมเสพติดของบางอย่างอาจเป็นความผิดปกติที่สังเกตตัวเองได้ง่าย แต่กับอาการเสพติดอาหารอาจดูไม่ง่ายอย่างนั้นค่ะ เพราะอาหารเป็นสิ่งที่เรากินอยู่ทุกวันจนบางคนมองว่าการกินอาหารเมนูเดิม ๆ นั้นเป็นเรื่องที่ธรรมดาสามัญและไม่เป็นอันตราย จนกว่าจะรู้ตัวว่ามีภาวะเสพติดอาหารก็อ้วนไปไกลแล้ว หรืออาจถึงขั้นไม่ได้กินอาหารชนิดนั้น ๆ แล้วหงุดหงิดก็เป็นได้ แต่รู้ไหมว่านี่แหละอาการเสพติดอาหาร หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Food Addiction ล่ะ
ภาวะเสพติดอาหารเป็นภาวะที่สารเคมีในสมองเกิดการเปลี่ยนแปลงคล้ายกับเคสของคนติดยาเสพติดนั่นแหละค่ะ กล่าวคือ เมื่อร่างกายได้กินอาหารที่เสพติดหรือชอบมาก ๆ แล้ว สมองจะหลั่งสารโดพามีนออกมาทำให้ร่างกายรู้สึกเป็นสุข กระปรี้กระเปร่า ก่อให้เกิดภาวะเสพติดเพราะต้องการจะได้รับความสุขจากการกินอาหารซ้ำ ๆ อีกครั้ง จนอาจทำให้มีพฤติกรรมกินอาหารประเภทนั้น ๆ มากเกินไป บ่อยเกินไป และอาจเกิดภาวะอ้วน ที่มักจะมาพร้อมโรคเรื้อรังอื่น ๆ ด้วย เช่น โรคไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน เป็นต้น

เรามักเสพติดอาหารประเภทไหน ?
ไม่ว่าจะเป็นอาหารประเภทไหนก็ทำให้เราเกิดการเสพติดได้ แต่ส่วนใหญ่เรามักจะเสพติดอาหารที่มีน้ำตาลสูง อย่างขนมหวาน ช็อกโกแลต คุกกี้ เบเกอรี่ รวมทั้งอาหารที่มีความเค็มและไขมันสูง อย่าง หมูปิ้ง ไก่ทอด มันฝรั่งทอด ขนมขบเคี้ยว ซอสปรุงรสต่าง ๆ เพราะเมื่อเรากินเข้าไปแล้วจะทำให้สมองหลั่งสารที่ทำให้เรามีความสุขออกมา จนเกิดการเสพติดอย่างที่กล่าวไปแล้วนั่นเอง
เสพติดอาหาร อาการเป็นอย่างไร
ลองมาเช็กอาการเสพติดอาหารว่าเราเป็นกันอยู่ไหม
1. เลือกซื้ออาหารชนิดนั้นมากกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์
2. กินอาหารชนิดนั้นในปริมาณที่ตัวเองคาดการณ์เอาไว้ หรือกินได้เรื่อย ๆ ไม่อยากหยุดกิน
3. รู้สึกอยากกินอาหารชนิดนั้น ๆ มากกว่าอาหารชนิดอื่น
4. แม้จะไม่หิวก็รู้สึกอยากกินและกินอาหารชนิดนั้น ๆ ได้อย่างสบาย ๆ
5. หรืออิ่มมาก ๆ ก็ยังสามารถกินอาหารชนิดนั้นเพิ่มได้อีก
6. จะไม่หยุดกินจนกว่าจะอิ่มถึงที่สุดจริง ๆ
7. หากไม่ได้กินอาหารที่ชอบวันไหนจะรู้สึกหงุดหงิด อารมณ์ไม่ดี หรือมีอาการทางกาย เช่น หน้ามืด ใจสั่น มือสั่น ปวดหัว เป็นต้น
8. ขาดสมาธิเมื่อได้กินอาหารชนิดนั้น ๆ
9. มีข้ออ้างหรือเหตุผลในการกินอาหารชนิดนั้น ๆ เสมอ
10. รู้สึกผิดหลังกินเสร็จแล้ว แต่ไม่นานก็มีพฤติกรรมกินแบบเดิม ๆ อยู่เรื่อย ๆ

เสพติดอาหาร รักษาอย่างไร
แนวทางการรักษาภาวะเสพติดอาหารสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้ ดังนี้
แนวทางการรักษาภาวะเสพติดอาหารสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้ ดังนี้
1. วางแผนการกินในแต่ละวัน และพยายามกินให้ได้ตามที่วางแผนไว้
2. ลดปริมาณการกินอาหารที่เสพติดให้น้อยลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป
3. พยายามเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์มากกว่าอาหารที่ไม่มีประโยชน์ เช่น หากติดกินชา ติดน้ำอัดลม ให้เปลี่ยนมากินผลไม้รสหวานแทน พร้อมกับพยายามกินผลไม้น้ำตาลน้อยสลับ ๆ กันไป
4. จดบันทึกรายการอาหารที่กินในแต่ละวัน แล้วลองเช็กความถี่ในการกินอาหารชนิดเดิม ๆ
5. พยายามกินอาหารเมื่อร่างกายต้องการอาหารจริง ๆ ไม่ใช่กินเพราะอยากกินเฉย ๆ
6. พยายามหลีกเลี่ยงการไปในที่ที่มีอาหารที่เราเสพติดขายอยู่
การห้ามใจให้ได้ดูเหมือนจะเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เราเอาชนะอาการเสพติดอาหารได้ในที่สุดนะคะ และหากเช็กอาการแล้วเรา “ใช่” ก็พยายามควบคุมอาหารเอาไว้ และหมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอด้วย
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
เครือข่ายคนไทยไร้พุง
เฟซบุ๊ก Pleasehealth Books
healthline
webmd
2. ลดปริมาณการกินอาหารที่เสพติดให้น้อยลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป
3. พยายามเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์มากกว่าอาหารที่ไม่มีประโยชน์ เช่น หากติดกินชา ติดน้ำอัดลม ให้เปลี่ยนมากินผลไม้รสหวานแทน พร้อมกับพยายามกินผลไม้น้ำตาลน้อยสลับ ๆ กันไป
4. จดบันทึกรายการอาหารที่กินในแต่ละวัน แล้วลองเช็กความถี่ในการกินอาหารชนิดเดิม ๆ
5. พยายามกินอาหารเมื่อร่างกายต้องการอาหารจริง ๆ ไม่ใช่กินเพราะอยากกินเฉย ๆ
6. พยายามหลีกเลี่ยงการไปในที่ที่มีอาหารที่เราเสพติดขายอยู่
การห้ามใจให้ได้ดูเหมือนจะเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เราเอาชนะอาการเสพติดอาหารได้ในที่สุดนะคะ และหากเช็กอาการแล้วเรา “ใช่” ก็พยายามควบคุมอาหารเอาไว้ และหมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอด้วย
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
เครือข่ายคนไทยไร้พุง
เฟซบุ๊ก Pleasehealth Books
healthline
webmd