ในวัยเลข 4
โดย คุณ มนตราหิมาลัย สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม
ตอนที่ 1 ... background ...
สวัสดีค่ะ พี่ชื่อ “พี่มล” นะคะ เป็นผู้หญิง อายุเลข 4 แต่งงานแล้ว ไม่มีลูก สิ่งเดียวในที่ชีวิตที่ทำไม่ได้เลยคือไม่เคยประสบความสำเร็จในการลดน้ำหนักมาก่อน....น้ำหนักค่อนข้างเสถียรในขาขึ้น คือทำยังไงก็ไม่เคยลง มีแต่นิ่งและเป็นขาขึ้นอย่างเดียว
อดีต มีช่วงชีวิตหนึ่งสั้น ๆ เคยเป็นคนตัวเล็ก ขนาดใส่เสื้อเด็กได้...แต่เป็นคน enjoy eating และสามีก็ไม่เคยว่าอะไร ช่วยขุนเต็มที่ ทำให้หลังแต่งงาน น้ำหนักจาก 55 พุ่งไป 85 กิโลกรัม ได้อย่างไม่ยากเย็น ด้วยส่วนสูง 157 เซนติเมตร ทำให้รูปร่างน่ารักมาก ตุ้มต๊ะตุ้มตุ้ย
คำเตือน...ยาวมากตามนิสัยเวิ่นเว้อ ใครไม่ชอบอ่านอะไรยาว ๆ ข้ามไปเลยค่ะ นี่แค่เปิดหัว มีอีกหลายตอน
ความตั้งใจของกระทู้นี้คืออยากให้กำลังใจ อยากช่วยสร้างแรงบันดาลใจ ให้คนที่ออกกำลังกายลดความอ้วน หรือกำลังคิดจะออกกำลังกาย
=> พี่เคยอ้วนมาก่อน เคยเกลียดการออกกำลังกาย เกลียดคาร์ดิโอ เกลียดการเวต เกลียดการหอบเหนื่อย เคยชอบนอนซ้อมตายจมกองไขมัน เคยใช้ชีวิตแบบสลอธ เคยชอบนอนนิ่ง ๆ ในวันหยุด เคยไม่ชอบมีกิจกรรมอะไร ทำงานมาทั้งอาทิตย์ วันหยุดก็ต้องหยุดดิ
=> ดังนั้นพี่เชื่อว่าพี่เป็นคนหนึ่งที่รู้และเข้าใจดีว่าการออกกำลังกายมันเหนื่อยมากแค่ไหน มันอยากเลิก มันอยากท้อ มันอยากหยุด อยากหันหลังกลับไม่เอาอีกแล้ว...แต่พี่ก็พบว่า ถ้าเรายังเดินต่อ เราก็ทำได้...
ตอนที่ 2 ... ระบบเผาผลาญพัง ...
พี่เคยทำลายระบบเผาผลาญของตัวเอง ด้วยพฤติกรรมเหล่านี้ เวลาที่รู้สึกว่าชักจะอ้วนนะ
1. อดอาหารจ้า
เลือกอดอาหาร รู้ว่าไม่ดี แต่ชั้นเลือกทางนี้ ทางที่ใจชั้นต้องการ...อดได้แค่มื้อเดียวค่ะ มื้อต่อมาจัดหนักชดเชยไปเลย...ไม่รอด
2. กินอาหารเสริม
ไม่เคยกินยาลดความอ้วนค่ะ...ไอ้ที่กินไป เค้าไม่เคยโฆษณาว่าเป็นยาลดความอ้วน เค้าบอกแต่เป็นอาหารเสริม ช่วยลดความอ้วน ดังนั้นเราจะถือว่า ไม่เคยกินยาลดความอ้วนนะคะ (แม้ว่าความจริงมันจะเป็นชื่อเล่นของกันและกันก็ตาม) ... อะไรว่าดีพี่ก็กินค่ะ แต่น้ำหนักก็ไม่เคยลงนะ กี่ยี่ห้อก็ไม่เคยลง ... ไม่รอดอยู่ดี ... เลิกกินอาหารเสริมจ้า ... แต่ไม่เลิกแดรกดุนะคะ
เคยกินโปรตีนชง ทั้งหลายแหล่ รวมทั้งคอร์สแพง ๆ ทั้งของ A ของ H ... แพงมากค่ะ ซื้อที แทบไม่เหลือเงินซื้อข้าวกิน (แซวขำ ๆ นะคะ) ควรจะผอมไหม ... ควร ... แล้วผอมไหม ... ก็ไม่นะ (อันนี้ไม่โจมตีกัน ไม่ดราม่ากันนะคะ เพื่อนพี่น้อง รอบตัวที่กินได้ผลก็มีหลายคนด้วย แต่พี่ไม่ได้ผล เพราะพี่อาจจะกินไม่ดีเอง ไม่โทษสินค้าค่ะ โทษตัวเองล้วน ๆ)
การอดอาหาร การกินอาหารเสริม (ชื่อเพราะ ๆ ของยาลดความอ้วน) ล้วนทำให้ระบบเผาผลาญพัง ... ถามว่ารู้ไหม ... รู้ค่ะ ... แต่ก็ทำ มันเป็นนิสัยไม่ดี อย่าเอาอย่างนะคะ
ตอนที่ 3 ... ออกกำลังกาย ก๊อก ๆ แก๊ก ๆ
ชีวิตมันต้องมีมารดีมาบงการบ้าง ... มารขาวบอกว่า จงเลิกพฤติกรรมทำลายระบบเผาผลาญ จงเริ่ม activity อะไรบ้างเหอะ
1. เล่นโยคะ
เล่นโยคะ ปี 2015 (แต่ก็ไม่ผอมนะ ได้สุขภาพดี กับน้ำหนักคงที่ ไม่ลดลง ไม่เพิ่มขึ้น … มีคติประจำตัวค่ะคือ เล่นโยคะแล้วกินได้ทุกอย่าง ทำอย่างนี้น้ำหนักจะลงได้ไง) เล่นได้สักปี ก็หยุดเล่นไป 3 ปี เพราะงานเยอะมาก ไม่สามารถปลีกตัวไปเล่นโยคะที่สตูดิโอโยคะได้ ... เล่นที่บ้านแทนสิ ... ไม่ค่ะ ไม่เล่น เพราะบ้านคือที่พักผ่อน พี่เล่นไม่ได้จริง ๆ เคยลองแล้ว ไหว้พระอาทิตย์ยังไม่ทันจบ เหนื่อย เลิก เลิก
ช่วงหยุดเล่นโยคะ เป็นช่วงที่กินดุกว่าเดิมอีก ประมาณว่า ไม่แคร์ล่ะ กินไปก่อน เดี๋ยวก็ได้เล่นโยคะ... จ้ะ คำว่า “เดี๋ยว” นี่ 3 ปีเลยจ้ะ ที่หยุดเล่น ... น้ำหนัก และไขมันพุ่งทะยานทะลุแนวต้านกันเลยทีเดียว (บอกว่าเกลียดการออกกำลังกาย แต่โยคะนี่ยกเว้นค่ะ เพราะมีความรู้สึกว่า มันไม่ได้หอบเหนื่อยเหมือนพวกคาร์ดิโอ ได้ยืดเหยียด สนุกดี)
2. ว่ายน้ำ
หลังจากหยุดเล่นโยคะไป สัก 2 ปี สภาพร่างก็ขยายไปมาก ก็มีพยายามว่ายน้ำบ้าง อาทิตย์ละครั้ง บางช่วงเห่อหน่อยก็ 2-3 ครั้ง ... ว่ายครั้งหนึ่งก็ 1,000 เมตรขึ้น เคยว่ายเยอะสุด 2,000 เมตร แต่ว่ายน้ำได้ไม่กี่ครั้งก็เลิก (เป็นคนขี้เบื่อ ทำอะไรสักพักก็เลิก) ... ช่วงว่ายน้ำก็เช่นเดิม ... ว่ายน้ำแล้วกินได้ทุกอย่าง หึ หึ ... ว่ายน้ำเสร็จไปเดินตลาดต่อ หึ หึ หายนะชัด ๆ
ตอนที่ 4 ... ถูกชวนไปฟิตเนส (ขอใช้คำว่าฟิตเนส แทนคำว่าจิม/ยิม นะคะเพราะพี่ชินกับการเรียกแบบนี้)
“เจ๊นุช” เจ๊ที่เคยเล่นโยคะด้วยกัน เป็นเพื่อนกันในเฟซบุ๊ก ทำให้ยังเห็นความเคลื่อนไหวกันอยู่ตลอด ... เจ๊คงทนเห็นสภาพพี่ไม่ไหว เลยชวนให้มาฟิตเนสกัน (เจ๊มีไลฟ์สไตล์ออกกำลังกายเป็นประจำอยู่แล้ว ไม่เคยเลิกออกกำลังกาย หลัง ๆ ขยับขยายจากเล่นโยคะอย่างเดียว เปลี่ยนไปเข้าฟิตเนส ที่มีครบทุกอย่าง)
ได้ยินเจ๊ชวนครั้งแรก...คำตอบอยู่ในหัวทันที ไม่ไป ไม่ไป ไม่ไป ชั้นไม่ไป !!! ... ข้ออ้างมาเต็ม
- ไม่ว่าง : แกก็หาเวลาไป อาทิตย์ละครั้ง สองครั้งสิ จัดสรรเวลาเป็นไหม
- ไกล : แกไม่ได้เดินไป แกขับรถ ดังนั้นไกลไม่ใช่ประเด็น
- ไม่รู้จัก : ฟิตเนสอยู่พนัสนิคม แกจะไม่รู้จักพนัสนิคมได้ไง
- ไปไม่เป็น : เจ๊อัดคลิปส่งมาให้จ้า ... คนบ้าอะไรอัดคลิปบอกทางละเอียดยิบ ... หมดข้ออ้างเลย
ไปแรก ๆ ด้วยความเกรงใจค่ะ ... กะว่า ไปครั้งสองครั้ง เดี๋ยวเจ๊ก็เลิกชวนเอง ... คิดผิดค่ะ ... เจ๊ถามทุกวัน วันนี้ไปไหม ... ถ้าคำตอบคือไม่ไป เจ๊ก็ไม่ว่าอะไร ... วันรุ่งขึ้น ถามอีกจ้า วันนี้ไปไหม ... พอบอกว่าไม่ไปหลาย ๆ วัน มันก็ต้องชดเชยด้วยการไปสักวันจนได้ ... ไปเหยาะ ๆ แหยะ ๆ เดือนละ 2-3 ครั้ง ทำแบบนี้อยู่ประมาณ 1 ปี
ในตอนนั้นวางลำดับความสำคัญของการไปฟิตเนสไว้ลำดับสุดท้าย ... พร้อมที่จะยกเลิกการไปฟิตเนสทันทีที่มีการชวนไปกิน ชาบู หมูกะทะ, ง่วง, งานเยอะ, อยากไปช้อปปิ้ง, อยากไปเดินตลาด ฯลฯ .... การไปฟิตเนสมันช่างทุกข์ทรมาน แค่ขับรถมาจอด เห็นแค่หน้าฟิตเนสก็เหนื่อยแล้ว เดินเข้าไปได้กลิ่นน้ำหอมในฟิตเนสก็เหนื่อยแล้ว ไม่มีความสุข ไม่อยากไป ไม่ชอบบบบบบบบบ
ตอนที่ 5 ... จุดตื่น
หลังจากเหยาะ ๆ แหยะ ๆ ไปฟิตเนสบ้าง ไม่ไปบ้าง อยู่ 1 ปี ... วันหนึ่ง ก็ได้เห็นโพสต์ของ “น้องนุ่น” เป็นโพสต์ที่ฟิตเนสแชร์มา น้องใช้คำว่า ออกกำลังกาย 1 ปีได้อะไร ... พี่สะดุ้งเฮือกกับคำนี้ ... เพราะพี่เห็นด้วยตาตัวเอง เวลาพี่ไปฟิตเนส (แม้จะนาน ๆ ไปทีก็เหอะ) พี่เห็นน้องนุ่นขยันออกกำลังกาย มีวินัยมาก แววตาของน้องมุ่งมั่น ... 1 ปีผ่านไป น้องเหมือนคนละคน น้องแข็งแรงมาก ผอมลง สดใสขึ้น
หันกลับมามองตัวเอง ใช้ชีวิต 1 ปีเหมือนกันไปกับชาบูและหมูกระทะ กินหนักมากทุกอาทิตย์ บางอาทิตย์ 2 ครั้ง … สิ่งที่ได้ น้ำหนักขึ้นมาเป็น 85 กิโล ... เริ่มหนักตัวเอง ก้มใส่ถุงเท้ายังยาก เดินนิดหน่อยก็เหนื่อย ปวดเมื่อยไปหมด หัวเข่าก็เสีย ตอนนั้นกลัวมาก ว่าแก่ตัวไปจะเดินไม่ได้ อยากอยู่ดูหลานสาวตัวอวบเติบโตขึ้น โดยที่ไม่เป็นภาระให้เค้า อยากวิ่งเล่นกับเค้าได้ในช่วงวัยซนของเค้า ... ทาสหลานที่แท้ทรู
1 ปีเท่ากัน ชีวิตที่ใช้ต่างกัน ผลลัพธ์ที่ได้ก็ต่างกัน ... เหมือนโดนตบหน้าให้ตื่นได้แล้ว ... ตื่นเลยจ้า ... ตื่นพร้อมกับอยากรู้ อยากเห็น อยากพิสูจน์อย่างเต็มเปี่ยมว่า แล้วชั้นล่ะ ถ้าชั้นใช้เวลา 1 ปีบ้าง อะไรจะเกิดขึ้นกับชั้น
ตอนที่ 6 ... แค่เปลี่ยนความคิด ชีวิตก็เปลี่ยน
เมื่ออยากพิสูจน์ตัวเองว่าถ้าชั้นออกกำลังกายสม่ำเสมอเป็นเวลา 1 ปี ชั้นจะได้อะไรบ้าง ก็เริ่มจากปรับเปลี่ยนมุมมอง ... มองการออกกำลังกายเป็น lifestyle ... เป็นเรื่องปกติที่ต้องทำ เหมือนต้องอาบน้ำ กินข้าว ... พี่ไม่ได้คิดว่าออกกำลังกายเพื่อลดความอ้วน แต่พี่คิดว่า นี่คือวิถีชีวิตของพี่ พี่เลือกแล้วว่าจะใช้ชีวิตแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ... พี่ไม่กะเกณฑ์ว่า ชั้นต้องลด นน. เท่าไหร่ ในเวลาเท่าไหร่ เพราะถ้ากิจกรรมนี้เป็นวิถีชีวิตของพี่ พี่ก็มีเวลาทั้งชีวิตไม่ต้องกดดันตัวเอง ... พอเปลี่ยนความคิดได้ ก็มองเห็นความสนุกของการไปออกกำลังกาย มีเพื่อน มีสังคม มีกิจกรรม มีความสนุกสนาน
โชคดี ที่ได้เจอฟิตเนสดี ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ สมาชิกน่ารัก น้องพนักงานต้อนรับและเทรนเนอร์ก็น่ารัก ... สิ่งที่ชอบที่สุดคือวัฒนธรรมการไหว้ทักทาย ไม่รู้ที่อื่นเป็นไหม แต่ที่นี่ ทุก ๆ วันที่เจอกันจะยกมือไหว้ทักทายกัน ทั้งน้อง ๆ พนักงานต้อนรับ เทรนเนอร์ และสมาชิก มีความรู้สึกว่าเป็นวัฒนธรรมที่น่ารักจัง
ในสังคมของคนออกกำลังกายด้วยกัน ก็จะคุยกันเรื่องออกกำลังกาย ให้กำลังใจกัน ชวนกัน ตามกันมาออกกำลังกาย ...
- เวลาหายไปสักวัน น้อง ๆ สมาชิกจะไลน์มาตามแล้ว พี่มลไปไหน แม่ไปไหน ...
- เวลาเห็นเราเหนื่อย น้อง ๆ จะมาให้กำลังใจ แม่สู้ ๆ พี่มลสู้ ๆ แม่ทำได้ แม่ต้องไปต่อนะ ...
- ช่วยกันปรับท่า ให้โฟกัสให้ถูกจุด ...
- เราจะคอยเช็กหุ่นให้กันและกัน เวลาเห็นใครเฟิร์มขึ้น ก็จะทักกัน ชื่นชม ให้กำลังใจกัน ...
- กับเจ๊ก็กลายเป็นคู่หู เห็นคนหนึ่ง ต้องเห็นอีกคนหนึ่ง เวลาใครสักคนเบี้ยวไม่ไปฟิตเนส อีกคนก็จะดึงรั้ง หรือถ้าติดธุระจริง ๆ อีกคนก็อยากจะโดดตามด้วย (อ้าววว ได้เหรอ) ... แต่ถ้าโดดด้วยเหตุผลไม่สมควรก็จะตามไปควักตัวออกมาจากรถให้ไปออกกำลังกายจนได้
- มีการรวมกลุ่มกันของสมาชิกด้วยกัน แล้วพากันเล่น นำโดยน้องยิม (น้องชื่อยิมจริง ๆ ค่ะ) น้องชายสุดหล่อ ซึ่งมันทำให้เล่นได้ดีขึ้น มากขึ้น ... เหนื่อยจุก ๆ สนุกจัด ๆ
- มีสั่งอาหาร สั่งขนม แล้วให้ไปส่งไว้ที่ฟิตเนสอีกด้วย ... เย้ยสายตาเทรนเนอร์มาก ณ จุดนี้ (ขำแรง)
เมื่อสายตาและหัวใจเราเปิดรับความสนุก ก็ทำให้รู้สึกว่าการออกกำลังกายไม่ได้ยากเหมือนก่อน และการไปฟิตเนสก็เหมือนไปบ้านอีกหลัง ... พี่เข้าฟิตเนสประมาณสัปดาห์ละ 4-5 วันหลังเลิกงาน ใช้เวลาในนั้นประมาณ 2 ชั่วโมง ถึง 2 ชั่วโมงครึ่ง ถ้าเป็นวันหยุดก็จะมากกว่านี้ ... บอกตรง ๆ ค่ะว่า ไม่เคยคิดว่าชีวิตนี้จะมีพฤติกรรมสิงฟิตเนสเกิดขึ้นกับตัวเอง
นี่คือรูปที่พี่ชอบมากค่ะ พี่รู้สึกว่าอยากทำให้ได้อย่างนี้ เลยเซฟมาเก็บไว้ เอาไว้ดูเวลาท้อ
ตอนที่ 7 ... 1 ปีมานี้ ทำอะไรไปบ้าง
1. วางลำดับความสำคัญ
วางลำดับความสำคัญของการไปฟิตเนสเป็นอันดับหนึ่ง ... หลังเลิกงาน ต้องไปออกกำลังกาย ... นัดอื่น ๆ ถ้าไม่สำคัญจริง ๆ จะไม่รับนัดเลย
2. เวตเทรนนิ่ง
หัดยกลูกเหล็กบ้าง ยกไม่เป็น ก็มีน้องเทรนเนอร์ช่วยแนะนำ ... แรก ๆ ไม่ชอบเลย แต่พยายามสู้ไปเรื่อย ๆ ... สุดท้าย รู้สึกตัวอีกที ก็พบว่า หลงรักการยกลูกเหล็กไปแล้ว ... เมื่อสังเกตตัวเองว่าแข็งแรงขึ้น ทำได้ดีขึ้น ก็มีกำลังใจสู้ต่อมากขึ้น
3. เข้าคลาสคาร์ดิโอ
แรก ๆ เหนื่อยมาก ๆ เหนื่อยเหมือนจะขาดใจตาย ... แขนขาไม่อยากจะขยับ ... ขอบคุณเจ๊นุชที่เข้าคลาสเป็นเพื่อนตลอดแม้ว่าบางคลาสเจ๊จะไม่ได้อยากเข้าเลยก็ตาม ... หายใจแรง หอบดัง หอบแรง ... แต่พยายามสู้ไปเรื่อย ๆ ... อดทนไปสักพัก ข้ามขีดจำกัดของตัวเองไปทีละนิด ทีละนิด วันหนึ่งก็สังเกตว่า เราเหนื่อยน้อยลงนิดนึง หายเหนื่อยเร็วขึ้นนิดนึง ... พอรู้สึกถึงพัฒนาการแบบนี้ ก็ดีใจมาก ๆ มีแรงสู้ต่อ ....
คลาสคาร์ดิโอนี่รวมคลาสเต้นด้วยนะคะ ทั้ง Zumba, Combat, Exercise Dance ฯลฯ แต่ไม่มีรูปในคลาสเต้น มีแต่รูปในคลาสพวก Body Fit (ขอบคุณครูออโต้ที่ช่วยถ่ายรูปไว้ให้) แล้วก็คลาส Spinning
4. เข้าคลาสโยคะ (บ้าง)
ไม่ลืมการยืดเหยียดกล้ามเนื้อ ... เพิ่มความยืดหยุ่นให้ร่างกาย ... ป้องกันการบาดเจ็บ ... 4 ปีก่อน เคยเป็นออฟฟิศซินโดรม ปวดสะบักมาก พอได้เล่นโยคะก็หายปวดไปเลย ... ช่วงกลับมาออกกำลังกายจริงจังที่ฟิตเนส แรก ๆ ก็ไม่ได้เข้าคลาสโยคะ อาการปวดสะบักก็มา ... พอได้กลับไปเข้าคลาสโยคะ อาการก็ดีขึ้น ... เลยรู้ว่า เราต้องบาลานซ์กิจกรรมให้ดี
5. วิ่งลู่วิ่ง
เห็นเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ สมัยมหาวิทยาลัย วิ่งกันสนุกสนาน ในเฟซบุ๊ก ประกอบกับเห็นพี่ตูน บอดี้สแลม วิ่งจากใต้ขึ้นเหนือ ก็อยากลองวิ่งบ้าง จึงลองหัดวิ่ง ... เริ่มจากวิ่งลู่วิ่ง ตอนวิ่งครั้งแรก ที่สุดของความเหนื่อย ค่อดเหนื่อย (พิมพ์คำที่ต้องการไม่ได้ขอพิมพ์คำที่ออกเสียงใกล้เคียง) วิ่งแทบตาย มองเวลา เพิ่งจะ 5 วินาที ... เอิ่มมมม ... ใจจะขาดแล้ว ... งั้นเดินเร็วบ้าง วิ่งเหยาะบ้าง สลับไปเรื่อย ๆ ... อดทน และบอกตัวเองให้สู้ ... พัฒนาตัวเองจนเคยวิ่งได้สูงสุดติดต่อกัน 18 กม. บนลู่วิ่ง ...
(ขอบคุณพี่ตูน บอดี้สแลม คุณก้อยและทีมงานก้าว, ขอบคุณกลุ่มมีนกรชวนกันวิ่ง, ขอบคุณไลน์กลุ่มสุขภาพดีด้วยกันนะ, ขอบคุณพี่ ๆ เพื่อน ๆ น้อง ๆ ที่พากันวิ่งบ้าง ออกกำลังกายอื่น ๆ บ้างแล้วโพสต์เฟซบุ๊ก จุดประกายให้อยากลองบ้าง)
6. วิ่งสนาม
หาวันไปวิ่งที่สนามกีฬาบ้าง ...
แรก ๆ วิ่งได้รอบนึง เดินรอบนึง สลับไปเรื่อย ๆ ...
ต่อมา วิ่งสองรอบ เดินรอบนึง ...
ต่อมา วิ่ง 3 รอบ เดินรอบนึง ...
ค่อย ๆ เพิ่มไปเรื่อย ๆ ...
จนถึงวันที่วิ่งเหยาะ ๆ ติดต่อกันได้ 5 กม. ดีใจมากกกก ประกาศบอกให้โลกรู้ ...
จำได้ว่าวันนั้น รู้สึกเหมือนขาจะแหลกไปทั้ง 2 ข้าง ... สู้ไปเรื่อย ๆ จนปัจจุบัน วิ่งติดต่อกันได้ขั้นต่ำ 10 กิโลเมตร ในหนึ่งสัปดาห์พี่จัดให้เป็นวันวิ่ง 1 วัน (ถ้าไม่วิ่งบนลู่วิ่ง ก็ต้องไปวิ่งสนาม) ... ที่วิ่งได้แค่ 1 วัน เพราะกิจกรรมในฟิตเนสมีเยอะ ... ถ้าจะวิ่งเยอะกว่านี้ก็เสียดายคลาสที่พลาดไป ... เลยเลือกวันที่ไม่มีคลาสเป็นวันวิ่ง บอกตัวเองว่าอย่างน้อยวิ่ง 1 วันก็ดีกว่าไม่วิ่งเลยละกันน่า (วิ่งน้อย แต่วิ่งนะ)
พอวิ่งได้ก็เริ่มลงงานวิ่ง เริ่มจาก 5 กิโลเมตร แล้วค่อย ๆ ขยับขึ้นมา 10 กิโลแมตร ซึ่งสนุกมาก ๆ ... เคยสงสัย ทำไมเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ชอบลงงานวิ่งกัน บางคนลงทุกอาทิตย์ ไกลแค่ไหนก็ไป ตอนนี้ได้รู้แล้วว่า อ่อ งานวิ่งมันสนุกอย่างนี้นี่เอง ...
พี่ไม่ได้วิ่งเร็วนะคะ พี่วิ่งช้ามาก พี่นิยามตัวเองว่า "เป็นนักวิ่งที่ไม่เคยวิ่งแซงใคร นอกจากตัวเองในอดีต" ... ซึ่งมันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ
7. ใช้ PT (Personal Trainer)
แรก ๆ คิดว่าออกกำลังกายเองก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมี PT ... แต่พอออกกำลังกายไปสักพัก ก็รู้สึกว่าไปต่อได้ยากขึ้น ... พอมาใช้บริการ PT (เริ่มเดือน Jan 2019) รู้สึกเลยว่า เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุด ... ทุกอย่างไปได้เร็วขึ้น ทั้งน้ำหนัก สัดส่วน ความแข็งแรง ... พี่โชคดีที่น้อง PT ที่ดูแลพี่เก่งมาก โฟกัสท่าเก่ง และมีวินัยในการกินอาหาร ถือเป็นต้นแบบคนหนึ่งที่ทำให้พี่คิดที่จะเริ่มกินอาหารคุณภาพ
8. ทำ IF
แรก ๆ ทำ 16/8 ต่อมา18/6 ... จนปัจจุบัน 19/5 ในวันปกติ ... กินปกติในวันศุกร์-เสาร์ และ ทำ 24/1 ในวันหยุดบ้าง 1-2 เดือนครั้ง ...
ทำมาครบ 1 ปีแล้ว อาจจะไม่ได้เห็นผลชัดเจนในเรื่องน้ำหนัก เพราะน้ำหนักไม่เคยลดฮวบ เหมือนของคนอื่น ๆ ...น้ำหนักจะลดแบบค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไป เฉลี่ยเดือนละ 1.6-1.7 กก. สม่ำเสมอทุกเดือน
ที่พี่ชอบทำ IF เพราะทำให้ควบคุมตัวเองได้ง่ายขึ้น ... แค่ดูเวลาตอนนี้หมดเวลากิน ก็หยุดกินก็เท่านั้น ... มื้อแรกกิน 07.30 น. มื้อสุดท้ายจบที่ 12.30 น. หลังจากนี้น้ำเปล่าเท่านั้น (กิจกรรมในฟิตเนสทุกอย่าง เป็นการทำช่วง Fast ทั้งหมด ไม่เคยหน้ามืดเป็นลม เพราะกินถึงที่ร่างกายต้องการ) ...
ถ้าใครสนใจเรื่อง IF ไปหาความรู้ต่อได้ในกลุ่ม if Thailand community นะคะ ... พี่ขอขอบคุณความรู้ทั้งหมดที่ได้จากที่นี่
9. กินอาหารคุณภาพ
เพิ่งเริ่มกินเดือน Apr-2019 ... แรก ๆ ไม่รู้ว่าจะกินได้สักกี่น้ำ จะหาอะไรกินได้ยังไงเพราะทำอาหารไม่เป็น ... ตอนนี้กลายเป็นเรื่องปกติ เป็นสิ่งที่ทำได้เรื่อย ๆ ไม่ได้คลีนจ๋า พยายามเน้นผัก ผลไม้ ให้มีทุกมื้อ เปลี่ยนวิธีการประกอบอาหารเป็น ต้ม นึ่ง อบ รวนน้ำ ...
มีปั่นน้ำผักกิน เตรียมอาหารไปกินที่ทำงาน วันละ 1 มื้อบ้าง 2 มื้อบ้าง แล้วแต่ช่วง ... วันครอบครัวมีโปรแกรมกินดุ ก็บาลานซ์มื้ออื่น ๆ ทดแทน ... ทำด้วยความสุข ทำด้วยความสนุก ไม่ตึงเกินไป ไม่หย่อนเกินไป
เทียบเป็นเปอร์เซ็นต์ก็น่าจะกินคุณภาพ 50% กินร้าย 50%... พี่กินอิ่มมากทุกมื้อ กินเยอะกว่าเมื่อก่อนด้วยซ้ำ ... น้ำหนักไม่ขึ้น ไขมันก็ไม่ค่อยลงเช่นกัน เพราะยังมีมื้อร้าย ๆ เยอะ (555)
พี่ทำทั้ง 9 ข้อนี้ด้วยกันค่ะ ทุก ๆ กิจกรรม มันจะช่วยเสริมกันและกันเสมอ ทำให้พี่แข็งแรงอย่างก้าวกระโดด ยิ่งเห็นพัฒนาการในความแข็งแรงของตัวเองมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีกำลังใจให้ทำต่อไปมากเท่านั้น
พี่เริ่มออกกำลังกายจริงจัง ตอนอายุ 41 ปี ถือว่าอายุเยอะแล้วเหมือนกันนะ ต้องสู้กับหัวใจตัวเองหนักมาก ๆ ค่ะ
"หลายครั้งที่สงสัยว่าน้ำที่อยู่บนหน้าเป็นน้ำตาหรือเหงื่อกันแน่" ...
หลายครั้งที่เหนื่อยจนอยากหยุด ทิ้งทุกอย่าง แล้วเดินออกไปเลย ...
หลายครั้งที่ถามตัวเองว่าชั้นมาทำไม ทำไมชั้นไม่กลับไปนอนจมกองไขมันที่บ้านเหมือนเมื่อก่อน ...
แต่ทุกครั้งที่มีคำถามเหล่านั้น สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือพี่หยุดถามแล้วเลือกที่จะทำต่อ สู้ต่อ ไปต่อ ชั้นต้องชนะหัวใจตัวเองให้ได้
ค่อย ๆ เห็นสิ่งที่พยายามมาตลอดแล้วค่ะ
หลายคนไม่จำเป็นต้องออกกำลังกายที่ฟิตเนส สามารถออกกำลังกายเองได้ที่บ้าน หรือไม่จำเป็นต้องใช้ PT ... คุณโชคดีมากค่ะ ที่ทำได้ ... แต่สำหรับพี่ มันไม่ได้จริง ๆ ทุกวันนี้แม้จะออกกำลังกายจนเป็นเรื่องปกติ แต่ไม่เคยทำที่บ้านนะคะ พี่ชื่นชมมาก ๆ คนที่ออกกำลังกายเองได้ เปิด youtube แล้วทำตามได้ คุณเก่งมาก ๆ พี่ชื่นชมจากหัวใจ ...
พี่ชื่นชมทุกคนที่ออกกำลังกายนะคะ ไม่ว่าจะเป็นประเภทไหน แบบไหนก็ตาม เพราะพี่รู้ว่ามันเหนื่อยมาก ๆ มันไม่ง่ายเลย และมันไม่เคยง่ายเลย
ทั้งหมดนี้ พี่ไม่ได้ใช้ยา อาหารเสริม หรืออะไรมาเป็นตัวช่วยเลยนะคะ ... ไม่ได้ต่อต้านใด ๆ ทั้งสิ้น แต่เพราะเคยใช้แล้วมันไม่ได้ผลสำหรับพี่ พี่คิดว่าเลือกเอาที่แต่ละคนสะดวกดีกว่า ส่วนพี่ พี่เลือกออกกำลังกายและกินอาหารคุณภาพ (ไม่กล้าเรียกว่าอาหารคลีน เพราะมันไม่ได้คลีนขนาดนั้น)
ตอนที่ 8 ... ผลลัพธ์หลังครบ 1 ปี
- น้ำหนักลดลง 20 กิโลกรัม จากเดิม 85 กิโลกรัม กลายเป็น 65 กิโลกรัม
- ไขมัน ลดลง 14%
- กล้ามเนื้อไม่หายไป
- ไซซ์เสื้อผ้าลดลง 2-3 ไซซ์ แล้วแต่แบบ และยี่ห้อ
- สัดส่วนลดลงทั้งร่าง แบ่งอย่างคร่าว ๆ ได้เป็น
* หน้าอกลดลง 7 นิ้ว
* เอวลดลง 7 นิ้ว
* สะโพกลดลง 5 นิ้ว
* ต้นขาลดลงข้างละ 3 นิ้ว
* ต้นแขนลดลงข้างละ 1.5 นิ้ว
รูปซ้ายมือ กางเกงไซซ์ 3XL แน่นพุงมาก อึดอัดมาก เวลาถอดออกมาจะเป็นรอยรัดเนื้อตรงเอวซึ่งมันเจ็บมากค่ะ ตอนนั้นมีทางเลือก 2 ทางคือ 1. เพิ่มไซซ์กางเกงเป็น 4XL หรือ 2. ลดไซซ์ตัวเองลง แน่นอนค่ะ ในตอนนั้นไม่เคยคิดจะเลือกข้อ 2
รูปขวามือ ชุดไซซ์เดิมค่ะ แต่ใส่สบายขึ้นเยอะมาก มาก มีความสุขมาก กางเกงตอนนี้ต้องใช้เข็มขัดมาช่วยแล้วไม่งั้นมีหลุด
รูปซ้ายมือ กีฬาสีปลายปี 2017
รูปขวามือ พยายามเลียนแบบท่าเดิมด้วยเสื้อตัวเดิม
รูปซ้ายมือ น้องแอบถ่ายไว้ตอนพากันทำ 5ส. ตอนนั้นขำตัวเองมาก ป้าที่ไหนน้อ
รูปขวามือ พยายามเลียนแบบท่าให้ใกล้เคียง
รูปซ้ายมือ คือตัวเองเมื่อ 1 ปีที่แล้ว
รูปขวามือ คือตัวเองในวันนี้ ... ภูมิใจมากค่ะ
รูปบน คือตอนที่ยังไปฟิตเนสแบบเหยาะ ๆ แหยะ ๆ
รูปล่าง คือตอนปัจจุบัน
ทุกวันนี้ยังไม่ใช่คนผอมนะคะ ไขมันยังเหลือเยอะมาก ๆ ดังนั้นใช้คำว่า “ผอมลง” จะดีกว่า แต่แค่นี้พี่ก็ภูมิใจมาก ๆ ...
พี่อายุมากแล้ว ระบบเผาผลาญเคยพัง เคยเกลียดเวต คาร์ดิโอ วิ่ง ... ฟิตเนสคือสถานที่สุดท้ายในชีวิตที่พี่คิดจะไป ... พี่ทำอาหารไม่เป็น ไม่เคยคิดกินอาหารคุณภาพ ... น้ำหนักไม่เคยลง มีแต่เพิ่ม ... แต่พอมองตัวเองในกระจกในวันนี้ พี่พบตัวเองที่แข็งแรงขึ้นอยู่ในนั้น ไม่ได้เหนื่อยง่ายเหมือนเก่า หัวเข่าก็หายปวด มันมีแต่ความภูมิใจค่ะ ที่ทำได้ ... พี่เชื่อว่า ทุกคนก็ทำได้นะคะ ถ้าเราอดทนและทำมันต่อไป
ภาพที่สะท้อนออกมาในกระจก เทรนเนอร์บอกว่า มันสะท้อนความพยายาม ความอดทน ความมีวินัยทั้งหมดของพี่อยู่ในนั้น ... ฟังแล้วน้ำตาจิไหล
พี่เคยได้รับกำลังใจ และแรงบันดาลใจจากคนมากมายที่ทำให้สู้มาได้ตลอด 1 ปีที่ผ่านมา ... มีคนมากมายให้ขอบคุณ ซึ่งถ้ากล่าวออกมาอาจจะไม่ครบ ... พี่ขอขอบคุณไว้ในรูปแบบของกระทู้นี้
หากกระทู้นี้ พอจะเป็นแรงบันดาลใจให้ใครได้บ้าง พี่ขอส่งต่อนะคะ ... ถ้ามีใครสักคนที่หลงเข้ามาอ่านกระทู้นี้ แล้วได้กำลังใจกลับไป ก็ถือว่ากระทู้นี้ได้ทำหน้าที่ของมันอย่างสมบูรณ์แล้วค่ะ ... ขอบคุณค่ะ
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพจาก
คุณ มนตราหิมาลัย สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม