แครอต เป็นผักหรือผลไม้ อีกหนึ่งคำถามที่หลายคนสงสัย พร้อมพาไปส่องเคล็ดลับวิธีกินแครอตให้ได้ประโยชน์อย่างเต็มที่
แครอต เป็นอาหารเพื่อสุขภาพที่มีสารอาหารและวิตามินต่าง ๆ ค่อนข้างครบครัน โดยเฉพาะเบต้าแคโรทีน หรือวิตามินเอ ที่จัดว่าเป็นไฮไลต์ของพืชชนิดนี้ อย่างไรก็ตาม หลายคนยังไม่แน่ใจถึงวิธีการรับประทานแครอตที่ถูกต้องเลยมีคำถามมากมาย เช่น แครอตกินดิบได้ไหม กินสุกหรือดิบดีกว่า รวมถึงประเด็นที่ว่า แครอตเป็นผักหรือผลไม้ ก็ชวนให้ขบคิดไม่น้อย ถ้าเช่นนั้นก็มาเคลียร์ให้หายคาใจตามข้อมูลด้านล่างนี้เลย
แครอตเป็นผักหรือผลไม้
ถ้าพิจารณาจากลักษณะพฤกษศาสตร์แล้ว พืชที่เป็น "ผลไม้" จะต้องเป็นผลที่ออกมาจากดอกและมีเมล็ดอยู่ภายใน ส่วนพืชที่เป็น "ผัก" เกิดจากเมล็ดงอกขึ้นมาเป็นลำต้น ส่วนใหญ่สามารถรับประทานได้ทุกส่วน และไม่มีเมล็ดอยู่ภายใน ซึ่ง แครอต ไม่ใช่ผลที่เจริญมาจากดอกไม้และไม่มีเมล็ด แต่เป็นส่วนรากของพืชล้มลุกใต้ดิน ดังนั้น จึงสรุปว่า แครอต คือผัก นั่นเอง
แครอตกินดิบได้ไหม อันตรายหรือเปล่า
การรับประทานแครอตดิบไม่ได้เป็นอันตรายอย่างที่เข้าใจกันค่ะ เราสามารถกินแครอตสดได้ เช่น นำมากินกับผักสลัด เป็นผักเคียงอาหารเมนูต่าง ๆ เพียงแต่ต้องระวังเรื่องสารปนเปื้อน เนื่องจากแครอตเป็นพืชใต้ดิน ดังนั้น ก่อนนำมาปรุงอาหารต้องล้างหลาย ๆ น้ำ เพื่อชะล้างเศษดิน สิ่งสกปรก ยาฆ่าแมลงต่าง ๆ ออกให้หมด
แครอตกินดิบหรือสุกดีกว่ากัน
จริง ๆ แล้ว แครอต กินได้ทั้งแบบสุกและดิบ ซึ่งจะได้รับประโยชน์ที่แตกต่างกันด้วยนะ
แครอตดิบ ประโยชน์มีอะไรบ้าง
แครอตดิบมีวิตามินซีสูงกว่าแครอตสุก
เพราะการนำแครอตไปต้มหรือผ่านความร้อน ตัววิตามินซีจะถูกความร้อนทำลาย โดยวิตามินซีมีส่วนสำคัญต่อระบบภูมิคุ้มกัน กระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาว ช่วยสร้างคอลลาเจน และช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น
มีไฟเบอร์สูงกว่าแครอตสุกเล็กน้อย
เนื่องจากแครอตดิบไม่ถูกความร้อนทำลายเซลล์ แต่ก็ไม่ได้มีความแตกต่างกันมากนัก จะกินดิบหรือสุกก็ได้รับกากใยอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อระบบขับถ่ายทั้งคู่
แครอตดิบมีค่าดัชนีน้ำตาล GI (Glycemic Index) ต่ำกว่า
แครอตดิบมีค่า GI เพียง 16 ซึ่งเป็นตัวเลขที่ต่ำ เมื่อรับประทานแล้วจะดูดซึมน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือดได้ช้ากว่า จึงเหมาะกับคนที่ต้องการควบคุมน้ำตาล ในขณะที่แครอตต้มมีค่า GI 32-49 เนื่องจากความร้อนจะทำให้แป้งและไฟเบอร์ในแครอตถูกย่อยออกมา ดังนั้น เมื่อเรากินแครอตสุกเข้าไปร่างกายก็จะย่อยได้ง่ายขึ้น ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นเร็วกว่าแครอตดิบ
แครอตสุก ประโยชน์มีอะไรบ้าง
ร่างกายดูดซึมเบต้าแคโรทีนได้มากกว่า
เบต้าแคโรทีนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่เปลี่ยนเป็นวิตามินเอในร่างกาย ช่วยเรื่องการมองเห็น สุขภาพผิวหนัง เส้นผม และระบบภูมิคุ้มกัน การต้มแครอตจะช่วยย่อยผนังเซลล์ของแครอตที่ค่อนข้างหนาให้อ่อนตัวลง ทำให้ร่างกายดูดซึมเบต้าแคโรทีนได้ง่ายขึ้น จึงได้รับสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าการกินแบบดิบ
เคี้ยวง่าย ย่อยง่ายกว่าแครอตดิบ
ความร้อนจากการต้มจะทำให้ผนังเซลล์ของแครอตนิ่มลง จึงเคี้ยวง่ายและย่อยง่าย เหมาะสำหรับคนที่มีปัญหาภายในช่องปากและฟัน ระบบย่อยอาหาร หรือผู้ที่เคี้ยวผักสดได้ลำบาก แต่ต้องการสารอาหารดี ๆ จากแครอต
รสชาติดีกว่า
ความร้อนจะทำให้แป้งในแครอตสลายตัวกลายเป็นน้ำตาล แครอตที่นำไปต้มจึงมีรสชาติหวานอร่อยกว่าแครอตดิบ ช่วยให้รับประทานได้ง่ายขึ้น
สรุปก็คือ ไม่ว่าจะเป็นแครอตดิบหรือแครอตสุกล้วนเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพ การรับประทานแครอตที่ดีที่สุดจึงควรรับประทานทั้งแบบดิบและแบบต้มสลับกันไป เพื่อให้ได้รับสารอาหารครบถ้วน