น้ำแร่คืออะไร
ต่างจากน้ำเปล่ายังไง
น้ำแร่ (Mineral water) คือ น้ำที่ได้จากแหล่งน้ำธรรมชาติชั้นใต้ดินที่ไหลผ่านชั้นหินต่าง ๆ แล้วละลายแร่ธาตุในชั้นหินออกมา โดยจะพบแร่ธาตุหลัก เช่น แคลเซียม โซเดียม แมกนีเซียม โพแทสเซียม กำมะถัน ทำให้น้ำแร่มีค่า pH เป็นด่าง คือมากกว่า 7 ซึ่งเชื่อกันว่ามีผลดีต่อสุขภาพ ทว่าที่มาของแหล่งน้ำที่ต่างกันย่อมส่งผลให้แร่ธาตุและรสชาติของน้ำแร่แตกต่างกันไปด้วย
ส่วนน้ำเปล่าจะเป็นน้ำที่มาจากธรรมชาติ แต่ผ่านกระบวนการกรองเพื่อขจัดสิ่งเจือปนออกไป ถึงกระนั้นก็ยังมีแร่ธาตุหลงเหลืออยู่บ้าง แต่จะน้อยกว่าในน้ำแร่ และโดยส่วนใหญ่น้ำเปล่าจะมีค่า pH อยู่ที่ 7 ซึ่งถือว่าเป็นกลาง ดื่มได้ตามปกติ
อย่างไรก็ตาม หลายคนก็เลือกที่จะดื่มน้ำแร่ เพราะเชื่อว่าน้ำแร่มีประโยชน์ต่อสุขภาพบางประการ ดังนั้น ลองมาดูประโยชน์ของน้ำแร่กันต่อ
ประโยชน์ของน้ำแร่ ช่วยอะไรบ้าง
หลายคนอาจจะยังข้องใจว่าน้ำแร่ดียังไง งั้นมาไขข้อสงสัยกันเลย
-
ช่วยดับกระหาย เพิ่มความสดชื่นให้ร่างกาย
-
น้ำแร่มีรสชาติ ซึ่งบางคนเลือกดื่มแทนน้ำสี ๆ ที่มีน้ำตาลสูง เป็นการช่วยลดการบริโภคน้ำตาลไปในตัว
-
การดื่มน้ำอย่างเพียงพอช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวพรรณ ซึ่งการดื่มน้ำแร่ในปริมาณที่เพียงพอก็ได้ประโยชน์นี้เช่นกัน
-
น้ำแร่มีแร่ธาตุจำเป็นต่อร่างกายหลายชนิดที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น มีแคลเซียมที่ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน มีแร่ธาตุที่ส่งเสริมการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ เป็นต้น
-
แร่ธาตุบางชนิดในน้ำแร่ช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ บรรเทาอาการท้องผูก แต่ในบางคนก็อาจทำให้ถ่ายท้องได้เช่นกัน
น้ำแร่เหมาะกับใคร
น้ำแร่มีแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกายในปริมาณที่มากกว่าน้ำเปล่าธรรมดา และมีรสชาติอร่อยต่างกันด้วยในแต่ละยี่ห้อ ดังนั้น คนที่อยากดื่มน้ำที่มีรสชาติแต่ไม่มีน้ำตาลก็ดื่มน้ำแร่ได้ หรือในคนที่ใช้ร่างกายหนัก ต้องการแร่ธาตุมาช่วยเติมพลังงาน เช่น นักกีฬา คนที่ออกกำลังกาย หรือผู้ที่ทำงานกลางแจ้ง รวมไปถึงคนที่ต้องการเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการในชีวิตประจำวัน หรือสายเฮลธ์ตี้บางคนก็ดื่มน้ำแร่ได้เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ควรเลือกซื้อน้ำแร่ที่ได้คุณภาพและได้มาตรฐานก่อนดื่มด้วยนะคะ
วิธีเลือกซื้อน้ำแร่
ถ้าจะซื้อน้ำแร่มาดื่ม อย่าลืมเช็กลิสต์เหล่านี้ให้ครบ
-
ตรวจสอบฉลากอย่างถี่ถ้วน ดูว่าแหล่งที่มาของน้ำแร่เป็นธรรมชาติหรือไม่ และมีแร่ธาตุอะไรบ้าง ตอบโจทย์ความต้องการของเราหรือเปล่า โดยน้ำแร่มีอยู่หลายชนิดขึ้นอยู่กับแร่ธาตุในน้ำ เช่น
-
น้ำแร่ไบคาร์บอเนต : เป็นน้ำแร่ที่มีปริมาณไบคาร์บอเนตสูงกว่าแร่ธาตุอื่น ๆ ช่วยปรับสมดุลกรด-ด่างในร่างกาย เหมาะกับคนท้องผูก คนที่ออกกำลังกายหนัก ๆ
-
น้ำแร่ซัลเฟต : มีปริมาณซัลเฟตสูง ช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ เหมาะกับคนท้องอืด ท้องผูกเรื้อรัง
-
น้ำแร่แคลเซียม : ให้แคลเซียมสูงกว่าแร่ธาตุชนิดอื่น เหมาะกับคนที่ต้องการแคลเซียมมากกว่าปกติ เช่น ผู้สูงอายุ หญิงวัยหมดประจำเดือน คนที่ไม่ชอบดื่มนม คนออกกำลังกายหนัก เป็นต้น
-
-
เลือกน้ำแร่ที่มีค่า pH เป็นด่างเล็กน้อย (ประมาณ 7-8.5) จะช่วยปรับสมดุลกรด-ด่างในร่างกายได้ดี
-
รสชาติของน้ำแร่แต่ละแหล่งจะมีความแตกต่างกันไป แนะนำให้ลองเลือกชิมจากขวดขนาดเล็กก่อน เพื่อให้ได้น้ำแร่ที่มีรสชาติตรงกับความชอบ
-
เปรียบเทียบราคาต่อปริมาณให้คุ้มค่าสำหรับตัวเราเอง
-
เลือกน้ำแร่ที่บรรจุในขวดแก้ว หรือถ้าเป็นขวดพลาสติกควรเช็กว่ามีสัญลักษณ์รูปช้อนส้อมกับแก้วไวน์ หรือมีคำว่า Food Grade กำกับอยู่
-
น้ำแร่ต้องมีลักษณะใส ไม่มีตะกอน บรรจุในภาชนะปิดสนิท ไม่มีรอยบุบ รั่ว แตก
-
เลือกน้ำแร่ที่ผ่านการรับรองตามมาตรฐาน แสดงฉลาก คำเตือน วันเดือนปีที่ผลิตและหมดอายุอย่างชัดเจน
-
หลีกเลี่ยงน้ำแร่ที่มีการเติมสารเคมีหรือแต่งกลิ่น สี และรสชาติ
-
ควรเลือกซื้อน้ำแร่จากร้านค้าที่น่าเชื่อถือ
น้ำแร่ยี่ห้อไหนดี
1. น้ำแร่ Iceland Spring
น้ำแร่จากน้ำพุร้อนธรรมชาติประเทศไอซ์แลนด์ ทำให้มีค่าความบริสุทธิ์ที่ 58 mg/L และมีค่า pH 8.8 เท่ากับมีความเป็นด่างพอสมควร และบนฉลากยังระบุว่าเป็นน้ำอัลคาไลน์ด้วย จากรีวิวก็บอกว่ารสชาติอร่อย เพราะด้วยความเป็นด่างของน้ำแร่ที่ช่วยปรับสมดุลการรับรสของลิ้น ดื่มแล้วเติมความสดชื่นได้ดี
- ราคาปกติ : 120 บาท (ขนาด 1 ลิตร)
2. น้ำแร่ mont fleur
น้ำแร่มองต์เฟลอ ทุกคนคงคุ้นเคยกับยี่ห้อนี้เป็นอย่างดี เพราะมีมานาน และเขายังนำน้ำแร่มาจากแหล่งน้ำใต้ดินลึกบนยอดเขาสูงในอำเภอพบพระ จังหวัดตาก ประเทศไทยของเรานี่เอง ซึ่งพื้นที่นี้ค่อนข้างมีมลพิษน้อย และอุดมไปด้วยแร่ธาตุธรรมชาติหลากหลายชนิด อย่างขวดนี้ก็มีแคลเซียม 47 มิลลิกรัม/ลิตร, โซเดียม 34 มิลลิกรัม/ลิตร, แมกนีเซียม 27 มิลลิกรัม/ลิตร และโพแทสเซียม 0.8 มิลลิกรัม/ลิตร ส่วนรสชาติก็มีความหอมหวานอ่อน ๆ ดื่มง่าย มีความอร่อยที่การันตีด้วยรางวัล Superior Taste Award 2020 ถึง 3 ปีซ้อนเลยทีเดียว
- ราคาปกติ : 21 บาท (ขนาด 1 ลิตร)
3. น้ำแร่ 6ty Degree Mineral Water
ถ้ากำลังมองหาน้ำแร่จากแหล่งน้ำธรรมชาติในประเทศไทย น้ำแร่ยี่ห้อ ซิกตี้ ดีกรี ก็เป็นน้ำแร่ธรรมชาติจากแหล่งน้ำพุร้อนเชียงดาว จังหวัดเชียงราย เหนือสุดแดนสยาม และยังเป็นพื้นที่สงวนชีวมณฑลของไทย ภายใต้การรับรองของ UNESCO อีกด้วย น้ำแร่ที่นี่จึงมีความบริสุทธิ์และอุดมไปด้วยแร่ธาตุ 16 ชนิด ส่วนรสชาติก็นุ่มนวลเป็นเอกลักษณ์ มาพร้อมการดีไซน์ฝาขวดน้ำแบบไม่หลุดออกจากกัน ไม่ต้องกลัวฝาหล่นหาย แถมยังช่วยลดปริมาณขยะ รักษ์โลกแบบนี้ผู้บริโภคหลายคนก็แฮปปี้ไปด้วย
- ราคาปกติ : 24 บาท (ขนาด 1.25 ลิตร)
4. น้ำแร่ Evian
น้ำแร่ในตำนานอีกหนึ่งยี่ห้อที่ครองตลาดน้ำแร่ในไทยมานาน ขวดนี้เป็นน้ำแร่จากน้ำฝนที่ซึมลึกผ่านชั้นหินและแร่ธาตุบนยอดเขาแอลป์ ประเทศฝรั่งเศส ก่อนจะผุดขึ้นมาเป็นแหล่งน้ำแร่ Evian-Les-Bains และใช้เวลาถึง 15 ปี ในการก่อตัวสะสมแร่ธาตุสำคัญ 9 ชนิด จนได้น้ำแร่ที่ใสสะอาด และได้รสชาติที่กลมกล่อม ครองใจคนรักน้ำแร่มาอย่างยาวนาน
- ราคาปกติ : 79 บาท (ขนาด 1 ลิตร)
5. น้ำแร่ Purra
น้ำแร่ธรรมชาติ 100% จากแหล่งพระงาม จังหวัดสิงห์บุรี แหล่งน้ำใต้ดินธรรมชาติที่ลึกเกือบ 300 เมตร ผ่านการสะสมแร่ธาตุและกรองตามธรรมชาติมายาวนานกว่า 30,000 ปี น้ำแร่เพอร์ร่าจึงอุดมไปด้วยแร่ธาตุสำคัญหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นซิลิกา แคลเซียม แมกนีเซียม และมีค่า pH 8 จากความเป็นด่าง รสชาติของน้ำแร่จึงค่อนข้างเบา ดื่มง่าย ไม่ฝาด ไม่ขม แถมราคาก็เข้าถึงง่าย
- ราคาปกติ : 12 บาท (ขนาด 750 มิลลิลิตร), 20 บาท (ขนาด 1.5 ลิตร)
6. น้ำแร่ Aura
น้ำแร่ออรา จากแหล่งกำเนิดน้ำพุเย็นตามธรรมชาติ ณ อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ด้วยความที่มาจากแหล่งน้ำพุเย็น น้ำแร่ที่นี่จึงมีอุณหภูมิต่ำไม่เกิน 25 องศาเซลเซียส ซึ่งคงแร่ธาตุสำคัญ 9 ชนิดได้อย่างครบถ้วน ในขณะที่ปราศจากสารกำมะถันเจือปน จึงเป็นน้ำแร่ที่ไม่มีโลหะหนักให้กังวล อีกทั้งยังมีค่าความเป็นด่างที่ pH 7.5 ช่วยปรับลดความเป็นกรดในร่างกาย ส่วนรสชาติก็ดื่มง่ายและหาซื้อได้ง่ายอีกด้วย
- ราคาปกติ : 45 บาท (ขนาด 1.5 ลิตร)
7. San Pellegrino น้ำแร่ธรรมชาติ ชนิดมีฟอง
น้ำแร่ยี่ห้อซานเพลลีกรีโน จากแหล่งน้ำพุธรรมชาติโบราณ อายุกว่า 620 ปี ที่ตั้งอยู่ใน San Pellegrino Terme เมืองในหุบเขา Val Brembana บริเวณเชิงเขาของเทือกเขาแอลป์ ทางตอนเหนือของอิตาลี ทำให้ได้น้ำแร่ที่บริสุทธิ์และมีคุณภาพ อุดมไปด้วยแร่ธาตุชนิดต่าง ๆ เช่น แคลเซียม, แมกนีเซียม, คลอไรด์, ซัลเฟต และไบคาร์บอเนต ส่วนความโดดเด่นของแบรนด์คือเป็นน้ำแร่อัดแก๊ส เพิ่มความสดชื่นซาบซ่าเวลาดื่ม
- ราคาปกติ : 99 บาท (ขนาด 1 ลิตร)
8. น้ำแร่ Voss
น้ำแร่ VOSS น้ำแร่ที่ได้มาจากแหล่งธรรมชาติในประเทศนอร์เวย์ ประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องธรรมชาติและความสะอาดของแหล่งธรรมชาติ น้ำแร่ที่ได้จะผ่านการกรองตามธรรมชาติใต้ชั้นดิน โดยมีชั้นน้ำแข็งปกคลุมอีกที ทำให้ได้น้ำแร่ที่สะอาดปราศจากสิ่งเจือปน และเป็นแบรนด์ที่เคลมว่ามีปริมาณโซเดียมน้อยด้วยนะคะ ที่โดดเด่นอีกอย่างคือบรรจุภัณฑ์ที่มาในรูปขวดทรงกระบอกใส ดีไซน์มินิมอลมินิใจ ดูหรูหราไปในตัว
- ราคาปกติ : 102 บาท (ขนาด 850 มิลลิลิตร)
ใครไม่ควรดื่มน้ำแร่
อย่างที่บอกว่าน้ำแร่อาจสร้างปัญหาสุขภาพได้ในบางคน โดยเฉพาะคนในกลุ่มนี้ที่ต้องระวังเป็นพิเศษ
-
ผู้ที่แพ้แร่ธาตุบางชนิด
-
ผู้ที่มีปัญหาเรื่องไตหรือทางเดินปัสสาวะไม่ดี มีอาการบวมน้ำ เพราะน้ำแร่อาจไปตกตะกอน ทำให้เกิดตะกรันนิ่วอุดท่อปัสสาวะ
-
ผู้ป่วยโรคหัวใจ เพราะในน้ำแร่บางชนิดมีโพแทสเซียมสูง อาจทำให้หัวใจเต้นผิดปกติ
-
คนที่มีความดันโลหิตสูง เพราะในน้ำแร่บางชนิดมีธาตุโซเดียมมาก จะทำให้ความดันโลหิตยิ่งสูงขึ้น
-
ผู้ที่ต้องการจำกัดการบริโภคโซเดียม ควรหลีกเลี่ยงน้ำแร่ที่มีปริมาณโซเดียมสูง
-
ผู้ป่วยที่มีโรคทางระบบทางเดินหายใจที่มีภาวะหลอดลมหดเกร็ง เช่น หอบหืด ไม่ควรดื่มน้ำแร่ชนิดที่มีเกลือโซเดียมคลอไรด์ ซึ่งอาจกระตุ้นให้หลอดลมหดเกร็งมากขึ้น
-
คนที่มีภาวะกรดในกระเพาะอาหารต่ำ (Gastric Hypochilia) ไม่ควรดื่มน้ำแร่ไบคาร์บอเนตที่อาจทำให้สภาวะความเป็นกรดในกระเพาะอาหารลดลงไปอีก ส่งผลให้การย่อยอาหารไม่สมบูรณ์
-
ผู้ที่มีปัญหาเรื่องการดูดซึมแร่ธาตุบางชนิดผิดปกติ
-
หญิงตั้งครรภ์ เพราะอาจได้รับแร่ธาตุบางชนิดมากเกินไปจนไปรบกวนการดูดซึมแร่ธาตุชนิดอื่น ซึ่งส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของทารก
-
เด็กเล็ก หากดื่มน้ำแร่มากเกินไปจะทำให้ร่างกายได้รับแร่ธาตุบางชนิดเกินปริมาณที่เหมาะสม และอาจมีปัญหาสุขภาพตามมา
ข้อควรระวังในการดื่มน้ำแร่
-
ไม่ควรดื่มน้ำแร่เพื่อหวังผลในการรักษาโรคใด ๆ
-
เช็กแร่ธาตุบนฉลากสินค้าให้ถี่ถ้วนว่ามีแร่ธาตุอะไรบ้าง และเกินมาตรฐานที่ร่างกายควรได้รับต่อวันไหม โดยสามารถเช็กค่ามาตรฐานได้ดังนี้
-
ธาตุเหล็ก ไม่ควรเกิน 0.3 มิลลิกรัมต่อลิตร
-
แมงกานีส ไม่เกิน 0.4 มิลลิกรัมต่อลิตร
-
ทองแดง ไม่ควรเกิน 1 มิลลิกรัมต่อลิตร
-
สังกะสี ไม่ควรเกิน 3 มิลลิกรัมต่อลิตร
-
ซัลเฟต ไม่ควรเกิน 250 มิลลิกรัมต่อลิตร
-
ไนเตรต ไม่ควรเกิน 50 มิลลิกรัมต่อลิตร
-
คลอไรด์ ไม่ควรเกิน 200 มิลลิกรัมต่อลิตร
-
-
หากไม่เคยดื่มน้ำแร่ อาจเริ่มดื่มในปริมาณน้อย ๆ ก่อนเพื่อให้ร่างกายค่อย ๆ ปรับตัว
-
ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวอาจมีอาการรุนแรงขึ้นได้จากแร่ธาตุบางชนิด ดังนั้น ควรสังเกตอาการตัวเองหลังจากดื่มน้ำแร่ทุกครั้ง
-
ไม่ควรดื่มน้ำแร่ในปริมาณมาก หรือบ่อยจนเกินไป เพราะอาจแพ้แร่ธาตุในน้ำแร่ได้เช่นกัน
-
น้ำแร่ชนิดมีฟอง (Sparkling Mineral Water ) มักมีกรดมากกว่าน้ำแร่ทั่วไป จึงไม่ควรดื่มมากเกินไป เพราะถ้าดูแลสุขอนามัยช่องปากไม่ดีอาจทำให้เคลือบฟันสึกเร็วกว่าปกติ อีกทั้งอาจกระตุ้นให้เกิดอาการท้องอืด จุกเสียด เรอได้
-
ไม่ควรรับประทานยาหรือวิตามินร่วมกับน้ำแร่ เพราะอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพของยาและวิตามิน
-
น้ำแร่อาจมีปฏิกิริยากับยารักษาโรคบางชนิด ดังนั้น คนที่กินยาเป็นประจำจึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนดื่มน้ำแร่
การเลือกน้ำแร่สักยี่ห้อควรพิจารณาจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นรสชาติ ราคา แหล่งที่มา และปริมาณแร่ธาตุที่ต้องการ เพื่อให้ได้น้ำแร่ที่เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์และสุขภาพของตนเอง และหากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการเลือกน้ำแร่ ควรปรึกษานักกำหนดอาหารหรือแพทย์ประจำตัวจะดีที่สุด