Longevity คืออะไร
หัวใจสำคัญของ Longevity คืออะไร
1. ร่างกาย
2. จิตใจ
3. ความสัมพันธ์
4. การเงิน
5. ไลฟ์สไตล์และการงาน
Longevity กลายเป็นเทรนด์สุขภาพได้อย่างไร
1. อายุขัยเพิ่มขึ้น ไม่ได้แปลว่า สุขภาพดีขึ้น
แม้ว่าอายุขัยเฉลี่ยของประชากรโลกจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่คุณภาพชีวิตกลับไม่ได้ดีขึ้นตามไปด้วย เพราะเมื่อย่างเข้าวัย 40-50 ร่างกายก็เริ่มเสื่อมถอยอย่างรวดเร็ว พร้อมกับการก่อตัวของโรคเรื้อรัง โดยเฉพาะในช่วง 10-20 ปีสุดท้ายของชีวิต ที่หลายคนต้องวนเวียนเข้าออกโรงพยาบาล ใช้จ่ายเงินจำนวนมากไปกับการรักษาพยาบาล และต้องพึ่งพาผู้อื่น นี่จึงเป็นแรงผลักดันให้ผู้คนหันมาสนใจ "Healthspan" (ช่วงอายุที่แข็งแรง) มากกว่าแค่ "Lifespan" (ช่วงอายุรวม)
2. โรคเรื้อรังมาเยือนเร็วขึ้นอย่างน่าตกใจ
ด้วยวิถีชีวิตแบบคนยุคใหม่ ทั้งการนั่งทำงานนานหลายชั่วโมง ความเครียดสะสม การนอนดึก และการบริโภคอาหารแปรรูป ทำให้โรคที่เคยถูกมองว่าเป็น "โรคคนแก่" เริ่มมาปรากฏตัวในกลุ่มคนวัย 30-40 ปี เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันพอกตับ และภาวะเครียดเรื้อรัง นี่คือจุดเปลี่ยนที่ทำให้ผู้คนตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน (Preventive Lifestyle) และไม่รอให้ป่วยแล้วจึงเริ่มรักษา
3. ค่านิยมใหม่...ทำงานเก่งต้องร่างกายไม่พัง
กลุ่ม Gen Y และ Gen Z เป็นกลุ่มที่ทำงานหนัก มีความเครียดสูง และแบกรับภาระทางการเงินมากขึ้น ทว่าค่านิยมที่ว่า "ทำงานเก่งแต่ร่างกายพัง" เริ่มถูกมองว่าไม่คุ้มค่า แนวคิด Longevity ซึ่งผสมผสานการจัดการพลังงานชีวิต สุขภาพกายใจ และความเป็นอยู่ที่ดี จึงตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ที่ต้องการความสมดุลและความยั่งยืนในการใช้ชีวิต
4. การเงินและสุขภาพที่ต้องวางแผนควบคู่กัน
หากเรามีโอกาสอยู่ถึงอายุ 90-100 ปี นั่นหมายความว่าค่าใช้จ่ายหลังเกษียณจะต้องถูกปรับเพิ่มขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อและค่าครองชีพที่สูงขึ้น รวมถึงค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพที่อาจตามมา ดังนั้น การวางแผนสุขภาพจึงเป็นส่วนที่ผูกติดกับการวางแผนทางการเงินอย่างแยกไม่ได้ (Financial Longevity) เพื่อให้มั่นใจว่าจะมีอิสรภาพทางการเงินไปจนถึงบั้นปลายชีวิต
5. ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสุขภาพที่เข้าถึงง่าย
ความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของศาสตร์การแพทย์, Aging Science, และโภชนาการ ได้สร้างเครื่องมือที่ช่วยให้การดูแลสุขภาพล่วงหน้าเป็นเรื่องง่ายขึ้น เช่น อุปกรณ์สวมใส่ อย่าง Smartwatch, Sleep Tracker ที่ช่วยให้เราสามารถวัดและติดตามคุณภาพการนอนหลับหรือระดับกิจกรรมทางร่างกายได้อย่างแม่นยำ ทำให้ผู้คนสนใจที่จะลงทุนในสุขภาพล่วงหน้ามากขึ้น
Longevity Medicine คืออะไร
Longevity Medicine หรือ เวชศาสตร์อายุยืนยาว เป็นสาขาทางการแพทย์ที่ก้าวหน้าและมาแรงในปัจจุบัน โดยนำศาสตร์ทางการแพทย์ที่ทันสมัยมาใช้เพื่อชะลอความชราและป้องกันการเกิดโรคตามวัย อาทิ
- เน้นตรวจสุขภาพเชิงลึก เพื่อวิเคราะห์อย่างละเอียดกว่าการตรวจทั่วไป เช่น ตรวจฮอร์โมน, ตรวจเลือดเชิงลึก, ตรวจวัดอายุชีวภาพที่แท้จริงของเซลล์
- ออกแบบโปรแกรมเฉพาะบุคคล โดยอิงจากข้อมูลทางพันธุกรรม พฤติกรรมการใช้ชีวิต และผลตรวจสุขภาพเชิงลึก เพื่อวางแผนโภชนาการ วิตามิน และการออกกำลังกาย
- รักษาและฟื้นฟูระดับเซลล์ เพื่อแก้ปัญหาความเสื่อมหลักของร่างกาย เช่น การกำจัดเซลล์แก่ชรา การควบคุมการอักเสบเรื้อรัง
Longevity ต่างกับ Anti-Aging
และ Wellness อย่างไร
แนวคิด Longevity อาจดูคล้ายกับ Anti-Aging แต่ Anti-Aging มักจะเน้นที่การดูแลฟื้นฟูรูปลักษณ์ภายนอก เช่น ผิวพรรณ ความอ่อนเยาว์ และการชะลอความเสื่อมในเชิงความงามเป็นหลัก ในทางกลับกัน Longevity มุ่งเน้นการดูแลสุขภาพจากภายใน ตั้งแต่ระดับเซลล์และชีววิทยา เพื่อป้องกันการเกิดโรคต่าง ๆ อย่างแท้จริง เป้าหมายคือการมีอายุยืนยาวอย่างมีคุณภาพ และแข็งแรงปราศจากความเจ็บป่วยไปจนถึงบั้นปลายชีวิต
ในขณะที่ Wellness หมายถึงการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมให้สมดุลทั้งร่างกาย จิตใจ และวิถีชีวิต ซึ่งเป็นส่วนที่ทับซ้อนกับ Longevity ก็จริง แต่ Wellness จะเน้นไปที่การใช้ชีวิตให้มีความสมดุลและมีความสุขในปัจจุบันเป็นหลัก ทว่า Longevity จะโฟกัสไปที่อนาคต คือการมีชีวิตที่ยืนยาว พร้อมด้วยคุณภาพชีวิตที่ดีเยี่ยมอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะในช่วงวัยสูงอายุ โดยใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์เข้ามาช่วยในการบริหารจัดการความเสื่อมของร่างกายอย่างจริงจัง
อาจสรุปได้ว่า Longevity ก็คือการมี Wellness + Anti-Aging พร้อมวางแผนการใช้ชีวิตและการเงินในระยะยาวนั่นเอง
วิธีปรับไลฟ์สไตล์ให้เป็น Longevity
1. ร่างกาย
- เลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพในระยะยาว เช่น เพิ่มผัก ผลไม้ ถั่ว ธัญพืชไม่ขัดสี โปรตีนคุณภาพดี ไขมันดี
- ลดอาหารที่มีน้ำตาลสูง เครื่องดื่มรสหวาน อาหารไขมันสูง รวมทั้งอาหารแปรรูปสูง
- เดินให้มากขึ้นในทุก ๆ วัน
- ออกกำลังกายทั้งแบบคาร์ดิโอและเวทเทรนนิ่ง เพื่อช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ รวมทั้งรักษากล้ามเนื้อและข้อ
- กำหนดเวลาเข้านอน-ตื่นนอนให้ใกล้เคียงกันทุกวัน
- ลดการเล่นโทรศัพท์มือถือก่อนเข้านอน เพื่อให้ร่างกายหลับได้สนิท พักผ่อนอย่างเพียงพอ
- ตรวจสุขภาพตามช่วงวัย ป้องกันมากกว่ารอรักษา
2. จิตใจ
- สังเกตตัวเองว่าอะไรทำให้เครียด แล้วเริ่มหาวิธีจัดการ เช่น หยุดพักสั้น ๆ ระหว่างวัน
- ฝึกผ่อนคลาย เช่น หายใจลึก ๆ ทำสมาธิ ยืดเหยียด
- หาพื้นที่ปลอดภัยทางใจ เช่น ทำงานอดิเรก หาคนที่คุยแล้วรู้สึกสบายใจ เล่นกับสัตว์เลี้ยง
- นอนให้เพียงพอ เพราะการนอนมีผลต่อความจำ อารมณ์ และสมาธิ
- ใช้สมองอยู่เสมอ เช่น อ่านหนังสือ เรียนทักษะใหม่ เล่นเกมฝึกสมอง
- คิดบวกให้มากขึ้น เพราะการมองโลกในแง่ดีมีความเชื่อมโยงกับอายุขัยที่ยาวนานขึ้น
3. ความสัมพันธ์
- พยายามดูแลและรักษาสายสัมพันธ์ที่ดีกับครอบครัวและเพื่อนฝูงอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่การติดต่อกันเฉพาะตอนเกิดปัญหาเท่านั้น
- ติดต่อเพื่อนเก่าหรือญาติที่ห่างหายไปเป็นครั้งคราว เพราะการรักษาสายสัมพันธ์เก่า ๆ ไว้เป็นส่วนสำคัญของการสร้างเครือข่ายทางสังคมที่แข็งแกร่ง
- เปิดใจเข้าร่วมกลุ่มกิจกรรมที่ตัวเองสนใจ เช่น กลุ่มออกกำลังกาย กลุ่มอ่านหนังสือ กลุ่มคนรักสัตว์ หรือกลุ่มงานอดิเรก เพื่อใช้เวลาร่วมกับผู้อื่น โดยมีการศึกษาระบุว่า การทำกิจกรรมทางสังคมที่บ่อยขึ้นมีความสัมพันธ์กับการอยู่รอดที่ยาวนานขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
- เรียนรู้ที่จะเป็นผู้ให้การสนับสนุน และในขณะเดียวกันก็เปิดใจยอมรับความช่วยเหลือจากผู้อื่น เพราะมนุษย์เราต้องพึ่งพาอาศัยกันในระยะยาว
- หาเวลาเข้าร่วมเป็นอาสาสมัครหรือทำกิจกรรมช่วยเหลือผู้อื่น ซึ่งจะช่วยทำให้รู้สึกว่าตนเองมีคุณค่าและเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของสังคม
4. การเงิน
- เริ่มออมเงินทีละนิด เพื่อกันไว้เป็นเงินสำรองฉุกเฉินอย่างน้อย 6 เดือน
- ออมก่อนใช้ โดยหักจากบัญชีแล้วนำไปออมทันทีเมื่อมีรายได้เข้ามา
- เรียนรู้พื้นฐานการลงทุน และวางแผนการออมระยะยาว เพื่อมีเงินใช้ในยามเกษียณ
- วางแผนค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพในอนาคต เช่น แบ่งเงินไว้สำหรับค่ารักษาพยาบาลโดยเฉพาะ หรือทำประกันสุขภาพและประกันโรคร้ายแรง เพื่อลดความเสี่ยงทางการเงิน รวมทั้งหมั่นดูแลสุขภาพตัวเองอยู่เสมอ เพื่อลดโอกาสป่วย
- ไม่ฝืนทำงานจนสุขภาพพัง เพียงเพราะกลัวไม่มีเงินในอนาคต
- วางแผนคร่าว ๆ ว่าอยากให้ชีวิตหลังวัย 50-60 เป็นแบบไหน
5. ไลฟ์สไตล์และการงาน
- กำหนดเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดการทำงานที่แน่นอน และฝึกปิดการแจ้งเตือน (Notification) ของงานเมื่อถึงเวลาส่วนตัว เพื่อให้สมองได้พักฟื้นอย่างเต็มที่
- พักเบรกสั้น ๆ เช่น ทุก ๆ การทำงาน 50 นาที ให้ลุกขึ้นยืดเส้นยืดสาย ดื่มน้ำ หรือมองออกไปนอกหน้าต่าง เพื่อให้ร่างกายได้ขยับและลดอาการเมื่อยล้าจากการนั่งเป็นเวลานาน
- ปรับความสูงของเก้าอี้และหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้อยู่ในท่าที่ถูกต้อง เพื่อป้องกันอาการปวดหลังและคอเรื้อรัง
- จัดสรรช่วงเวลาสั้น ๆ ที่ไม่มีใครรบกวน (เช่น 1-2 ชั่วโมง) สำหรับงานที่ต้องใช้สมาธิสูงจริง ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพงานให้เสร็จเร็วขึ้น
- แทนที่จะนั่งดูทีวีหลังเลิกงาน ลองออกไปเดินเล่นเบา ๆ โยคะ หรือทำกิจกรรมอดิเรกอื่น ๆ ที่ช่วยให้ร่างกายได้ขยับและลดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ
บทความที่เกี่ยวข้องกับเทรนด์สุขภาพดี
- Wellness คืออะไร เปิดเทรนด์สุขภาพของคนยุคใหม่ พร้อมวิธีดูแลตัวเองให้ดีขึ้นทุกวัน
- โซเชียลมีเดีย ดีท็อกซ์.. จิตตกเพราะสังคมออนไลน์ บำบัดได้ด้วยตัวเอง
- รู้จัก Cozy Care เทรนด์ดูแลตัวเองให้ผ่อนคลายแบบไม่ตามโลก ลดเครียด เพิ่มความสบายใจ
- Makeup Therapy แต่งหน้าลดเครียด ทำได้จริงเหรอ ? ต้องทำยังไงให้แต่งหน้าแล้วมีความสุข
ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลพญาไท 3, psychologytoday.com, health.harvard.edu






