กรีน บิ้วตี้ งามอย่างธรรมชาติ

ผิวสวย

 


กรีน บิ้วตี้ งามอย่างธรรมชาติ (สบายอารมณ์ เออร์เบิ้น เวลล์เนส บอดี้แคร์)

          รู้หรือไม่ในร่างกายคุณมีสารเคมีตกค้างในร่างกายที่เกิดจากการใช้เครื่องสำอางเกือบ 2 กิโลกรัมต่อปี

          "กรีน บิ้วตี้" (Green Beauty) ความงามอย่างเป็นธรรมชาติ ทั้งภายในและภายนอก ไม่ก่อให้เกิดสารพิษตกค้าง ความงามเช่นนี้ไม่ว่าสาวๆ คนไหนก็อยากมี แต่มีใครทราบหรือไม่ ว่าสามารถแสวงหาความงามนี้ได้จากที่ไหน ความงามที่เรามีทุกวันนี้นอกจากจะมีใบหน้าที่สวยใส ด้วยเครื่องสำอางที่แต่งเติมเข้าไป และผิวพรรณที่เปล่งปลั่งจากการบำรุงด้วยผลิตภัณฑ์ชั้นดี และการดูแลผิวพรรณจากศูนย์ความงามต่างๆ ที่ช่วยให้คุณนั้นแลดูสวยงามเหลือเกิน แต่คุณเคยคิดหรือไม่ว่า ในแต่ละปีแต่งหน้าไปกี่ครั้ง สำเครื่องสำอางมาแล้วกี่ยี่ห้อ ใช้ครีมบำรุงผิวมามากเท่าไหร่ เข้าศูนย์ความงามหมดเงินไปเท่าไหร่ 

          และรู้หรือไม่ในร่างกายคุณมีสารเคมีตกค้างในร่างกายที่เกิดจาการใช้เครื่องสำอางเหล่านี้มากเกือบ 2 กิโลกรัมต่อปี 

          มีข้อมูลที่น่าสนใจชิ้นหนึ่งรายงานว่า ผู้หญิงซึมซับสารเคมีผ่านจากเครื่องสำอางที่ใช้ทุกชนิด เฉลี่ยรวมปีละเกือบ 2 กิโลกรัม  อันอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ร่างกายเก็บสารพิษตกค้างไว้ในร่างกาย เมื่อไม่สามารถกำจัดออกได้ตามธรรมชาติ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของความเจ็บป่วยนานาประการได้ในอนาคต...และนั่น คือเหตุผลสำคัญ ที่เราควรจริงจังกับการเลือกสรรเครื่องสำอางให้มากขึ้นเสียที 

          การดูแลตัวเองในชีวิตประจำวัน ด้วยการเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีความเป็นธรรมชาติสูงอาจฟังดูเป็นเรื่องที่เราหลายคนมองข้ามไป แต่การสะสมพิษไว้กับร่างกาย อาจไม่ใช่เรื่องที่มองข้ามได้อีกต่อไป เมื่อวันนี้เราสามารถใส่ใจตัวเองให้มากขึ้นได้ กับการเลือกสรรสิ่งดีๆ จากธรรมชาติมาเป็นปราการสำคัญในการดูแลผิว และดูแลความงามตามธรรมชาติของเราได้อย่างยั่งยืน 

          อิน คอสเมติกส์ ผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจความงามและผู้จัดนิทรรศการนานาชาติชื่อดัง รายงานว่า ผู้หญิงซึมซับสารเคมีผ่านจากเครื่องสำอางทุกชนิดเฉลี่ยปีละเกือบ 2 กิโลกรัม ในขณะที่เอนไซม์ในน้ำลายและน้ำย่อยจากกระเพาะอาหาร อาจทำลายสารเคมีในลิปสติกได้ แต่ถ้าเป็นโลชั่นที่ซึมซับผ่านทางผิวหนังและทางกระแสเส้นเลือดนั้น เราไม่สามารถป้องกันอะไรได้เลย และที่สุดแล้วก็จะไปสะสมที่ตับ เมื่อร่างกายกำจัดออกทางผิวหนังและขับถ่ายออกมาไม่ได้ (เช่นเวลาเกิดผดผื่น นั่นคือการขับพิษตามธรรมชาติออกจากร่างกายทางหนึ่ง) จนทำให้เกิดพิษสะสมและเกิดโรคเล็กๆน้อยอย่างปวดศีรษะ อ่อนเพลีย เรื่อยไปถึงความเสี่ยงต่อโรคอันตรายอย่างมะเร็งได้

          ดังนั้นแล้ว เวลานี้จึงไม่มีอะไรดีไปกว่าการที่เราจะได้อยู่ใกล้ชิดธรรมชาติให้มากที่สุด หนึ่งในทางออก นั่นก็คือการหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ในชีวิตประจำวันที่เต็มไปด้วยสารสังเคราะห์ และมองหาผลิตภัณฑ์ที่มิตรกับร่างกายและสิ่งแวดล้อมเท่าที่เราจะดูแลได้ 

          แต่ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมธรรมชาติสูงหายากมาก แต่ก็ยังพอมีบางในกลุ่มผลิตภัณฑ์โฮมสปาของไทยเรา เพราะผลิตจากดอกไม้ หรือสมุนไพรไทย อาทิ มะกรูด ตะไคร้ ขิง ส้ม มะนาว มะลิ จำปา ฯลฯ ให้คุณใกล้ชิดความสุขจากธรรมชาติและผ่อนคลายอารมณ์ได้ด้วย 

          นอกจากส่วนผสมที่ต้องมีความเป็นธรรมชาติสูงแล้ว กระบวนผลิตก็ต้องสะอาดและใกล้ชิดธรรมชาติ ปราศจากการเติมแต่งเลี่ยงการใช้สารกันเสียกลุ่มเคมี และเลือกสารสกัดที่ได้มาจากพืชและใช้น้ำเป็นกรรมวิธีในการสกัด นอกจากนี้ยังไม่เติมแต่งสี และเลือกใช้สารชะล้าง ที่สกัดมาจากมะพร้าว ข้าวโพด และมันสำปะหลัง ให้คุณมั่นใจได้มากขึ้นกับการผลิตที่ได้มาตรฐานและใกล้ชิดธรรมชาติอย่างแท้จริง พร้อมกับ บรรจุภัณฑ์ที่สามารถรีไซเคิลได้ ก็จะดีเป็นอย่างยิ่ง 

          พญ.กอบกาญจน์ ไพบูลยศิลป์ แพทย์ประจำ "‘บัลวี ศูนย์ธรรมชาติบำบัด" ได้ให้ข้อมูลว่าปัจจุบันผู้หญิงทั่วไปได้รับสารเคมี ที่เป็นอันตรายต่อร่างกายผ่านการใช้เครื่องสำอาง 

          โดยสารเคมีเหล่านั้น จะเข้าไปสะสมในร่างกาย หากมีปริมาณมาก จะอาจทำให้เกิดอันตรายต่างๆ ตามมา แต่ที่พบบ่อย คือ การใช้น้ำมันนวด ที่มีส่วนผสมของเป็นสารที่แยกได้จากการสกัดน้ำมันปิโตรเลียม ที่มักถูกนำมาใช้ในเครื่องสำอางจำพวกเบบี้ ออยล์ โดยเมื่อคนไข้นำมานวด หรือสัมผัสกับความร้อน จะทำให้เกิดอาการระคายเคือง มีผื่นแดง ขึ้นตามผิวหนัง เกิดการอักเสบ อุดตัน เนื่องจากสารเคมีประเภทนี้ จะเหมาะกับคนที่อยู่ในทวีปที่มีอากาศหนาว แต่สำหรับคนเอเชีย อาจไม่เหมาะกับเครื่องสำอางประเภทนี้  

          วิธีการป้องกันร่างกาย ให้ห่างไกลจากสารเคมี ก็คือ...

          1. หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ ที่มีส่วนผสมของสารเคมี 

          2.เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากธรรมชาติ 

          3.ดูแลรักษาตัวเอง ให้ห่างไกลจากปัจจัยเสี่ยงต่างๆ อาทิ มลภาวะทางอากาศ 

          4. พักผ่อนให้เพียงพอ 

          5. ออกกำลังกาย 

          6. ทานอาหารที่เป็นประโยชน์ อาทิ ข้าวกล้อง ผักและผลไม้สด 

          และที่สำคัญควรดำเนินชีวิตแบบให้ธรรมชาติเป็นศูนย์กลาง คือ ดำเนินชีวิตให้เป็นธรรมชาติ ถึงเวลานอนก็นอน ถึงเวลากินก็กิน ไม่เครียด เท่านี้ "ชีวิตก็จะมีความสุขได้ทุกๆวัน"

          สารเคมี 14 รายการที่มักผสมในเครื่องสำอางทั่วไปที่ก่อให้เกิดสารพิษตกค้างในร่างกาย 

           1. No Mineral Oil (Petrolatum)
          เป็นสารที่แยกได้จากการสกัดน้ำมันปิโตรเลียม มักถูกนำมาใช้ในเครื่องสำอางจำพวกเบบี้ ออยล์ และเครื่องสำอางประเภทมอยเจอร์ไรเซอร์ ทำหน้าที่ในการเก็บรักษาความชุ่มชื่นให้กับผิว เเต่ด้วยเพราะเป็นโมเลกุลขนาดใหญ่จึงอาจเกิดการตกค้างที่ผิว เป็นสาเหตุของการเกิดปัญหาผิว อาทิ ปัญหาสิวอุดตัน รูขุมขนอุดตัน ผิวหนังอักเสบ ฯลฯ

           2. No Propylene Glycol 
          เป็นสารเคมีที่ใช้เพื่อป้องกันการจับตัวกันเป็นของแข็ง ในภาคอุตสาหกรรมถูกนำไปใช้ในการทำละลาย อาทิ สีและพลาสติก และถูกนำมาใช้กับเครื่องสำอางในกลุ่มมอยเจอร์ไรเซอร์ ทำหน้าที่เก็บรักษาความชุ่มชื่นในเครื่องสำอาง ซึ่งหากใช้ในปริมาณน้อยจะไม่เป็นอันตรายหรืออาจระคายเคือง แต่หากสะสมในปริมาณมาก อาจทำให้มีผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง และมีเเนวโน้มเป็นสารตั้งต้นสารก่อมะเร็ง

           3. No Triethanolamine (TEA)
          สารเคมีชนิดนี้พบมากในเครื่องสำอางจำพวกบอดี้ โลชั่น แชมพู โฟมโกนหนวด และครีมบำรุงรอบดวงตากับหน้าที่ในการปรับค่า pH ไม่ให้เป็นกรด-ด่าง มากเกินไป ซึ่งหากร่างกายได้รับในปริมาณน้อยก็อาจไม่เกิดอันตราย แต่หากสะสมในปริมาณมาก อาจทำให้ผิวระคายเคือง อย่างไรก็ดี สตรีมีครรภ์ควรเลี่ยง เพราะเป็นสารเคมีที่มีผลต่อทารกในครรภ์ในช่วงพัฒนาการทางสมอง

           4. No IPM (Isopropyl Myristate) 
          เป็นสารเคมีที่ใช้กันมากในวงการเครื่องสำอาง กับคุณสมบัติในการเคลือบผิวเพื่อเก็บรักษาความชุ่มชื่น อย่างไรก็ดีจากการทดลองในสัตว์ พบว่าสารเคมีชนิดนี้ทำให้เกิดการอุดตันที่รูขุมขน ซึ่งอาจทำให้ผิวระคายเคืองและอาจทำให้เกิดปัญหาทางผิวหนังได้

           5. No Polyethylene 
          สารเคมีชนิดนี้ถูกพบมากในเครื่องสำอางจำพวกสครับ เนื่องจากเป็นพลาสติกที่ลื่นมัน ยืดหยุ่นดี จึงใช้ทำหน้าที่เป็นเม็ดสครับผิวได้ แต่เนื่องจากเป็นสารเคมีจำพวกพลาสติก จึงถูกนำไปใช้เป็นส่วนผสมในของใช้ต่างๆอาทิ ขวดใส่สารเคมี ขวดใส่น้ำ บรรจุภัณฑ์ ฉนวนไฟฟ้า หรือแม้แต่เก้าอี้ ซึ่งแม้จะไม่สามารถซึมผ่านสู่ผิวหนังได้ แต่ก็อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองผิวและไม่เป็นมิตรกับร่างกาย

           6. No Imidazolidinyl and Diazoliddinyl Urea 
          สารกันเสียชนิดนี้ถูกนำมาใช้ทั่วไปในกลุ่มเครื่องสำอาง กับหน้าที่ในการกำจัดแบคทีเรียหรือจุลชีพต่างๆ แต่ด้วยการสลายตัวที่ทำให้เกิดสารฟอมาลดีไฮด์ (Formaldehyde) จึงทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังและระบบหายใจได้ ซึ่งพิษสะสมอาจทำให้การทำงานของเซลล์ร่างกายผิดปกติ อันเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดมะเร็ง

           7. No Paraben
          คือสารกันเสียที่นิยมใช้อย่างมากในกลุ่มเครื่องสำอางจำพวกผิวหนังและเส้นผม รวมถึงผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นเพราะมีประสิทธิภาพในการยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย แต่เนื่องจากเป็นสารเคมีที่พบในผลิตภัณฑ์หลากหลายประเภทที่ง่ายต่อการสะสมในร่างกาย หลายองค์กรจึงรณรงค์ให้เลี่ยงการใช้พาราเบนที่พบว่าเสี่ยงต่อการระคายเคืองผิว อาจขัดขวางการทำงานของต่อมไร้ท่อ และอาจเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งเต้านมA

           8. No SLES (Sodium Laureth Sulfate)
          คือสารเคมีที่นิยมเติมลงในเครื่องสำอางจำพวกแชมพู หรือเจลอาบน้ำเพื่อทำให้เกิดฟองและลดแรงตึงผิว สามารถพบได้ในแชมพูเกือบทุกประเภท ด้วยผู้บริโภครู้สึกว่าสามารถกำจัดไขมันออกจากผิวและผมอย่างหมดจด แต่แท้จริงแล้ว สารลดแรงตึงชนิดนี้มีส่วนเสียคือ มีฤทธิ์ทำให้กระบวนการป้องกันผิวและเส้นผมตามธรรมชาติอ่อนแอลง เสี่ยงต่อการระคายเคือง และหากกระบวนการผลิตมีการปนเปื้อนก็อาจเป็นสารก่อมะเร็งได้

           9. No Artificial Color
          มีเครื่องสำอางจำนวนไม่น้อยที่ใช้สีในการเติมแต่งเพื่อให้เกิดความสวยงาม น่าใช้ บางชนิดเป็นสารเคมีสังเคราะห์ และบางชนิดเป็นสีที่ใช้ในอาหาร (Food grade - ซึ่งค่อนข้างมีความปลอดภัย) อย่างไรก็ดี ย่อมเป็นการปลอดภัยกว่าในการงดการใช้สีที่มาจากการสังเคราะห์ทุกประเภท เนื่องจากอาจมีสารหนัก รวมทั้งสารหนูและสารตะกั่ว อันเป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็ง

           10. No Silicone
          ซิลิโคนมีลักษณะคล้ายยาง มีความยืดหยุ่นสูงและมีอยู่หลายรูปแบบขึ้นอยู่กับประเภทใช้งาน แต่ถูกนำมาใช้ในวงการความงามอย่างแพร่หลาย โดยในเครื่องสำอางนั้น มักถูกนำมาใช้กับครีมนวดผมเพื่อให้รู้สึกนุ่มลื่น ช่วยเคลือบเส้นผมให้ดูเงางาม นุ่มสลวย แต่อาจเกิดการสะสมในตับและต่อมน้ำเหลืองหากใช้ในปริมาณมาก ซึ่งสามารถเป็นตัวเร่งการเกิดเนื้องอกและมะเร็งได้

           11. No Petroleum Derivative 
          เป็นสารเคมีที่ได้มาจากการแยกน้ำมันปิโตรเลียม มักถูกนำไปเป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางหลายประเภท อาทิ ครีมรองพื้น ครีมล้างหน้า ครีมบำรุงผิว เพื่อทำหน้าที่เก็บกักความชุ่มชื่นผิวโดยการเคลือบผิวไว้ แต่ด้วยความที่มีโมเลกุลขนาดใหญ่และผ่านกรรมวิธีทางเคมี จึงอาจทำให้ผิวเกิดการระคายเคือง อุดตันผิว และเกิดสิวได้ และหากเก็บกักสะสม อาจเสี่ยงต่อการเสื่อมสภาพของผิว และทำให้ฮอร์โมนและภูมิคุ้มกันในเพศหญิงอ่อนแอ 

           12. No Synthetic Polymer
          โพลิเมอร์มีสารตั้งต้นจากพลาสติก ที่ผ่านกระบวนการทางเคมีให้มีความเหนียวนุ่ม ยืดหยุ่น นิยมนำมาทำบรรจุภัณฑ์อาหาร รวมทั้งเป็นส่วนผสมในเครื่องสำอาง อาทิ ครีมนวดผม หรือเจลแต่งทรงผม ทำหน้าที่หลากหลายขึ้นอยู่กับการใช้งาน อาทิ การเพิ่มเนื้อสัมผัส การเคลือบผิว หรือการเก็บรักษาความชุ่มชื่น อย่างไรก็ตาม มีสารโพลิเมอร์บางชนิดสามารถหาได้จากพืช อาทิ มันสำปะหลัง ข้าวโพด และมะพร้าว ซึ่งเป็นมิตรกับธรรมชาติและเหมาะสมกับร่างกายของเรามากกว่า

           13. No PEG (Polyethylene Glycol) 
          เป็นสารเคมีสังเคราะห์ที่ผลิตขึ้นมาเพื่อทดแทนสารเพิ่มความชุ่มชื่น มักถูกใช้ในผลิตภัณฑ์ความงามจำพวกทำความสะอาดและบำรุงผิว โดยสถาบันเผยแพร่ข้อมูลด้านความปลอดภัยของวัตถุในสหรัฐอเมริกา (III) ได้ออกคำเตือนให้หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีชนิดนี้ เพราะระคายเคืองต่อผิวสูง และอาจเป็นสาเหตุของความผิดปกติในตับและไต และอาจเกิดการปนเปื้อนจากการผลิตซึ่งเป็นสาเหตุของมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งตับและจมูก

           14. Quats
          คือสารชะล้างที่มักนำไปใช้กับผลิตภัณฑ์ขัดล้างต่างๆ อาทิ น้ำยาล้างห้องน้ำ น้ำยาขัดพื้น และนำมาใช้กับเครื่องสำอางจำพวกแชมพู หรือเจลอาบน้ำทั้งหลาย เพื่อให้รู้สึกถึงการทำความสะอาดที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นอย่างไรก็ตาม ด้วยความที่เป็นสารเคมีรุนแรง จึงมีความเสี่ยงที่จะทำให้ผิวเกิดผดผื่น แพ้ และทำลายระบบทางเดินหายใจหากใช้ในปริมาณสูงและใช้ต่อเนื่องเป็นเวลานาน

 

  เคล็ดลับสุขภาพ สุขภาพใกล้ตัว โรคและการป้องกัน คลิกเลย 

 คลิกอ่านความคิดเห็นของเพื่อนๆ ได้ที่นี่ค่ะ




ขอขอบคุณข้อมูลจาก
สบายอารมณ์ เออร์เบิ้น เวลล์เนส บอดี้แคร์

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
กรีน บิ้วตี้ งามอย่างธรรมชาติ อัปเดตล่าสุด 16 ธันวาคม 2556 เวลา 15:30:18 12,506 อ่าน
TOP
x close