x close

กีฬา ยาวิเศษ มนุษยชาติ

 
เทนนิส

กีฬา ยาวิเศษ มนุษย์ชาติ (สุขกายสบายใจ)

เรื่อง : สุธารัชฎ์ รัตนารามิก

          แม้ว่าการแข่งขันโอลิมปิกเกมส์ 2012 ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษจะจบไปแล้ว และได้สร้างความประทับใจไม่รู้ลืมทิ้งท้ายให้เรามากมาย มากไปกว่านั้นคือ เราตระหนักได้ว่า กว่าจะเป็นนักกีฬาที่มีร่างกายแข็งแรง สมบูรณ์พร้อมลงแข่งขันนั้น ช่างยากเหลือเกิน เพราะต้องผ่านขั้นตอนการฝึกสุขภาพกายและใจอย่างมากมาย แต่ในขั้นตอนเหล่านั้น เราสามารถทำตามได้ไม่ยาก

ปั่นจักรยาน


10 เหรียญทองของสุขภาพจากแพทย์ผู้ดูแลนักกีฬาโอลิมปิก

1.หายใจถูกวิธี

          ลีอาร์ ลาโก้ส์ (Dr.Leah Lagos) แพทย์หญิงนักจิตวิทยาการกีฬาประจำองค์กร Elite Athlete บอกว่า การที่นักกีฬาดูไม่เหนื่อยขณะลงแข่ง และสามารถแข่งขันจนจบเกมส์ได้ เป็นเพราะพวกเขามีจังหวะการหายใจเข้า-ออกถูกต้อง ก่อนการลงแข่งทุกครั้ง พวกเขาจะฝึกหายใจโดยการหายใจเข้า มองปลายจมูกประมาณ 4 วินาที หายใจออกผ่านริมฝีปากประมาณ 6 วินาที ทำซ้ำ 10 ครั้ง

2.มีสมาธิ

          ดร.ลีอาร์ ลาโก้ส์ บอกว่า สมาธิสำคัญมากสำหรับนักกีฬา พวกเขาจะต้องโฟกัสสิ่งที่อยู่ตรงหน้าให้ได้ ท่ามกลางความวุ่นวายที่แวดล้อมสนามแข่ง พวกเขามีวิธีฝึกสมาธิโดยการนับเลขถอยหลังตั้งแต่เลข 100 ลงไปถึงเลข 1 และฝึกความคิดให้ฉับไว ด้วยการนับเลขที่ลดลงทุก ๆ 7 จำนวน เช่น 100-93-86 ไปเรื่อย ๆ

3.ยึดกฎเหล็กไดเอต 3 ข้อ

          เจมี่ สเคิร์ช แพทย์ที่ปรึกษาทางโภชนาการของนักกีฬาแนะนำว่า พวกนักกีฬามีกฎเหล็กที่ต้องทำตามอย่างเคร่งครัดอยู่ 3 ข้อ คือ หนึ่ง เน้นกินโปรตีนเพื่อให้ร่างกายสร้างกล้ามเนื้อ สองคือ งดน้ำตาล นักกีฬาต้องฝึกอดทนกับอาการขาดน้ำตาล ฝึกทนกับสภาพร่างกายที่จะเฉื่อยขึ้น สามคือ ต้องเข้มงวดกับการกิน ไม่ควรเข้าร้านสะดวกซื้อ และร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดบ่อยครั้ง

4.ปฏิบัติกฎ 95/5 อย่างเคร่งครัด

          ศาสตราจารย์นักจิตวิทยาการกีฬา คัทรีน่า เรดค์ก แนะนำว่า หากอยากหุ่นดีเหมือนนักกีฬา ควรปล่อยให้ระบบเผาผลาญทำงานไปตามเวลาของมัน ดีกว่าพยายามไปบังคับมันให้ย่อยตามเวลา ซึ่งพวกนักกีฬาจะใช้กฎ 80/20 นั่นคือ 80 เปอร์เซ็นต์ กินสิ่งที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย และอีก 20 เปอร์เซ็นต์ กินอะไรก็ได้ที่อยากกิน เมื่อการกินเริ่มมีแบบแผนชัดเจนขึ้นแล้ว จะกินแบบเคร่งครัดขึ้นในสัดส่วน 95/5

โยคะ

5.ยืดเส้นยืดสายเป็นประจำ

          ดร.คัทรีน่า เรดค์ก บอกว่า การที่นักกีฬาใช้งานร่างกายลงแข่งได้นาน โดยที่ไม่มีอาการทรมานเจ็บปวดใด ๆ เป็นเพราะนักกีฬาบริหารร่างกายตามระดับความรุนแรง เริ่มจากการบริหารกล้ามเนื้อหลาย ๆ ท่า เพื่อให้เกิดความบาลานซ์ จะหมุนจะเอี้ยวตัวไปทางไหนก็จะไม่รู้สึกเจ็บเพราะผิดท่า ซึ่งนักกีฬาจะฝึกโยคะเป็นประจำทุกวัน ในแต่ละครั้งจะฝึกให้นานขึ้น โดยเพิ่มเวลา 5 นาที

6.กินช้า

          ดร.คัทรีน่า เรดค์ก บอกว่า นักกีฬามืออาชีพส่วนใหญ่จะใช้เวลากับมื้ออาหาร พวกเขาจะกินช้า ๆ มีจังหวะในการหยุดเคี้ยวอาหาร และหลังจากกินเสร็จจะนั่งย่อยประมาณ 20 นาที เพื่อให้ระบบย่อยอาหารได้ทำงานเต็มที่ ร่างกายจะรู้สึกอิ่มพอดี โดยที่ไม่รู้สึกจุกเสียดเมื่อต้องเคลื่อนไหวร่างกาย

7.ไม่ดื่มน้ำอัดลม

          พวกนักกีฬาจะไม่ดื่มเครื่องดื่มจำพวกน้ำอัดลม ชา กาแฟ และแม้แต่เครื่องดื่มบำรุงกำลัง เพราะพวกเขาบอกว่าเครื่องดื่มพวกนี้จะเปลี่ยนสุขภาพร่างกายที่ดีของเขาให้กลายเป็นแย่อย่างรุนแรง สิ่งที่ดีที่สุดต่อร่างกายคือ น้ำเปล่า

8.สุขภาพจิตดี มีชัยไปกว่าครึ่ง

          ดร.ลาโกส์ คอนเคิชร์ บอกว่า ความสัมพันธ์ระหว่างโค้ชกับลูกทีมคือ ศักยภาพโดยรวมของทีม โค้ชกับลูกทีมจะต้องคอยอัพเดทข้อมูลซึ่งกันและกัน นั่นเป็นทางเดียวที่นำไปสู่ความแข็งแรงทางด้านจิตใจของนักกีฬาในทีมที่จะช่วยผลักดันให้มีแรงฮึกเหิมแข่งขันในแมตช์ใหญ่ ๆ ได้ ซึ่งโค้ชจะต้องเป็นผู้ให้กำลังใจได้ดีระดับหนึ่ง สามารถแทนครอบครัว และแทนเพื่อนของพวกเขาได้

9.มีความยับยั้งชั่งใจ

          ในสนามแข่งโอลิมปิก มีหลายสปอนเซอร์เป็นบริษัทใหญ่จากทั่วโลก คอยสนับสนุนเรื่องอาหารการกิน และอุปกรณ์ของใช้ต่าง ๆ ซึ่งทีมนักกีฬาก็มีโควตาในส่วนนี้ แต่สิ่งสำคัญที่นักกีฬามืออาชีพมีคือ การยับยั้งชั่งใจ ไม่หลงไปกับสิ่งที่บริษัทสปอนเซอร์ใหญ่ ๆ หยิบยื่นให้ ทั้งโค้ชและทีมนักกีฬาจะต้องเอาใจไปมุ่งกับการฝึกเพื่อลงแข่งครั้งสำคัญ ทั้งเรื่องอาหารด้วยที่จะต้องคอยกินให้ตรงตามแผนโภชนาการ หากคุณพลาดไปหนึ่งวันอาจหมายถึงสุขภาพที่แย่ลงได้

10.เรียนรู้จากประสบการณ์

          หลังจบจากการแข่งขันแล้ว นักกีฬายังคงต้องใส่ใจกับผลงานที่ผ่านมาของตัวเอง คอยดูว่าพลาดอะไรไปตรงไหน แล้วต้องหาแหล่งข้อมูลอื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์ในการฝึกเพิ่มเติม เช่น ดูวิธีการฝึกรูปแบบใหม่ ฝึกออกกำลังกายแบบใหม่ ๆ หรือแม้แต่การดูข่าวของคู่แข่งว่าพวกเขาได้ก้าวไปถึงไหนแล้ว


แอโรบิก

Fast Fact

แอโรบิกลดรังแค

          ผลการวิจัยล่าสุดที่ถูกตีพิมพ์ใน Archives of Dermatology ของสหรัฐฯ เผยว่า การออกกำลังกาย เช่น วิ่ง แอโรบิก มากกว่า 3-4 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ช่วยลดอาการหนังศีรษะตกสะเก็ด หรือรังแคได้สูงถึง 30% ทั้งนี้ เพราะเซลล์ผิวหนังตื่นตัวมากขึ้น จากการเคลื่อนไหวร่างกายนั่นเอง


  เคล็ดลับสุขภาพ สุขภาพใกล้ตัว โรคและการป้องกัน คลิกเลย

 

คลิกอ่านความคิดเห็นของเพื่อนๆ ได้ที่นี่ค่ะ



ขอขอบคุณข้อมูลจาก

 


เรื่องที่คุณอาจสนใจ
กีฬา ยาวิเศษ มนุษยชาติ อัปเดตล่าสุด 28 พฤศจิกายน 2556 เวลา 17:03:19
TOP