
โรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อม (หมอชาวบ้าน)
โดย รศ.นพ.ศักดิ์ชัย วงศกิตติรักษ์ ประธานราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย
โรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อม (Macular Degeneration) เป็นกลุ่มโรคที่เกิดจากความเสื่อมในส่วนกลางของจอประสาทตา ซึ่งเกิดเมื่อคนเรามีอายุเพิ่มมากขึ้น นับเป็นสาเหตุสำคัญทำให้สูญเสียความสามารถในการมองเห็นในผู้สูงอายุ
ปัจจุบันประชากรโลกมีอายุเพิ่มมากขึ้น จึงพบว่าโรคนี้เป็นปัญหาทางสาธารณสุขมากขึ้นเรื่อย ๆ มีการประเมินพบว่า โรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อมเป็นสาเหตุที่ทำให้ตาบอดมากกว่าครึ่ง (ร้อยละ 54)
โรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อม มักพบในผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปี จึงมักเรียกว่า โรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อมเนื่องจากอายุ (Age-related Macular Degeneration or AMD) แต่โรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อม อาจพบได้ในผู้มีอายุน้อย ซึ่งมักพบในผู้ที่มีประวัติทางครอบครัวเป็นโรคนี้
 ชนิดของจุดศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อม
 ชนิดของจุดศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อมศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อมมี 2 ชนิด
 1.โรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อมแบบแห้ง (Dry AMD) พบประมาณร้อยละ 90 เป็นโรคที่ทำให้มีการสูญเสียการมองเห็นอย่างช้า ๆ
1.โรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อมแบบแห้ง (Dry AMD) พบประมาณร้อยละ 90 เป็นโรคที่ทำให้มีการสูญเสียการมองเห็นอย่างช้า ๆโรคกลุ่มนี้จอประสาทตาจะบางลงบริเวณศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อม (macula) ทำให้มีความสามารถในการมองเห็นลดลงและเป็นไปอย่างช้า ๆ บางรายอาจมีการพัฒนาไปเป็นโรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียก (Wet AMD) ดังนั้น ผู้ป่วยที่มีการมองเห็นลดลงอย่างมากควรไปตรวจกับจักษุแพทย์
 2.โรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อมแบบเปียก (Wet AMD) พบประมาณร้อยละ 10-15
2.โรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อมแบบเปียก (Wet AMD) พบประมาณร้อยละ 10-15โรคกลุ่มนี้ทำให้การสูญเสียการมองเห็นเป็นไปอย่างรวดเร็ว และเป็นสาเหตุสำคัญของอาการตาบอด ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ตาบอดเกิดจากมีหลอดเลือดผิดปกติงอกอยู่ใต้จอประสาทตา และผนังชั้นอาร์พีอี (RPE) ซึ่งหลอดเลือดเหล่านี้จะเปราะและแตกง่าย มีการรั่วซึมของเลือดและสารเหลวจากหลอดเลือด ทำให้เกิดแผลเป็นและจอประสาทตาบวม ผู้ป่วยเริ่มมองเห็นภาพตรงกลางเบี้ยว และเกิดการสูญเสียการมองเห็นอย่างรวดเร็วและเฉียบพลัน
ดังนั้น ผู้ป่วยที่มีการมองเห็นอย่างเฉียบพลันควรพบจักษุแพทย์ทันที ซึ่งหากพบใหม่ ๆ จะสามารถรักษาได้ดีกว่าที่เป็นมานาน

 โรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อมมีปัจจัยเสี่ยงอะไรบ้าง
 โรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อมมีปัจจัยเสี่ยงอะไรบ้างปัจจัยเสี่ยงที่มีอิทธิพลต่อการเกิดโรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อม มีดังนี้
 1.อายุ พบบ่อยในคนที่มีอายุมากกว่า 50 ปี
1.อายุ พบบ่อยในคนที่มีอายุมากกว่า 50 ปี 2.พันธุกรรม พบว่าร้อยละ 50 ของผู้ป่วยจะมีประวัติที่คนในครอบครัวเป็นมาก่อน
2.พันธุกรรม พบว่าร้อยละ 50 ของผู้ป่วยจะมีประวัติที่คนในครอบครัวเป็นมาก่อน 3.เชื้อชาติ/เพศ อุบัติการณ์ของโรคสูงในคนผิวขาว และเพศหญิงมากกว่าเพศชาย
3.เชื้อชาติ/เพศ อุบัติการณ์ของโรคสูงในคนผิวขาว และเพศหญิงมากกว่าเพศชาย 4.บุหรี่ มีหลักฐานพบว่า การสูบบุหรี่จะมีโอกาสเกิดโรคนี้เร็วกว่าผู้ไม่สูบถึง 10 ปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้สูบบุหรี่ที่มีประวัติครอบครัวร่วมด้วย จะมีโอกาสเพิ่มถึง 30 เท่า
4.บุหรี่ มีหลักฐานพบว่า การสูบบุหรี่จะมีโอกาสเกิดโรคนี้เร็วกว่าผู้ไม่สูบถึง 10 ปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้สูบบุหรี่ที่มีประวัติครอบครัวร่วมด้วย จะมีโอกาสเพิ่มถึง 30 เท่า
 อาการเริ่มต้นของโรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อม
 อาการเริ่มต้นของโรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อม 1.ภาพบิดเบี้ยว มองเห็นเส้นตรงเป็นเส้นขาด
1.ภาพบิดเบี้ยว มองเห็นเส้นตรงเป็นเส้นขาด 2.มองภาพ หรืออ่านหนังสือที่ต้องใช้งานละเอียดยากกว่าปกติ
2.มองภาพ หรืออ่านหนังสือที่ต้องใช้งานละเอียดยากกว่าปกติ 3.มองไม่เห็นส่วนกลางของภาพ
3.มองไม่เห็นส่วนกลางของภาพ 4.การมองภาพต้องใช้แสงเพิ่มขึ้น มองเห็นลดลงไม่ตรงกลางเส้น การมองเห็นสีลดลง
4.การมองภาพต้องใช้แสงเพิ่มขึ้น มองเห็นลดลงไม่ตรงกลางเส้น การมองเห็นสีลดลง ข้อแนะนำเพื่อลดโอกาสการเกิดโรค
 ข้อแนะนำเพื่อลดโอกาสการเกิดโรค 1.เข้ารับการตรวจตาและจอประสาทตา
1.เข้ารับการตรวจตาและจอประสาทตา 2.งดการสูบบุหรี่
2.งดการสูบบุหรี่ 3.ควบคุมน้ำหนักตัวและออกกำลังกาย
3.ควบคุมน้ำหนักตัวและออกกำลังกาย 4.กินสารต้านอนุมูลอิสระและธาตุสังกะสี
4.กินสารต้านอนุมูลอิสระและธาตุสังกะสี 5.ป้องกันดวงตาจากแสงแดด
5.ป้องกันดวงตาจากแสงแดด 6.กินอาหารให้ครบ 5 หมู่
6.กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ 7.สำหรับการรักษาในกลุ่มโรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อมแบบเปียก (Wet AMD) การรักษามีจุดมุ่งหมายเพื่อทำลายหลอดเลือดออกใหม่ซึ่งแตกง่าย ทำให้เกิดเลือดออก หรือทำให้การมองเห็นลดลง
7.สำหรับการรักษาในกลุ่มโรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อมแบบเปียก (Wet AMD) การรักษามีจุดมุ่งหมายเพื่อทำลายหลอดเลือดออกใหม่ซึ่งแตกง่าย ทำให้เกิดเลือดออก หรือทำให้การมองเห็นลดลงในปัจจุบัน ยังไม่มีวิธีการรักษาที่จะให้การมองเห็นกลับมาดีดังเดิมได้ แต่พอมีการรักษาที่จะช่วยชะลอการสูญเสียของการมองเห็น

 การรักษาในปัจจุบันมีอยู่หลายวิธี
 การรักษาในปัจจุบันมีอยู่หลายวิธี 1.การรักษาด้วยแสงเลเซอร์ เป็นวิธีที่รักษามานาน โดยใช้แสงเลเซอร์ยิง เพื่อทำลายหลอดเลือดผิดปกติ ซึ่งนอกจากจะทำลายหลอดเลือดผิดปกติ ยังทำลายหลอดเลือดปกติ และจอประสาทตาปกติด้วย
1.การรักษาด้วยแสงเลเซอร์ เป็นวิธีที่รักษามานาน โดยใช้แสงเลเซอร์ยิง เพื่อทำลายหลอดเลือดผิดปกติ ซึ่งนอกจากจะทำลายหลอดเลือดผิดปกติ ยังทำลายหลอดเลือดปกติ และจอประสาทตาปกติด้วย  2.การรักษาด้วยวิธีโฟโต้ไดนามิก (Photodynamic Therapy or PDT) เป็นการรักษาโดยใช้ยา Verteporn ร่วมกับเลเซอร์ที่ไม่ทำให้เกิดความร้อน โดยยาจะทำให้หลอดเลือดผิดปกติเกิดการอุดตัน พบว่า วิธีนี้ยังเป็นการรักษาที่ค่อนข้างปลอดภัย
2.การรักษาด้วยวิธีโฟโต้ไดนามิก (Photodynamic Therapy or PDT) เป็นการรักษาโดยใช้ยา Verteporn ร่วมกับเลเซอร์ที่ไม่ทำให้เกิดความร้อน โดยยาจะทำให้หลอดเลือดผิดปกติเกิดการอุดตัน พบว่า วิธีนี้ยังเป็นการรักษาที่ค่อนข้างปลอดภัย 3.การรักษาด้วยการฉีด Anti VEGF เข้าไปในวุ้นลูกตา เป็นการรักษาโดยใช้นวัตกรรมใหม่ของผลิตภัณฑ์ทางชีววิทยา (Biological Product) ที่ใช้กับตาโดยเฉพาะ วิธีนี้เป็นการรักษาแนวใหม่และยับยั้งสาเหตุของการเกิดโรคได้ตรงจุดมากขึ้น
3.การรักษาด้วยการฉีด Anti VEGF เข้าไปในวุ้นลูกตา เป็นการรักษาโดยใช้นวัตกรรมใหม่ของผลิตภัณฑ์ทางชีววิทยา (Biological Product) ที่ใช้กับตาโดยเฉพาะ วิธีนี้เป็นการรักษาแนวใหม่และยับยั้งสาเหตุของการเกิดโรคได้ตรงจุดมากขึ้น การป้องกันการเกิดโรค
 การป้องกันการเกิดโรค 1.หลีกเลี่ยงการได้รับแสง หรือรังสีอัลตราไวโอเล็ตเป็นระยะเวลานาน
1.หลีกเลี่ยงการได้รับแสง หรือรังสีอัลตราไวโอเล็ตเป็นระยะเวลานาน 2.หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่
2.หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ 3.กินอาหารที่มีเบตาแคโรทีน โดยเฉพาะลูทีน (Lutein) และซีแซนทีน (Zeaxanthin) ปริมาณสูง เช่น แอปเปิ้ล บร็อกโคลี ข้าวโพด แตงกวา องุ่น มะม่วง ส้ม ฟักทอง ผักโขม ถั่วพริก และไข่แดง
3.กินอาหารที่มีเบตาแคโรทีน โดยเฉพาะลูทีน (Lutein) และซีแซนทีน (Zeaxanthin) ปริมาณสูง เช่น แอปเปิ้ล บร็อกโคลี ข้าวโพด แตงกวา องุ่น มะม่วง ส้ม ฟักทอง ผักโขม ถั่วพริก และไข่แดงสอบถามปัญหาสุขภาพตากับราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทยที่เว็บไซต์ www.rcopt.org
ขอขอบคุณข้อมูลจาก

 
          
         
 










