สกัดอาการอยากของหวานให้อยู่หมัด ! ด้วยอาหาร 7 ชนิด


ขนมเค้ก

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          ตกบ่ายเข้าหน่อยอาการอยากของหวานก็เริ่มแสดงตัว ชวนให้เราต้องควานหาขนมหวาน น้ำหวาน และอาหารหวาน ๆ ทุกชนิดมาเคี้ยวเล่นให้หายอยาก ซึ่งก็ต้องมาตกที่นั่งลำบากทีหลังเพราะน้ำหนักและสัดส่วนที่เกินขนาดใช่ไหมล่ะคะ เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นวันนี้เรามาสกัดกั้นอาการอยากของหวานให้อยู่หมัดด้วยอาหาร 7 ชนิดต่อไปนี้ดีกว่า จะได้มีสุขภาพและรูปร่างที่เพอร์เฟคท์กันจ้า

ไข่

1. ไข่

          ไข่ไก่เป็นสุดยอดอาหารที่สามารถยับยั้งอาการอยากของหวาน และอาการหิวระหว่างวันของเราได้อยู่หมัด เพราะอุดมไปด้วยสารอาหารและแร่ธาตุต่าง ๆ มากมาย ทั้งโปรตีน ไขมันชนิดดี โอเมก้า 3 และธาตุเหล็ก ที่จะช่วยให้ร่างกายมีพลังงานทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้ทั้งวัน นอกจากนี้ ไข่ไก่ยังสามารถลดระดับอินซูลินในฮอร์โมนเกรลิน (ghrelin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนกระตุ้นความหิวในร่างกายเราได้อีกด้วย ประโยชน์จัดหนักขนาดนี้ นักโภชนาการจึงแนะนำให้รับประทานไข่ไก่ในมื้อเช้า มื้อกลางวัน และมื้อเย็น หรือจะทานไข่ต้มเป็นอาหารว่างในช่วงบ่ายก็ดี รับรองว่าอาการอยากของหวานจะหายไปทันทีเลยล่ะ

อะโวคาโด

2. อะโวคาโด

          หากไม่อยากกินของหวานในช่วงเช้า หรือเย็น ลองกินอะโวคาโดในมื้อเช้า หรือจะปั่นเป็นสมูทตี้ดื่มในตอนบ่ายก็ได้ เพราะอะโวคาโดก็สามารถสกัดกั้นอาการอยากของหวานได้เช่นกัน ด้วยความที่อะโวคาโดอุดมไปด้วยวิตามินบี และโฟเลทที่จะช่วยลดความเครียดในร่างกาย อีกทั้งยังมีกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อโปรตีน ไขมันชนิดดี และวิตามินอีถึง 18 ชนิด จึงทำให้ร่างกายอิ่มอยู่ท้อง ไม่มีอาการโหยโรยแรงจนต้องพึ่งของหวาน ๆ นั่นเอง

3. น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์

          คนสมัยก่อนก็กินน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์เมื่อต้องการลดน้ำหนัก หรืออยากควบคุมอาหารเช่นกัน เพราะในน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์มีไขมันดีที่เป็นประโยชน์ต่อตับ จึงสามารถลดระดับอินซูลินในร่างกาย ทำให้อาการอยากของหวานหายไป และไขมันชนิดดีในน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ยังเป็นแหล่งพลังงานที่ดีของร่างกาย ทำให้ร่างกายมีพลังงานมากขึ้นกว่าเดิม ก็เลยไม่รู้สึกหิวบ่อย แต่น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์อาจจะกินยากหน่อย ดังนั้นจะลองนำไปผสมในอาหาร เช่น น้ำผลไม้ หรือสมูทตี้เพื่อให้อร่อยขึ้นก็ได้ค่ะ

4. เมล็ดเจีย (chia seeds)

          เมล็ดเจียมีลักษณะคล้าย ๆ เมล็ดแมงลัก ไม่ค่อยมีรสชาติ จึงสามารถนำไปผสมในอาหารต่าง ๆ เช่น น้ำสลัด สลัดผัก น้ำผลไม้ และอาหารชนิดอื่น ๆ ได้ตามต้องการ ส่วนมากจะนิยมรับประทานเพื่อให้ร่างกายรู้สึกอิ่ม เพราะเมล็ดเจียมีไฟเบอร์สูงมาก ทั้งยังอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น โปรตีน แมกนีเซียม วิตามินบี  และมีกรดไขมันโอเมก้า 3 ในปริมาณที่สูงกว่าไขมันปลาอีกด้วย จึงสามารถช่วยให้ร่างกายอิ่มได้นานขึ้น จนไม่อยากของหวาน ๆ ระหว่างวันค่ะ

ปลา

5. ปลา

          ในเนื้อปลามีโปรตีนสูงถึง 20 กรัมต่อปริมาณการกิน 1 จาน (ขึ้นอยู่กับปลาแต่ละชนิด) และยังเป็นสุดยอดอาหารที่สามารถสกัดอาการอยากของหวานระหว่างวันได้อยู่หมัดเช่นกัน เพราะมีกรดไขมันชนิดดีต่อร่างกาย กรดอะมิโนที่จำเป็น และโอเมก้า 3 ซึ่งสามารถช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือด ทำให้ไม่รู้สึกหิวบ่อย และไม่มีอาการอยากกินของหวานนั่นเอง

6. แป้งมะพร้าว

          นอกจากน้ำมันมะพร้าวแล้ว นักโภชนาการยังแนะนำให้กินแป้งมะพร้าวเพื่อยับยั้งอาการอยากของหวาน เพราะในแป้งมะพร้าวมีไฟเบอร์สูง มีโปรตีนสูง ซึ่งทำให้ร่างกายอิ่มได้นาน และสารอาหารต่าง ๆ ในแป้งมะพร้าวยังช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ อีกทั้งยังช่วยลดระดับอินซูลินอีกด้วย โดยคุณสามารถนำแป้งมะพร้าว 2 ช้อนโต๊ะทำมัฟฟิน แพนเค้ก หรือคัพเค้กเอาไว้ทานเป็นอาหารเช้าก็ได้ หรือถ้าไม่สะดวกจะใส่แป้งมะพร้าวลงในสมูทตี้สัก 1 ช้อนโต๊ะ เพื่อเพิ่มกากใยให้น้ำผลไม้แก้วโปรดก็ได้เช่นกันค่ะ


กะหล่ำ

 7. ผักใบเขียว

          ผักใบเขียวทุกชนิดจะมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์อย่าง วิตามินเค วิตามินบี วิตามินซี แคลเซียม ธาตุเหล็ก ไฟเบอร์ และโปรตีนอีกเลกน้อย ซึ่งล้วนแต่เป็นสารอาหารที่สำคัญต่อกระบวนการทำงานของร่างกาย อีกทั้งยังบำรุงร่างกายในระดับที่ลึกลงไป ปิดกั้นอาการอยากของหวานได้ชะงัด นักโภชนาการจึงแนะนำให้รับประทานผักใบเขียว เช่น บรอกโคลี ผักโขม กะหล่ำปลี หรือผักใบเขียวชนิดอื่นในมื้อกลางวันและมื้อเย็นด้วย

          หากคุณกำลังกลุ้มใจกับอาการอยากของหวานของตัวเองอยู่ทุกบ่าย ก็ลองเพิ่มอาหาร 7 ชนิดที่สามารถสกัดกั้นอาการอยากของหวานที่เรานำเสนอมาในมื้อเช้าหรือมื้อกลางดูนะคะ รับรองว่าจะสามารถจัดระเบียบการกินอาหารในแต่ละวันได้ดีขึ้น แล้วสุขภาพร่างกายและรูปร่างก็จะสวยเพอร์เฟคท์แน่นอนจ้า

 

  เคล็ดลับสุขภาพ สุขภาพใกล้ตัว โรคและการป้องกัน คลิกเลย 

คลิกอ่านความคิดเห็นของเพื่อนๆ ได้ที่นี่ค่ะ



 

 

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
สกัดอาการอยากของหวานให้อยู่หมัด ! ด้วยอาหาร 7 ชนิด อัปเดตล่าสุด 28 พฤศจิกายน 2556 เวลา 14:18:57 3,717 อ่าน
TOP
x close