ผู้ป่วยเคมีบำบัด ควรเลือกทานอาหารแบบไหนดี


อาหารผู้ป่วยเคมีบำบัด


อาหารสำหรับผู้ป่วยที่ได้รับเคมีบำบัด (ชมรมฟื้นฟูสุขภาพผู้ป่วยโรคมะเร็งแห่งประเทศไทย)

          เมื่อครั้งแรกที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็ง แพทย์จะทำการวางแผนการรักษาและจะแจ้งให้ทราบว่าควรปฏิบัติตัวอย่างไรบ้าง ในขณะได้รับเคมีบำบัด ฉายรังสี หรืออื่น ๆ โดยส่วนมากการรักษาด้วยเคมีบำบัดมักจะก่อให้เกิดอาการข้างเคียงต่าง ๆ ตามมา ซึ่งสัมพันธ์กับภาวะโภชนาการของผู้ป่วยโดยตรง เช่น

          ความอยากอาหารลดลง

          น้ำหนักลด

          เม็ดเลือดต่ำ

          เป็นแผลในช่องปาก

          ปากแห้ง คอแห้ง

          ปัญหาเหงือกและฟัน

          การรับรสและกลิ่นเปลี่ยน

          คลื่นไส้ อาเจียน

          ท้องเสีย

          ท้องผูก

          มีอาการอ่อนเพลีย

          โดยการดูแลทางโภชนาการที่ดีจะทำให้ลดอาการข้างเคียงของการรักษาได้ นอกจากนั้นจะทำให้ลดภาวะการขาดสารอาหาร เพราะหากเกิดอาการดังกล่าวมาก จะทำให้ผู้ป่วยเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้


การดูแลด้านอาหาร ก่อนได้รับเคมีบำบัด

          การได้รับเคมีบำบัดจำเป็นจะต้องมีการเตรียมความพร้อมก่อนที่จะเข้ารับเคมีบำบัด สำคัญที่สุด คือ ทำจิตใจให้สบาย และได้รับอาหารที่ครบถ้วนตามหลักโภชนาการ ควรได้รับคาร์โบไฮเดรตในรูปของข้าวที่ไม่ขัดสี เนื้อสัตว์ได้ทุกประเภทที่ไม่มีไขมัน และน้ำมันควรบริโภคแต่พอดี อีกทั้งต้องพยายามจัดเตรียมอาหารสำหรับขั้นตอนระหว่างการได้รับเคมีบำบัด โดยต้องแจ้งให้ผู้ดูแลหรือญาติทราบ เพื่อจะได้ให้ความช่วยเหลือในระหว่างการรักษาได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ


อาหารผู้ป่วยมะเร็ง



การดูแลด้านอาหาร ระหว่างการได้รับเคมีบำบัด

          ระหว่างการรับเคมีบำบัดมักจะเกิดอาการข้างเคียงขึ้นได้ ซึ่งมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล หากการเตรียมความพร้อมดีและทำจิตใจให้สบาย อาการแทรกซ้อนก็จะมีน้อย แต่หากเกิดอาการแทรกซ้อนขึ้น ไม่ต้องกังวล ควรทำใจให้สบายและใช้หลักโภชนบำบัดในการดูแลสุขภาพ ตามแต่กรณีดังต่อไปนี้

ความอยากอาหารลดลง

          ควรเริ่มรับประทานอาหารแต่น้อยแต่กระจายมื้ออาหารให้มากขึ้น และจัดรูปแบบอาหารให้น่ารับประทาน พยายามคิดถึงเมนูที่ตนเองชอบมากที่สุด แต่เมนูดังกล่าวไม่ควรขัดกับหลักโภชนบำบัดสำหรับผู้ป่วยมะเร็ง

น้ำหนักลดและเม็ดเลือดต่ำ

          ควรทำการเสริมอาหารประเภทของโปรตีน โดยควรได้รับโปรตีนเพิ่มมากขึ้นประมาณ 1.5-2 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม โปรตีนควรเป็นโปรตีนที่ย่อยง่าย เช่น เนื้อปลา และเนื้อไก่ไม่ติดมัน หากน้ำหนักยังลดลงอย่างต่อเนื่อง ควรเพิ่มการดื่มน้ำผลไม้ให้มากขึ้น

เป็นแผลในช่องปาก ปากแห้งคอแห้ง

          การเกิดแผลในช่องปากหรือปากแห้งมาจากการที่เซลล์เยื่อบุผิวถูกทำลาย ควรดื่มน้ำให้เพียงพอวันละ 10 แก้ว นอกจากนั้น อาจจะต้องพิจารณางดอาหารรสจัดในระหว่างเกิดอาการดังกล่าว รวมไปถึงอาหารที่รสเปรี้ยวจัด และอาหารที่มีความร้อนมากเกินไปก็ควรหลีกเลี่ยง และควรกลั้วคอด้วยน้ำเกลือเป็นประจำ

การรับรสและกลิ่นเปลี่ยนไป

          ในบางครั้งผู้ป่วยอาจมีการรับรสและกลิ่นที่เปลี่ยนแปลงไปได้ ดังนั้นรสชาติอาหารควรมีการดูแล และปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสม  ที่สำคัญควรมีการเพิ่มกลิ่นในอาหาร เช่น ใส่ใบโหระพาเพื่อชูกลิ่นของอาหารให้มีกลิ่นน่ารับประทานมากขึ้น หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันมากเพราะไขมันจะทำให้ตุ่มรับรสรับรสชาติได้แย่กว่าเดิม


คลื่นไส้อาเจียน


คลื่นไส้อาเจียน

          เมื่อเกิดอาการคลื่นไส้ อาหารที่รับประทานต้องมีลักษณะอ่อนย่อยง่าย ไม่มีไขมันเป็นส่วนประกอบมากจนเกินไป และเริ่มให้รับอาหารปริมาณน้อยก่อน แล้วค่อย ๆ เพิ่มปริมาณอาหาร แต่อาหารที่เลือกรับประทานควรเป็นอาหารพลังงานสูง เช่น เลือกเนื้อปลานำมานึ่งรับประทาน

ท้องเสีย

          หากเกิดอาการท้องเสีย ควรงดเว้นการรับประทานอาหารรสจัดรวมไปถึงผักผลไม้ ไม่ควรรับประทานเส้นใยอาหารที่มากเกินไปในขณะที่เกิดอาการท้องเสีย ควรเลือกรับประทานอาหารที่ย่อยง่าย มีรสจืด เพื่อลดอาการระคายเคืองระบบทางเดินอาหาร หลีกเลี่ยงอาหารที่ปรุงไม่สุกทุกชนิด แม้แต่ผักผลไม้ควรจะต้มหรือผ่านความร้อนก่อนรับประทาน เพื่อฆ่าเชื้อที่มีอยู่ในผักเหล่านั้น

          ข้าวต้มเปล่า ๆ มีสรรพคุณช่วยเพิ่มกำลังวังชาและช่วยลดอาการท้องเสีย สำหรับผู้ป่วยที่ท้องเสียอย่าเพิ่งรับประทานข้าวสวย ควรรับประทานตามลำดับจากน้ำข้าวจนถึงข้าวต้มใส ๆ เพื่อให้ลำไส้มีโอกาสได้ปรับตัว เมื่อท้องเสียร่างกายเสียน้ำมาก ควรรับประทานน้ำข้าวเติมด้วยเกลือเล็กน้อยเพื่อเป็นการเพิ่มเติมโซเดียมด้วย

ท้องผูก

          ถ้าเกิดอาการท้องผูกและแน่นท้องควรดื่มน้ำให้มากขึ้น และเลือกรับประทานอาหารเส้นใยให้มากขึ้น โดยเฉพาะผัก ผลไม้ ธัญพืช ถั่วต่าง ๆ นอกจากนี้การฝึกเข้าห้องน้ำเป็นประจำยังช่วยได้มาก เช่น ทุกครั้งตอนตื่นนอนก็เข้าห้องน้ำแม้จะไม่ปวดอุจจาระก็ตาม เพื่อฝึกนิสัยการขับถ่ายให้เคยชินหากมีอาการท้องผูก และควรดื่มน้ำวันละอย่างน้อย 8-10 แก้ว

ท้องอืด

          เป็นอาการที่เกิดจากระบบการย่อยอาหารทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ ทำให้มีการตกค้างของอาหารที่ย่อยไม่สมบูรณ์อยู่ในระบบทางเดินอาหาร จุลินทรีย์ประจำถิ่นจะทำหน้าที่ย่อยแทนร่างกายเราทำให้เกิดแก๊สขึ้น จึงส่งผลให้เกิดอาการท้องอืด การรับประทานอาหารไขมันต่ำและอาหารที่ย่อยง่ายจะช่วยบรรเทาอาการดังกล่าวได้

          อาหารเบาย่อยง่าย เช่น ข้าว ไข่ขาว ผักกาดแก้ว ปลา และยังมีอาหารและสมุนไพรบางตัวที่มีสรรพคุณช่วยย่อย และลดกรด เช่น ขมิ้นชัน สะระแหน่ น้ำว่านหางจระเข้ น้ำทับทิม เป็นต้น

มีอาการอ่อนแรง

          อาการอ่อนแรงควรกลับมาสำรวจดูอาหารที่รับประทานว่าเพียงพอหรือไม่ หากพบว่าไม่พอเพียงอาจจะต้องเพิ่มจำนวนอาหารให้มากขึ้น หรือมีการดื่มน้ำผลไม้เย็น ๆ จิบเล่นเป็นประจำ จะทำให้ร่างกายสดชื่นขึ้นระหว่างการได้รับเคมีบำบัด


อาหารกับเคมีบำบัด หลังได้รับการรักษา

          หลังจากได้รับเคมีบำบัดอาจจะเกิดอาการผมร่วง ซึ่งเมื่อหลังได้รับการรักษาแล้วผมอาจจะยังไม่ขึ้น ควรเน้นการให้ผู้ป่วยได้รับอาหารประเภทโปรตีนให้พอเพียง นอกจากนี้ควรเพิ่มในส่วนของข้าวไม่ขัดสีเพื่อให้ได้รับวิตามินบีที่พอเพียง อีกทั้งหากอาการท้องเสียยังไม่หายดีอาจจะต้องกลับไปพบแพทย์ ควรดูแลเรื่องความสะอาดของอาหารในการปรุงประกอบอย่างต่อเนื่อง การได้รับอาหารยังคงเป็นพวกอาหารพลังงานสูงและมีโปรตีนสูงอยู่ เพราะอาหารดังกล่าวจะช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว







ขอขอบคุณข้อมูลจาก





เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ผู้ป่วยเคมีบำบัด ควรเลือกทานอาหารแบบไหนดี อัปเดตล่าสุด 16 ตุลาคม 2556 เวลา 17:25:56 15,245 อ่าน
TOP
x close